โอวาทจากท่านผู้ใหญ่

พ่อใหญ่

ศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน

ผู้ก่อตั้งโครงการสาธิตเสริมสมอง

ท่านอาจารย์ ท่านผู้อุปการะทุน และลูกๆที่รักทุกคน

คงไม่มีวันไหนที่เราได้มีความปลาบปลื้มยินดีเท่ากับวันนี้ (15/10/2549) ในการที่เราทำโครงการนี้ขึ้น เรามีความเชื่อว่า การศึกษาคือความเจริญงอกงาม และในบัดนี้เราได้ประจักษ์ชัดว่า การศึกษาคือความเจริญงอกงามของแผ่นดินไทย โดย ทุนเสริมสมอง ที่ช่วยให้ลูกๆ ได้รับการศึกษาที่ดี เพราะการที่เกิดงานวันนี้ขึ้น เป็นความสมัครใจ เป็นความสำนึก ในส่วนลึกในใจทุกๆคน ถ้อยคำที่ใช้ ก็เป็นที่ประทับใจ ตั้งแต่ได้รับบัตรเชิญ กลอนที่เขียนไป เชื่อว่าทุกคนซาบซึ้ง มาถึงงานคำว่า กตัญยุตานั้น เป็นสิ่งที่เราพยายามปลูกฝัง ตั้งแต่ตัวน้อยๆ มาหาเรา สิ่งที่ผู้อุปการะทุนทั้งหลายมอบทุนให้ ไม่มีเงื่อนไข และไม่ต้องการผลตอบแทนอะไร ที่แสดงให้ปรากฏ ที่พวกเราคิดจะตอบแทนสังคม ในส่วนน้อยๆ ส่วนหนึ่งที่เราได้ประโยชน์มาแล้ว มีการสร้างทุนให้เป็นสังคมต่อ เสริมปัญญา ให้สมกับที่เราเป็นนักเรียนทุนเสริมสมอง เป็นเรื่องที่ขอชมเชย และขอสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง

ที่จริงการก่อร่างสร้างตัวของพวกเรา ในฐานะที่มาจากทุกพื้นที่ของประเทศไทย ก็ชัดเจนนะว่า ไม่ได้เดินอยู่ในเส้นทางที่โรยด้วยดอกกุหลาบ ทุกคนต่อสู้ใช้ความเพียรพยายาม และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จได้ แม้ว่าครั้งหนึ่ง พวกเราจะถูกเรียกว่า เป็นผู้ด้อยโอกาส การที่กองทุนเสริมสมองได้ช่วย ให้โอกาส เมื่อมีโอกาสเท่าเทียมกันแล้ว พวกเราก็ทำได้ และก็ทำได้เป็นอย่างดี

ผมมีความประทับใจเป็นส่วนตัวอยู่ประการหนึ่ง ไม่ว่าเราจะพบกันที่ไหน จะมีคำว่า พ่อใหญ่ และมีคนมาทักโดยที่เรา จำไม่ได้ เหตุการณ์ที่ประทับใจที่สุดเกิดขึ้นที่สนามบิน นาริตะ กรุงโตเกียว ผมกำลังเดินทางต่อเครื่องบิน ก็มีหนุ่มคนหนึ่ง วิ่งตามกระหืดกระหอบ เราก็สงสัยว่าตามเราทำไม เมื่อมาพบเขาก็แนะนำตัวเองว่าเขาชื่อ บรรหาร นักเรียนทุนเสริมสมอง จบปริญญาเอก เป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยบูรพา เขาเดินทางเข้าประเทศ ผมเดินทางออกประเทศญีปุ่น เขาจะไปประชุม ผมจะกลับ การที่เขาจะมุ่งไปเช็คกระเป๋าแล้วรีบไปทำพิธีการแล้วรีบเข้าประเทศ เขากลับมาหามาส่ง แล้วค่อยกลับไปทำธุระของตัวเอง ถามว่า ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น ไม่มีความจำเป็นเลย ถึงไม่ทำ ผมก็จำไม่ได้ แต่เขาบอกว่า เขาต้องทำ เพราะเขามีความรู้สึกว่า ที่เขาได้รับการศึกษาที่ดีจนกระทั่ง จบปริญญาเอกเนี๊ย ถ้าไม่มีทุนเสริมสมอง เขาคิดว่า เขามาไม่ถึงตรงนี้ และเชื่อว่าพวกเราที่มาชุมนุมในวันนี้ 60-70 คน ก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน

เมื่อเราได้โอกาส เรามีความสำเร็จ ขั้นหนึ่ง ระดับหนึ่งในชีวิต หน้าที่ของเราไม่มีอะไร แค่ทำหน้าที่การงานให้ดีที่สุด แล้วมีส่วนใดๆ ที่ช่วยเหลือสังคมได้ ก็แบ่งปันส่วนนั้นมาช่วยสังคม ถ้าเราทำเพียงแค่นี้ ก็ถือว่าเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ และถ้าทำได้มากกว่านี้ ผมก็เชื่อว่า ประเทศเราจะเจริญมากขึ้นกว่านี้อีกมาก เพราะว่าไม่มีการพัฒนาใดที่จะดีเท่ากับการพัฒนาคน คนเนี้ยถ้าจะพูดในภาวะรัฐบาล ปัจจุบันควรจะเป็น Mega project ที่เหนือกว่า Mega project ทั้งหลาย สิงคโปร์เขาบอกเลยว่าอีก 20 ปีข้างหน้า เขาจะอยู่ในสภาพปัจจุบันไม่ได้ เพราะเขาคิดว่าเขาจะอยู่อย่างแข่งขันได้ต้องหันมาเน้นในเรื่อง Bio Medical Research เพื่อทำให้สิงคโปร์เป็นประเทศที่จะให้บริการ การรักษาพยาบาล ได้ให้บริการการแพทย์ที่อยู่ในแนวหน้าของโลก เขาถึง จะแข่งขันกับใครได้

