เมื่อจบหัวข้อนี้ ผู้เรียนควรจะ
√ CLO2: เลือกใช้ตัวแปร ชนิดข้อมูล คำสั่งเงื่อนไข คำสั่งทำซ้ำ และไลบรารีมาตรฐานในการเขียนโปรแกรมได้อย่างเหมาะสม
ใช้ตัวแปร ชนิดข้อมูล และตัวดำเนินการ เพื่อเขียนโปรแกรมคำนวณอย่างง่าย
ใช้คำสั่งเปลี่ยนชนิดข้อมูลของตัวแปรเหมาะสมกับการประมวลผล
√ CLO5: เขียนโปรแกรมเพื่อแก้ปัญหาทางด้านคณิตศาสตร์ สถิติ และปัญหาในชีวิตประจำวัน
เขียนโปรแกรมโดยใช้คำสั่งรับข้อมูลเข้า และแสดงผลลัพธ์ เพื่อแก้ปัญหาโจทย์คำนวณอย่างง่าย
√ CLO6: ทดสอบโปรแกรม ค้นหาจุดบกพร่อง และแก้ไขให้โปรแกรมทำงานถูกต้องได้
ทดสอบโปรแกรม โดยสร้างกรณีทดสอบให้ครอบคลุมกรณีที่เป็นไปได้ทั้งหมด
ค้นหาจุดบกพร่อง (bug) และแก้ไข (debug) ให้โปรแกรมทำงานถูกต้อง
นิพจน์ในการเขียนโปรแกรมคือ ค่าใดๆ หรือ การรวมกันของตัวดำเนินการ ค่าคงที่ หรือตัวแปร ที่สามารถประเมินหาค่าได้ นิพจน์มีหลายประเภท เช่น
นิพจน์ทางคณิตศาสตร์ที่ให้ค่าเป็นตัวเลข เช่น -2**4, 8/4/2
นิพจน์เปรียบเทียบที่ให้ค่าเป็น boolean เช่น x <= y, x+y > 10, x != False
นิพจน์ตรรกะ เกิดจากการรวมนิพจน์เปรียบเทียบ ให้ค่าเป็น boolean เช่นกัน เช่น x >= 1 and x<=10, x == True or y != 5
แบบฝึกหัด
แปลงสมการต่อไปนี้เป็นนิพจน์ แล้วทดลองพิมพ์ใน python shell เพื่อแสดงค่าที่คำนวณได้
5 / (12 x 4)
(-3.3)(224+30) / 6
-3^2
10 - 5 x 3
100 / (-5 + 5)
ทดลองพิมพ์นิพจน์เปรียบเทียบใน python shell เพื่อแสดงค่าที่คำนวณได้
20>5
1 <= 5 <= 10
5 >= 1 and 5<=10
True > False
ทดลองพิมพ์นิพจน์หาค่าของ String ใน python shell เพื่อแสดงค่าที่ได้
"hello" * 3
"hello" + "world"
"hello" + 3
คำสั่ง print() นอกจากใช้พิมพ์ข้อความแล้ว ยังสามารถพิมพ์ตัวแปรร่วมกับข้อความได้ด้วยเช่นกัน
print() แบบที่ 1
หากต้องการแสดงข้อมูลแต่ละตัวโดยมี space คั่นระหว่างข้อมูล ให้ใช้คำสั่ง print แล้วคั่นแต่ละข้อมูลด้วยเครื่องหมาย ','
เมื่อแสดงผลจากคำสั่งพิมพ์แล้ว จะเป็นการขึ้นบรรทัดใหม่เสมอ
รูปแบบคำสั่ง
print(ข้อมูล1, ข้อมูล2, ...)
