1. สัดส่วน / Property
คือความสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสมระหว่างขนาดขององค์
ประกอบที่แตกต่างกัน ทั้งขนาดที่อยู่ในรูปทรงเดียวกันหรือต่างกัน
รวมถึงความสัมพันธ์กลมกลืนระหว่างองค์ประกอบทั้งหลายด้วย
2. ความสมดุล / Balance
คือน้ำหนักที่เท่ากันขององค์ประกอบ ไม่เอียงไปข้างใดข้าง
หนึ่ง ยังหมายรวมถึงความกลมกลืนพอเหมาะพอดีของส่วนต่างๆ
ในธรรมชาตินั้นทุกสิ่งทรงอยู่ได้โดยไม่ล้มเพราะมีน้ำหนักเฉลี่ยเท่า
กันทุกด้าน ดังนั้นในงานศิลปะถ้ามองดูแล้วรู้สึกว่าบางส่วนหนักเกิน
ไป แน่นเกินไป บางเกินไป ก็ทำให้งานนั้นดูเอนเอียง ไม่สมดุลได้
3.จังหวะลีลา (Rhythm) การเคลื่อนไหวที่เกิดจาการซ้ำกันขององค์ประกอบ
เป็นการซ้ำที่เป็นระเบียบ จากระเบียบธรรมดาที่มีช่วงห่างเท่าๆ กัน มาเป็นระเบียบที่สูงขึ้น ซับซ้อนขึ้น
จนถึงขั้นเกิดเป็นรูปลักษณะของศิลปะ โดยเกิดจาก การซ้ำของหน่วย หรือการสลับกันของหน่วยกับช่องไฟ
หรือเกิดจาก การเลื่อนไหลต่อเนื่องกันของเส้น สี รูปทรง หรือ น้ำหนัก
รูปแบบๆ หนึ่ง อาจเรียกว่าแม่ลาย การนำแม่ลายมาจัดวางซ้ำ ๆ กันทำให้เกิดจังหวะ
และถ้าจัดจังหวะให้แตกต่างกันออกไป ด้วยการเว้นช่วง หรือสลับช่วง ก็จะเกิดลวดลาย
ที่แตกต่างกันออกไป ได้อย่างมากมาย แต่จังหวะของลายเป็นจังหวะอย่างง่าย ๆ ให้ความ
รู้สึกเพียงผิวเผิน และเบื่อง่าย เนื่องจากขาดความหมาย เป็นการรวมตัวของสิ่งที่เหมือนกัน
แต่ไม่มีความหมายในตัวเอง จังหวะที่น่าสนใจและมีชีวิต ได้แก่ การเคลื่อนไหวของ คน
สัตว์ การเติบโตของพืช การเต้นรำ เป็นการเคลื่อนไหวของโครงสร้างที่ให้ความบันดาล
ใจในการสร้างรูปทรงที่มีความหมาย
4. การเน้น / Emphasis
คือการทำให้เด่นเป็นพิเศษกว่าส่วนอื่น ในงานศิลปะจำเป็น
ต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญกว่าส่วนอื่นเป็นประธานอยู่
ถ้าส่วนนั้นอยู่ปะปนกับส่วนอื่นและมีลักษณะเหมือนๆ กัน ก็อาจ
ถูกกลืน หรือถูกแย่งความสนใจไป งานที่ไม่มีจุดสนใจหรือประธาน
จะทำให้ดูน่าเบื่อ เหมือนลวดลายที่ถูกวางซ้ำๆ กันโดยปราศจาก
ความหมาย
การเน้นจุดสนใจด้วยกฎสามส่วน
การเน้นจุดสนใจด้วยกฎสามส่วน คือ การแบ่งเนื้อที่ภาพทั้งแนวตั้งและแนวออกเป็นสามส่วนเท่า ๆ กัน แล้วลากเส้น
ตรงจุดตัดทั้ง 4 จุด จุดที่วางตำแหน่งสำคัญของภาพที่ต้องการเน้นจุดสนใจ จุดสนใจของภาพหนึ่งไม่ควรมีมาก
เพราะจะแบ่งความสนใจเกิดความสับสน ควรจะมีเพียงจุดเดียวหรือหากจำเป็นต้องมีเกินหนึ่งจุดก็ต้องมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงเป็นเรื่องราวเดียวกัน
เน้นด้วยระยะ ( Selective focus )
ถ้าภาพถ่ายออกมามีความคมชัดเท่ากันหมด จุดเด่นของภาพจะดูไม่เด่นชัด การเน้นด้วยระยะนั้นเลือกจุดสำคัญ
ที่ต้องการเน้นให้ชัดเจนเพียงจุดเดียว ( Selective focus ) โดยวิธีเปิดหน้ากล้องให้มีช่วงระยะความคมชัดเท่าที่ต้องการเท่านั้น
เช่น ถ่ายดอกไม้ก็เน้นเฉพาะดอกไม้ให้อยู่ในช่วงระยะชัด ส่วนใบไม้ซึ่งอยู่ฉากหน้าและกิ่งก้าน ใบที่อยู่ฉากหลังก็ให้อยู่นอกระยะชัดออกไป
ทำให้ส่วนประกอบอื่นที่ไม่ต้องการเน้นพร่ามัวไม่แย่งสายตาผู้ดู
5. เอกภาพ / Unity
เอกภาพ หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขององค์ประกอบศิลป์ทั้งด้านรูปลักษณะ และด้านเนื้อหาเรื่องราว เป็นการประสานหรือจัดระเบียบของส่วนต่าง ๆให้เกิดความเป็น หนึ่งเดียว เพื่อผลรวมอันไม่อาจแบ่งแยกส่วนใดส่วนหนึ่งออกไป