Mega project ของสิงคโปร์ใน20ปีข้างหน้าคืออะไร คือส่งคน 10,000 คน ไปศึกษาในแหล่งที่ดีที่สุด ของโลก เพื่อให้ 10,000 คนกลับมาพัฒนาสิงคโปร์ เพื่อให้สิงคโปร์เข้าสู่เป้าหมายของประเทศที่ให้บริการทางด้าน Bio Medical Research ที่ดีที่สุดของโลก นั้นคือ Mega project ของเขา เขาลงทุนสร้างคน 10,000 คน โดยมุ่งสร้างถึงปริญญาเอกทั้งหมด ใช้เงินมหาศาล แต่เขาบอกว่ามันคุ้มเกินคุ้ม

การที่ท่านผู้บริจาคทุน แม้ว่าท่านจะบริจาคคนละเล็กคนละน้อย แต่เมื่อรวบรวมกันแล้ว เราได้ผลผลิตอย่างที่เกิดขึ้น และประจักษ์อยู่ในสายตาท่านในวันนี้ เชื่อว่าคุ้มเกินคุ้ม และที่สำคัญที่สุด เมื่อเขาได้แสดงความสำนึกที่หาได้ยากมากในสังคม ไทยในขณะนี้ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ผมคนหนึ่งกับท่านทั้งหลายที่ให้ทุนคิดว่า มันส่วนน้อยๆ ส่วนหนึ่งที่เราทำแล้วภูมิใจ และก็คงเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ช่วยทำให้สังคมไทยมากขึ้นโดยลำดับ

ก็ขอให้พวกเราต้อนรับ คุณสุขุม นวพันธ์ กับคุณเมธ์วดี นวพันธ์ (ผู้อุปการะทุนมูลนิธิสุขุโม) คือผู้บริจาคทุนรุ่นแรกๆ ที่ทำให้ลูกๆ เสริมสมอง และก็มีมันสมองจนกระทั่งถึงวันนี้ สามารถที่จะจัดงานให้พวกเราได้ชื่นใจ ก็ขอให้รักษาความดีนี้ไว้ และขอให้ยึดมั่นในอุดมการณ์ของเสริมสมอง เพื่อที่จะได้ร่วมกำลังกัน ทำประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติให้ได้มากยิ่งขึ้นต่อไป

ให้ทุกท่านมีความสุขความเจริญครับ

พ่อเล็ก

คุณสุขุม นวพันธ์

ประธานมูลนิธิสุขุโม

ในฐานะผู้อุปการะทุน

สมัยที่ผมเรียนอยู่ มศ.3 (ม.5) พ่อเป็นข้าราชการ มีเงินเดือน 60 บาท มีลูกๆ 5 คน ผมไปโรงเรียนไม่ใส่รองเท้า เดินเท้าเปล่า ถ้านั่งรถเมล์ไปโรงเรียนก็ 4 สตางค์ต่อเทียว เพื่อประหยัดเงินคุณพ่อ ผมต้องเดินไปโรงเรียนเดินทางไป-กลับ 6 กม. อันนี้เป็นคติว่า ความจนไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าอับอายอะไร และพิสูจน์จากพวกท่านทั้งหลายที่มาชุมนุมที่นี้

ทุกคนมีความเจริญก้าวหน้า ตามวัตถุประสงค์ที่พ่อใหญ่ พ่อเล็ก และผู้อุปการะทุนทั้งหลายหวังไว้ และคิดไว้ในใจ ก็ขอให้เตรียมทำความดีต่อไป เมื่อท่าน ในวันหน้ามีความเจริญยิ่งกว่านี้ ก็จงเลียนแบบ พ่อใหญ่ พ่อเล็ก และผู้อุปการะทุนทั้งหลาย พยายามรับใช้คนอื่นบ้าง ความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่การให้ อยู่ที่เห็นคนอื่นเจริญ

ขอให้ทุกท่านมีความสมหวังในชีวิต

แม่ใหญ่

อาจารย์วิจิตรวงศ์ ชนะรัตน์

ผู้แทน เครือบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ (CP)

ในฐานะผู้อุปการะทุน

สวัสดี เด็กๆ ทุกคน (จากภาพเธอที่เป็นเด็กๆ)

ขอให้เกียรติท่านประธาน จรัญ เจียรวนนท์ และท่านประธาน ธนินท์ เจียรวนนท์ ท่านประธานทั้ง 2 เป็นคนอนุมัติเรื่องการให้ทุน เพราะฉะนั้น เด็กนักเรียนทุนเสริมสมองของเรา ซาบซึ้งแก่ใจดี วันนี้ท่านดีใจมากที่พวกเราได้เช้าไปพบ และคิดว่าเด็กทั้งหลายคงจะไปพบท่านอีก (ท่านประธานจรัญ) และท่านบอกว่า อยากให้พวกเราได้เข้าไปเยี่ยมและพูดคุยกับท่านประธาน ธนินท์ บ้าง

เพราะฉะนั้นในวันนี้ ในฐานะตัวแทนของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ รู้สึกปลาบปลื้มและดีใจมาก ที่ได้เห็นพวกเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มองมาดูหน้าตา ก็นึกว่าเป็นเสี่ยมาจากไหน และคิดว่าเสี่ยคงเอื้อเฟื้อเด็กๆ ในจังหวัดของตัวเองบ้าง อย่าคิดไกลไปวงกว้างในระดับประเทศ ลองย้อนกลับในบ้านเราบ้าง เผื่อจะมีเด็กในบ้านเรารอคอยอยู่