ตัวอย่าง output1
print("Python", "Programming")
print() # print new line
id = "650710999"
name = "Tasanawan Soonklang"
print("Student ID:", id, "Name:", name)
ผลลัพธ์
Python Programming
Student ID: 650710999 Name: Tasanawan Soonklang
ตัวอย่าง output2
vat = 0.07
cost = 350
print("The price is", cost)
print("The price include vat is", cost*(1+vat), "Baht")
ผลลัพธ์
The price is 350
The price include vat is 374.5 Baht
ตัวอย่าง output-error
width = 3.5
height = 5
print('Area of rectangle = ', area)
area = width * height
ผลลัพธ์
Traceback (most recent call last):
File "D:\517111\code\output-error.py", line 3, in <module>
print('Area of rectangle = ', area)
NameError: name 'area' is not defined
สังเกตว่าเกิดข้อผิดพลาดในบรรทัดที่ 3 เรียกว่า NameError เนื่องจากพิมพ์ค่าตัวแปร area แต่เนื่องจากในบรรทัดก่อนหน้ายังไม่เคยกำหนดค่าให้กับตัวแปรนี้มาก่อน
print() แบบที่ 2
หากต้องการแสดงข้อมูลแต่ละตัวโดยไม่มี space คั่นระหว่างข้อมูล ให้ใช้คำสั่ง print แล้วคั่นแต่ละข้อมูลด้วยเครื่องหมาย '+' แต่ชนิดข้อมูลที่นำมาแสดงต้องเป็น string เหมือนกัน
รูปแบบคำสั่ง
print(ข้อมูล1 + ข้อมูล2 + ...)
ตัวอย่าง output3
print("Python" + "Programming")
print() # print new line
id = "650710999"
name = "Tasanawan Soonklang"
print("Student ID:" + id + "Name:" + name)
ผลลัพธ์
PythonProgramming
Student ID:650710999Name:Tasanawan Soonklang
ตัวอย่าง output4
total_score = 50
print("The total score is " + total_score)
ผลลัพธ์
Traceback (most recent call last):
File "D:\517111\code\print_cmd.py", line 2, in <module>
print("The total score is " + total_score)
TypeError: can only concatenate str (not "int") to str
สังเกตว่าเกิดข้อผิดพลาดในบรรทัดที่ 2 เรียกว่า TypeError เนื่องจากเรานำข้อความไป + กับตัวเลข ที่ไม่สามารถประเมินหาค่าได้
print() แบบที่ 3
เมื่อต้องการคั่นแต่ละข้อมูลด้วยสัญลักษณ์อื่น ให้ต่อท้ายด้วย sep = '...' โดยระบุตัวอักษรที่ใช้คั่นในเครื่องหมายคำพูด
รูปแบบคำสั่ง
print(ข้อมูล1, ข้อมูล2, ..., sep = '...')
ตัวอย่าง output-sep
print("Python", "C", "Java", "Go", sep = ' ')
print("Python", "C", "Java", "Go", sep = ', ')
print("Python", "C", "Java", "Go", sep = ' - ')
ผลลัพธ์
Python C Java Go
Python, C, Java, Go
Python - C - Java - Go
print() แบบที่ 4
เมื่อไม่ต้องการพิมพ์แล้วขึ้นบรรทัดใหม่ แต่ต้องการปิดท้ายการแสดงผลด้วยสัญลักษณ์พิเศษที่ระบุ
รูปแบบคำสั่ง
print(ข้อมูล1, ข้อมูล2, ..., end = '...')
ตัวอย่าง output-end
print("517111")
print("Python")
print("Programming.")
print("517111", end = ' ')
print("Python", end = ' ')
print("Programming", end = '. ')
print("Let's get started.")
ผลลัพธ์
517111
Python
Programming.
517111 Python Programming. Let's get started.
print() แบบที่ 5
การพิมพ์ตัวแปรร่วมกับข้อความสามารถทำได้อีกรูปแบบหนึ่ง คือ ระบุรูปแบบของผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยใช้สัญลักษณ์แทนตำแหน่งที่ระบุค่า (placeholder)
Placeholder ที่นิยมใช้บ่อยๆ ได้แก่
%s แทนค่า str
%d แทนค่า int,
%f แทนค่า float ถ้าต้องการระบุจำนวนเลขหลังจุดทศนิยมให้ใช้ %._f แทน _ ด้วยจำนวนที่ต้องการ
รูปแบบคำสั่ง
print("format output" % (ข้อมูล1, ข้อมูล2, ...))
