Post date: Oct 14, 2013 6:05:39 PM
เพิ่งกลับจากจีน เซี่ยงไฮ้ หังโจว และ ซูโจว
เราไปถึงเซียงไฮ้ตอนดึกของวันเสาร์ที่ 10 มีนาคม ด้วยสายการบินแอร์อินเดีย (AI) เรามีหัวหน้าทัวร์คนไทย และมีไกด์ชาวจีนคอยดูแลพวกเราตลอดเส้นทาง
ไปเที่ยวครานี้ไปกับกรุ๊ปทัวร์และก็ไปกับอาโกวและก็พี่สาว อากาศที่ที่เราไปทั้งสามที่ เซี่ยงไฮ้ หังโจว ซูโจว หนาวมากเลยทีเดียว เพราะว่ายังอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายจากฤดูหนาวมาเป็นฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิอยู่ในช่วง 5 องศาตอนกลางคืน และประมาณ 10-15 ในตอนกลางวัน สำหรับวันที่ไม่มีแดด
เมืองจีนเจริญกว่าที่เราคิดไว้ซะเยอะเลย อาจจะเป็นเพราะเราไปเมืองมหานครของจีนก็เป็นได้ ตึกระฟ้าเยอะมากๆ และก็มีทางด่วนหลายชั้นเหลือเกิน กรุงเทพฯดูเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับเมืองนี้ เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และได้รับการขนานนามว่าเป็น "นครปารีสแห่งตะวันออก" มีคนอาศัยอยู่กว่า 14 ล้านคน และ ทุก 1 ตรม. มีคนอาศัยอยู่ถึง 19,000 คนเชียวแหละ
เช้าวันถัดมา เราเดินทางไปเที่ยวเมืองหังโจว เมืองหลวงของมณฑลเจ๋อเจียง ก่อนเลยยังไม่ได้เที่ยวเซี่ยงไฮ้ เมืองนี้เป็นเมืองที่เดินทางจากเซี่ยงไฮ้ไปประมาณ 3 ชั่วโมงได้ ไปถึงก็กินก่อนเลยล่ะ ไปกับทัวร์ เรื่องกินไม่ได้ขาดเลยล่ะ เพราะโปรแกรมจะต้องจัดการเรื่องอาหารการกินให้พร้อมเพียง อาหารก็เป็นอาหารจีน คล้ายๆอาหารไทยนั่นแหละ กินได้สบายๆ เลยล่ะ แถมทางทัวร์ยังได้เตรียมพริกน้ำปลา น้ำพริกนรก อะไรต่างๆนานาไว้ทุกมืออีกด้วย
ได้เห็นเมืองหัวโจว แล้วก็หลงรักเลยเชียว สองฝั่งทางเป็นภูเขามีการปลูกพืช ปลูกชา บ้านยังดูจีนๆ ดูมีวัฒนธรรมของจีนหลงเหลือให้เห็นอยู่ ได้ไปเที่ยวทะเลสาบซีหู ทะเลสาบที่มีตำนาน ทะเลสาบนี้สวยมากๆเลย ริมสองฝั่งจะมีต้นหลิวอยู่ ต้นหลิวเป็นต้นไม้ที่ทำให้บรรยากาศยิ่งโรแมนติกใหญ่เลย
ดูภาพนี้ซะก่อน
ความโรแมนติกของทะเลสาบซีหู ณ เมืองหังโจว
เราใช้เวลาในการล่องเรือ ถ่ายภาพกันอยู่ประมาณ 1-2 ชั่วโมงได้ เพลินดีจังเลย ยิ่งล่องเรือ ยิ่งหลงรักกับบรรยากาศ
มิน่าเล่า ถึงมีการเปรียบเปรยความสวยงามของเมืองหังโจว ( และซูโจว) ว่า "บนฟ้ามีสวรรค์ บนดินมีหังโจว (ซูโจว)
เมืองนี้ หังโจว ปลูกชากันเยอะ เป็นไร่ชาแบบภูเขาไล่ๆกันไป ทำให้ดูสวยดีนะ เหมือนเวลาเราไปพวกดอย แล้วชาวเขาเค้าปลูกไล่ไปตามภูเขาน่ะ เล่าไม่ถูกเหมือนกัน แต่รถขับผ่านไร่ชา เห็นแล้วสวยดี น่าอยู่ บ้านที่นี่หลังเล็กๆ สไตล์จีนๆเลยแหละ
ทัวร์จีนพาไปแวะที่ร้านขายชา ให้พวกเราเข้าไปนั่งฟังเค้าเล่าเกี่ยวกับเรื่องชงชา คนจีนพูดไทยได้ พยายามเล่าเรื่องใบชาให้ฟัง ว่าของที่นี่จะดียังไง แล้วก็ขายชา ทัวร์พาเราไปที่ขายของแบบนี้หลายแห่งเหมือนกัน เพราะต่อจากขายชา วันต่อมาก็ได้ไปฟังบรรยายเรื่องเก็กฮวย ซื้อกันใหญ่เลย แล้วก็ไปร้านขายไข่มุก ร้านขายบัวหิมะ รวมไปถึงโกดังขายของปลอม