การสร้างงานศิลปะ คือ การสร้างเอกภาพขึ้นจากความสับสน ความยุ่งเหยิง เป็นการจัดระเบียบ และดุลยภาพ ให้แก่สิ่งที่ขัดแย้งกันเพื่อให้รวมตัวกันได้ โดยการเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆให้สัมพันธ์กัน
เอกภาพของงานศิลปะ มีอยู่ 2 ประการ คือ
1. เอกภาพของการแสดงออก หมายถึง การแสดงออกทีมีจุดมุ่งหมายเดียว แน่นอน และมี ความเรียบง่าย งานชิ้นเดียวจะแสดงออกหลายความคิด หลายอารมณ์ไม่ได้ จะทำให้สับสน ขาดเอกภาพ และการแสดงออกด้วยลักษณะเฉพาตัวของศิลปินแต่ละคน ก็สามารถทำให้ เกิดเอกภาพแก่ผลงานได้
2. เอกภาพของรูปทรง คือ การรวมตัวกันอย่างมีดุลยภาพ และมีระเบียบขององค์ประกอบ ทางศิลปะ เพื่อให้เกิดเป็นรูปทรงหนึ่ง ที่สามารถแสดงความคิดเห็นหรืออารมณ์ของศิลปิน ออกได้อย่างชัดเจน เอกภาพของรูปทรง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อความงามของผลงานศิลปะ เพราะเป็นสิ่งที่ศิลปินใช้เป็นสื่อในการแสดงออกถึงเรื่องราว ความคิด และอารมณ์ ดังนั้น กฎเกณฑ์ในการสร้างเอกภาพในงานศิลปะเป็นกฎเกณฑ์เดียวกันกับธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ 2 หัวข้อ คือ
1. กฎเกณฑ์ของการขัดแย้ง (Opposition) มีอยู่ 4 ลักษณะ คือ
1.1 การขัดแย้งขององค์ประกอบทางศิลปะแต่ละชนิด และรวมถึงการขัดแย้งกันของ
องค์ประกอบต่างชนิดกันด้วย
1.2 การขัดแย้งของขนาด
1.3 การขัดแย้งของทิศทาง
1.4 การขัดแย้งของที่ว่างหรือ จังหวะ
2. กฎเกณฑ์ของการประสาน (Transition) คือ การทำให้เกิดความกลมกลืน ให้สิ่งต่าง ๆ เข้ากันด้อย่างสนิท เป็นการสร้างเอกภาพจากการรวมตัวของสิ่งที่เหมือนกันเข้าด้วยกัน การประสานมีอยู่ 2 วิธี คือ
2.1 การเป็นตัวกลาง (Transition) คือ การทำสิ่งที่ขัดแย้งกันให้กลมกลืนกัน ด้วยการ ใช้ตัวกลางเข้าไปประสาน เช่น สีขาว กับสีดำ ซึ่งมีความแตกต่าง ขัดแย้งกันสามารถทำให้ อยู่ร่วมกันได้อย่างมีเอกภาพ ด้วยการใช้สีเทาเข้าไปประสาน ทำให้เกิดความกลมกลืนกัน มากขึ้น
2.2 การซ้ำ (Repetition) คือ การจัดวางหน่วยที่เหมือนกันตั้งแต่ 2 หน่วยขึ้นไป เป็น
การสร้างเอกภาพที่ง่ายที่สุด แต่ก็ทำให้ดูจืดชืด น่าเบื่อที่สุด
นอกเหนือจากกฎเกณฑ์หลักคือ การขัดแย้งและการประสานแล้ว ยังมีกฎเกณฑ์รอง
อีก 2 ข้อ คือ
1. ความเป็นเด่น (Dominance) ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ
1.1 ความเป็นเด่นที่เกิดจากการขัดแย้ง ด้วยการเพิ่ม หรือลดความสำคัญ ความน่าสนใจ ในหน่วยใดหน่วยหนึ่งของคู่ที่ขัดแย้งกัน
1.2 ความเป็นเด่นที่เกิดจากการประสาน
2. การเปลี่ยนแปร (Variation) คือ การเพิ่มความขัดแย้งลงในหน่วยที่ซ้ำกัน เพื่อป้องกัน ความจืดชืด น่าเบื่อ ซึ่งจะช่วยให้มีความน่าสนใจมากขึ้น การเปลี่ยนแปรมี 4 ลักษณะ คือ
2.1 การปลี่ยนแปรของรูปลักษณะ
2.2 การปลี่ยนแปรของขนาด
2.3 การปลี่ยนแปรของทิศทาง
2.4 การปลี่ยนแปรของจังหวะ
การเปลี่ยนแปรรูปลักษณะจะต้องรักษาคุณลักษณะของการซ้ำไว้ ถ้ารูปมีการเปลี่ยน แปรไปมาก การซ้ำก็จะหมดไป กลายเป็นการขัดแย้งเข้ามาแทน และ ถ้าหน่วยหนึ่งมีการ เปลี่ยนแปรอย่างรวดเร็ว มีความแตกต่างจากหน่วยอื่น ๆ มาก จะกลายเป็นความเป็นเด่น เป็นการสร้างเอกภาพด้วยความขัดแย้ง