ตัวอย่าง output-format
output = 'area'
PI = 3.14159
radius = 20
print("The %s of circle with radius %d = %.2f" % (output, radius, PI*radius**2) )
ผลลัพธ์
The area of circle with radius 20 = 1256.64
แบบฝึกหัด
บริษัทผลิตรถยนต์ต้องการหาอัตราการสิ้นเปลืองน้้ามันของรถคันหนึ่ง โดยหาจากระยะทางที่รถวิ่งไป (กม.-km) และ จ้านวนน้้ามันที่ใช้ไป (ลิตร-litre)
จงกำหนดค่าให้ตัวแปร km และ litre เป็นเลขจำนวนเต็มบวก แล้วคำนวณหาอัตราการสิ้นเปลืองน้้ามัน (km/litre) แสดงผลในรูปทศนิยม 2 ตำแหน่ง
ตัวอย่างเช่น ระยะทางที่วิ่งไป 250 กม. ใช้น้้ามันไป 20 ลิตร คำนวณได้อัตราการสิ้นเปลืองน้้ามัน 12.50 กม./ลิตร
รูปแบบ output ทดลองโดยใช้คำสั่งพิมพ์หลายรูปแบบที่แตกต่างกัน
distance 250 kg, fuel 20L,
Fuel consumption 12.50 kg/L.
การวัดดัชนีมวลกาย (Body Mass Index – BMI) เป็นการคำนวณหาอัตราส่วนระหว่างน้ำหนักต่อส่วนสูง เพื่อใช้บ่งชี้ว่าปกติ อ้วนหรือผอม เพื่อดูอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้ โดยคำนวณจากสูตร BMI = น้ำหนัก / ความสูงยกกำลังสอง โดย m เป็นน้ำหนักที่มีหน่วยเป็นกิโลกรัม ส่วน h เป็นความสูงหน่วยเป็นเมตร
จงเขียนโปรแกรมคำนวณหาค่า BMI ของตัวเอง โดยกำหนดค่าน้ำหนัก w ที่มีหน่วยเป็นกิโลกรัม และความสูง h หน่วยเป็นเซนติเมตร เป็นเลขทศนิยม แสดงผลเป็นเลขทศนิยม 1 ตำแหน่ง
รูปแบบ output กำหนดได้เอง โดยให้แสดงน้ำหนัก ส่วนสูง และ BMI
ทดสอบความถูกต้องของโปรแกรมโดยเปลี่ยนค่า m และ h ให้ครอบคลุมทั้ง 4 เกณฑ์ของค่า BMI (underweight, normal, overweight, obesity)
อาจารย์ต้องการจัดห้องสอบสำหรับนักศึกษาที่เรียนทั้งหมด N คน โดยแบ่งออกเป็นแถว แถวละ X คน จงเขียนโปรแกรมแสดงผลลัพธ์เป็นจำนวนแถวทั้งหมดที่มีนักเรียน X คน และจำนวนนักเรียนที่เหลืออยู่ เมื่อกำหนดค่า N และ X เพื่อทดสอบให้ครอบคลุมทุกกรณีที่เป็นไปได้
ในการคำนวณจำนวนปีเพื่อหาเวลาที่รับราชการทั้งหมด หากมีเศษของเดือนและวัน จะคิดจำนวนวัน เป็นสัดส่วนกับจำนวนวันใน 1 ปี (คิดทุกเดือนเท่ากันคือ 30 วัน ดังนั้น 1 ปีมี 360 วัน) และจำนวนเดือนเป็นสัดส่วนของจำนวนเดือนใน 1 ปี (คือ 12 เดือน) และได้ผลลัพธ์เป็นเลขทศนิยม ตัวอย่างเช่น หากรับราชการเป็นเวลา 37 ปี 5 เดือน 26 วัน จะได้เวลารับราชการทั้งหมด 37 + 5/12 + 26/360 = 37.49 ปี จงเขียนโปรแกรมคำนวณจำนวนปีที่รับราชการ แสดงเป็นเลขทศนิยม 2 หลัก โดยกำหนดจำนวนปี เดือน และวันที่รับราชการ เพื่อทดสอบความถูกต้องของโปรแกรมให้ครอบคลุมทุกกรณีที่เป็นไปได้
เมื่อต้องการเปลี่ยนชนิดข้อมูลของค่าหรือตัวแปรใดๆ เราสามารถใช้ชื่อชนิดข้อมูลเป็นคำสั่ง/ฟังก์ชันในเปลี่ยนชนิดข้อมูลได้เลย เช่น
int(x) - เปลี่ยนตัวแปร x ให้เป็นชนิดข้อมูล integer
float(x) - เปลี่ยนตัวแปร x ให้เป็นชนิดข้อมูล float
str(x) - เปลี่ยนตัวแปร x ให้เป็นชนิดข้อมูล string
bool(x) - เปลี่ยนตัวแปร x ให้เป็นชนิดข้อมูล boolean
ในกรณีของฟังก์ชัน bool จะคืนค่าดังนี้
False ถ้า x = 0, empty, None
True ถ้าเป็นค่าอื่นๆ นอกเหนือจากข้างต้น
ตัวอย่าง type-conversion
print("int(123) is:", int(123))
print("int(123.23) is:", int(123.23))