กลับมาที่เย็นวันนั้น หลังจากไปดื่มชาของเค้า แล้วไม่ได้ซื้อ เราก็ไปดูการแสดงโชว์ของจีนกัน สุดอลังการเหมือนกัน สวยงาม ผาดโผน ดุเดือดเผ็ดมันจากการต่อสู้ เรียกได้ว่าเป็นสี่มิติเหมือนกัน เพราะแถวหน้าตรงคนดู สามารถเลื่อนได้ และก็มีการทำฝนตกด้วย
ไกด์บอกว่า ที่เมืองจีนก็อลังการ ส่วนเมืองไทยไกด์แนะนำว่าให้ไปดูสยามนิรมิต ที่อยู่ตรงศูนย์วัฒนธรรม อยู่ใกล้ๆ ก็ยังไม่ได้ไปดูเลยเนอะ ใกล้เกินไป
ตกเย็นของวันนี้ได้กินอาหารพิเศษอีกด้วย ก็คือ ไก่ขอทาน กับ หมูพันปี ... ไก่ขอทานเนี่ย เป็นไก่ที่ห่อด้วยใบไม้ และได้ชื่อ"ไก่ขอทาน" มาจากมังกรหยกไง พรรคกระยาจก หัวหน้าพรรคที่เป็นผู้ชายชื่ออะไรก็จำไม่ได้ คิดมาหลายวันแล้วเนี่ย
ส่วนหมูพันปีก็คล้ายพะโล้แหละ แต่จะหวานหน่อย ซึ่งเราชอบหมูพันปีมากเลย หมูจะเปื่อยดี เราไปเห็นที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเค้ามีขายด้วยแหละ เป็นการจัดเก็บแบบสุญญากาศไว้ แต่เราไม่ซื้อหรอก เห็นแล้วกลัว ดูแล้วไขมันกับคลอเรสเตอรอลไม่น่าจะทำให้เรารอดจากความอ้วนได้ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่
วันต่อมาได้ไปซูโจว นั่งรถอีกประมาณ 3 ชั่วโมงมั้ง (เริ่มลืม) ไกด์บอกเราล่วงหน้าอยู่แล้วว่า อย่าเพิ่งชอบหังโจว ยังมีซูโจวให้ชอบอีก เมืองซูโจวเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี และเค้าบอกกันว่าเป็น"เมืองแห่งสาวงาม"
มาถึงที่นี่ก็ต้องไปดูเจดีย์เอน เค้าว่ากันว่าเป็นเจดีย์เอนแห่งตะวันออก ( เอาไปเปรียบกับหอเอน) ดูไกลๆแล้วเราว่าก็ไม่เอนนะ ดูใกล้ๆ ก็เอนนิดหน่อย แล้วก็ไปดูเนินเสือ ซึ่งมีตำนานเล่ายาวเหยียดเลย เล่าไม่ถูก ยาวเหมือนกัน...แหะๆ
เราถ่ายรูปที่นี่นานพอควร ก็มันสวยนี่นา สวยแล้วก็หนาว ... และก็ต้องขึ้นบันได้ขึ้นไปด้วย
กลับจากที่นี่ ไกด์ก็พาพวกเราไปดูผ้าไหมอันล้ำค่า มีสาวๆ
จากซูโจวมาเดินแบบผ้าไหมให้เราดูกันด้วย
เราได้ดูวิธีการทำผ้าไหมด้วย เค้าเลี้ยงไหม แต่เค้าไม่ได้รอให้มันลอกออกไปเป็นผีเสื้อเอง แต่เค้าลอกมันออกด้วยน้ำร้อนเลย แล้วก็เอามาทำเป็นเส้นไหม
ไหมที่นี่มีชื่อเสียง เพราะว่าถ้าห่มตอนหนาวก็จะทำให้อุ่น ถ้าห่มตอนร้อนก็จะทำให้เย็นขึ้น
แต่ราคาไม่สู้ดีนัก พวกเราก็เลยได้แต่มอง คิดไปคิดมา เมืองไทยส่วนใหญ่ก็ร้อนอยู่แล้ว กลัวอะไร ไม่ได้มีหลายฤดูให้คิดมาก
พวกเราก็มุ่งหน้ากลับเซี่ยงไฮ้เลย ใช้เวลาอีก 3 ชั่วโมง เราก็หลับสิ ตื่นมาก็เจอความอลังการใหญ่โต ของเมืองนี้อย่างเต็มตา ทางด่วนหลายชั้น รถเยอะ ตึกเยอะ ...
ตื่นตาตื่นใจดี
รถราบนทางด่วน ของมหานครเซียงไฮ้
ถนนนานกิง เป็นถนนที่เป็นแหล่งสำหรับการช้อปปิ้งที่ขายของทันสมัย คึกคักดีแท้เลย
หอไข่มุก (Pearl Power) เป็นหอคมนาคมที่สูงที่สุดติดอันดับ 3 ของโลก สูงถึง 468 เมตรเชียว ลิฟต์ที่ขึ้นไปนะใช้เวลา 7 เมตรต่อ 1 วินาที อึดใจเดียวก็ถึงชั้นบนแล้ว ขึ้นไปชมวิวข้างบน รอบๆจะเป็นแม่น้ำหวังผู่ ซึ่งวันต่อมาเราได้ล่องเรือด้วย
ภาพถ่ายจากหอไข่มุก