print("int('123') is:", int("123"))
test1 = 254
print(test1, 'is', bool(test1))
test2 = 25.14
print(test2, 'is', bool(test2))
test3 = 'Python'
print(test3, 'is', bool(test3))
test4 = 1
print(test4, 'is', bool(test4))
ผลลัพธ์
int(123) is: 123
int(123.23) is: 123
int('123') is: 123
254 is True
25.14 is True
Python is True
1 is True
แบบฝึกหัด
หาผลลัพธ์ของคำสั่งต่อไปนี้
int('A')
int(True)
int(False)
int('-5')
int('-9.999')
float('23')
float('-5.5')
float('45-46')
float(8%3)
str(True)
str(True+False)
str(12.34)
str(3*4*5)
str(2**3**4)
bool(0)
bool(None)
bool(True)
bool(True+False)
เป็นฟังก์ชันที่มีอยู่แล้ว (built-in function) ในไพธอน โดยทำหน้าที่รับข้อมูลเข้าจากผู้ใช้ผ่านคีย์บอร์ด
ข้อมูลที่รับเข้าจะมีชนิดข้อมูลเป็น string เสมอ หากจะนำไปใช้ในการคำนวณต้องเปลี่ยนชนิดข้อมูลให้เป็นตัวเลขก่อน
input() แบบที่ 1
รูปแบบคำสั่ง
var_name = input()
หรือระบุข้อความให้แสดงก่อนรับค่าข้อมูลในเครื่องหมายคำพูดได้
var_name = input("...")
ตัวอย่าง ลองพิมพ์คำสั่งใน python shell
>>> x = input()
Hello
>>> x
'Hello'
>>> number = input("Input positive number : ")
Input positive number : 5
>>> number
'5'
>>> print(type(number))
<class 'str'>
input() แบบที่ 2
ในไพธอนเราสามารถรับหลายค่าพร้อมกันในบรรทัดเดียวได้ โดยใช้คำสั่ง input() ร่วมกับ split() โดยจำนวนตัวแปรที่จะเก็บค่าต้องเท่ากับจำนวนค่าที่ใส่เข้ามา
รูปแบบคำสั่ง
var1, var2, ... = input().split()
หรือ ระบุสตริงที่ใช้แยกข้อมูลได้ในเครื่องหมายคำพูด
ar1, var2, ... = input().split('...')
ตัวอย่าง ลองพิมพ์คำสั่งใน python shell
>>> x, y, z = input().split()
5 10 15
>>> print(x, y, z)
5 10 15
>>> x, y, z = input().split(',')
5,10,15
>>> print(x, y, z)
5 10 15
แบบฝึกหัด
เขียนโปรแกรมรับความสูงและน้ำหนักคนละบรรทัดกัน โดยมีข้อความบอกผู้ใช้ว่าต้องการรับค่าอะไร พิมพ์ค่าที่รับเข้า พร้อมชนิดข้อมูล
เขียนโปรแกรมรับชื่อและนามสกุลในบรรทัดเดียวกัน คั่นแต่ละค่าด้วย space แล้วแสดงผลชื่อและนามสกุลคนละบรรทัด
เขียนโปรแกรมรับภาคการศึกษาและปีการศึกษาในบรรทัดเดียวกัน โดยกรอกข้อมูลคั่นแต่ละค่าด้วยเครื่องหมาย '-' แล้วพิมพ์ชนิดข้อมูลของค่าทั้งสอง และพิมพ์ผลลัพธ์ในรูปแบบ semeter = ..., year = ...
ทดลองรันโปรแกรมต่อไปนี้ แล้วสังเกตผลลัพธ์
ตัวอย่าง input1.py
x = input('x = ')
y = input('y = ')
print('x + y = ', x + y)
ตัวอย่าง input2.py
w = input('Input width: ')
h = input('Input height: ')
print('Area of rectangle = ', w * h)
ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการเขียนโปรแกรมเรียกว่า Error แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่
Syntax error เกิดจากการเขียนคำสั่งผิดไวยากรณ์ เช่น เขียนเครื่องหมายวงเล็บไม่ครบคู่ เรียกใช้ตัวแปรที่ยังไม่มีการกำหนดค่า หรือพิมพ์คำสั่งไม่ถูกต้อง
ตัวอย่าง error
print("Programming)
print('It's 2 O'clock')
print(x, y)
prin("Try this!")
เมื่อเกิดข้อผิดพลาดประเภทนี้ ตัวแปลภาษาจะรายงานข้อพลาดให้ทราบพร้อมทั้งระบุบรรทัดที่ต้องแก้ไข เช่น
File "<pyshell>", line 1
print("Programming)
^
SyntaxError: unterminated string literal (detected at line 1)
Traceback (most recent call last):
File "<pyshell>", line 4, in <module>
NameError: name 'prin' is not defined
Run-time error เกิดจากไม่สามารถประเมินค่านิพจน์ได้ หรือใช้ตัวดำเนินการไม่ถูกต้อง หรือเรียกใช้ฟังก์ชันโดยส่งค่าที่ไม่เหมาะสม หรือผู้ใช้ใส่ข้อมูลเข้าไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดข้อผิดพลาด ณ ขณะรันโปรแกรม ตัวแปลภาษาจะแสดงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นให้ผู้ใช้ทราบเช่นกัน ดังตัวอย่าง input2.py
Input width: 3
Input height: 4
Traceback (most recent call last):
File "D:\517111\code\input2.py", line 3, in <module>
print('Area of rectangle = ', w * h)
TypeError: can't multiply sequence by non-int of type 'str'
ตัวอย่าง run-time error ที่เกิดจากการหารด้วยเลขศูนย์
print(10/0)
Traceback (most recent call last):
File "<pyshell>", line 1, in <module>
ZeroDivisionError: division by zero
ตัวอย่าง run-time error ที่เกิดจากการที่ผู้ใช้ใส่ค่าไม่ถูกต้อง
>>> x, y = input().split()
4 5 6
Traceback (most recent call last):
File "<pyshell>", line 1, in <module>
ValueError: too many values to unpack (expected 2)
>>> int('-3.4')
Traceback (most recent call last):
File "<pyshell>", line 1, in <module>
ValueError: invalid literal for int() with base 10: '-3.4'
Logic error เกิดจากข้อผิดพลาดของผู้เขียนโปรแกรม โปรแกรมจะไม่รายงานข้อผิดพลาดใดๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ถูกตามที่ต้องการ เป็นข้อผิดพลาดที่ต้องตรวจสอบด้วยตนเอง และหาได้ยากกว่า 2 แบบแรก ดังตัวอย่าง input1.py
x = 3
y = 4
x + y = 34
โครงสร้างของโปรแกรมโดยทั่วไปมักจะมี 3 ส่วนประกอบหลัก ได้แก่ Input, Process, Output (IPO) โดยเริ่มต้นรับข้อมูลจากผู้ใช้ (Input) แล้วนำค่าไปประมวลผล เพื่อหาคำตอบ (Process) แล้วแสดงผลทางจอภาพ (Output)
ขั้นตอนการแก้ปัญหา
ในการแก้ปัญหาที่มีลักษณะโครงสร้างแบบ IPO เราควรจะวิเคราะห์ปัญหา โดยเริ่มต้นจาก
ระบุ Input - พิจารณาว่าต้องรับข้อมูลเข้าจากผู้ใช้หรือไม่ ถ้ารับค่า มีข้อมูลอะไรบ้าง และข้อมูลแต่ละตัวมีชนิดข้อมูลเป็นอย่างไร และต้องรับข้อมูลเข้าในรูปแบบใด
ระบุ Output - พิจารณาว่าโจทย์ต้องการอะไรเป็นผลลัพธ์ มีทั้งหมดกี่ค่า แต่ละค่ามีชนิดข้อมูลเป็นอะไร ต้องแสดงผลในรูปแบบใด
คิด Process - ทดลองยกตัวอย่างข้อมูล Input แล้วคำนวณหาค่า Output โดยยังไม่ต้องเขียนโปรแกรม เรียบเรียงขั้นตอนในการหาค่า output โดยจดบันทึกไว้เป็นรหัสเทียมหรือผังงาน
Test - ทดลองยกตัวอย่างข้อมูล Input หลายๆ ชุดที่แตกต่างกัน โดยทำตามขั้นตอนที่เขียนไว้ในข้อ 3 เพื่อหาค่า Output
ถ้าขั้นตอนผิดพลาดให้กับไปแก้ไขขั้นตอนในขั้นที่ 3 แล้วทดสอบขั้นที่ 4 ใหม่ จนกว่าจะถูกต้องทุกกรณีที่นำมาทดสอบ
นำขั้นตอนที่ได้มาแปลงเป็นภาษาโปรแกรม
ข้อควรระวังในการแปลงอัลกอริทึมเป็นภาษาไพธอน
เมื่อรับค่ามาจากผู้ใช้แล้ว จะเป็นชนิดข้อมูล String เสมอ หากต้องการนำไปคำนวณต้องแปลงชนิดข้อมูลให้ถูกต้องก่อนนำไปใช้งาน
ใช้ตัวดำเนินการให้เหมาะกับชนิดข้อมูลของตัวแปรหรือค่าต่างๆ
เลือกรูปแบบการพิมพ์ผลลัพธ์ให้ตรงตามที่โจทย์กำหนด
หากมีค่าคงที่ที่ต้องใช้ในโจทย์ ควรกำหนดเป็นตัวแปร
ตัวอย่างการวิเคราะห์โจทย์
โจทย์
แพทย์แนะนำว่า หากต้องการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ควรจะออกก้าลังกายให้มีอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate – HR) อยู่ในช่วง 60-70% ของ HR สูงสุด
จึงจะลดไขมันได้ดี การคำนวณหาค่า HR ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ออกกำลังกาย โดยมีวิธีคำนวณ HR สูงสุด คือ 220 – อายุ (ครั้งต่อนาที) ตัวอย่างเช่น หากผู้ออกกำลังกายมีอายุ 20 ปี ค่า HR สูงสุด = 220-20 = 200 ครั้งต่อนาที ดังนั้น หากต้องการจะลดน้ำหนัก ควรจะออกกำลังกายให้มี HR อยู่ระหว่าง 120-140 ครั้งต่อนาที
จงเขียนโปรแกรมค้านวณหาค่าเกี่ยวกับอัตราการเต้นของหัวใจ ได้แก่ HR สูงสุด, HR ในช่วง 60% ของ HR สูงสุด, HR ในช่วง 70% ของ HR สูงสุด โดยปัดค่าเป็นเลขจ้านวนเต็ม โดยรับอายุจากผู้ใช้
วิเคราะห์โจทย์
ข้อมูลเข้า (input) : 1 ค่า คือ อายุ (age) เป็นเลขจำนวนเต็มบวก
ผลลัพธ์ (output) : 3 ค่า คือ 1) HR สูงสุด (max_hr) 2) HR ในช่วง 60% ของ HR สูงสุด (hr60) 3) HR ในช่วง 70% ของ HR สูงสุด (hr70)
ขั้นตอน (process):
รับอายุ (age) จากผู้ใช้
คำนวณหาค่า max_hr = 220 - age
คำนวณหาค่า hr60 = max_hr * 60%
คำนวณหาค่า hr70 = max_hr * 70%
แสดงผลค่าในข้อ 2,3,4 ตามลำดับ แบบปัดเป็นเลขจำนวนเต็ม
แปลงเป็นภาษาไพธอน heartRate.py
# input
age = int(input())
# process
max_hr = 220-age
hr60 = ...
hr70 = ...
# output
print(max_hr)
print("..." % hr60)
print("..." % hr70)
แบบฝึกหัด
ทดลองรันโปรแกรมต่อไปนี้
ตัวอย่าง input3.py
x = input('x: ')
y = input('y: ')
print(type(x), type(y))
print(x, y)
x, y = int(x), int(y)
print(type(x), type(y))
print(x, y)
print('x + y = ', x + y)
ตัวอย่าง input4.py
x, y = input().split()
print(type(x), type(y))
print(x, y)
x, y = int(x), int(y)
print(x, y)
print('x + y = ', x + y)
ตัวอย่าง input5.py
x = int(input('x: '))
y = int(input('y: '))
print(type(x), type(y))
print(x, y)
print('x + y = ', x + y)
จงแก้ไขโปรแกรมต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
ตัวอย่าง input1.py
x = input('x = ')
y = input('y = ')
print('x + y = ', x + y)
ตัวอย่าง input2.py
w = input('Input width: ')
h = input('Input height: ')
print('Area of rectangle = ', w * h)
ตัวอย่าง average.py
x, y, z = input('Input 3 real numbers: ')
avg = x + y + z / 3
print('Average of %f, %f, %f = %f', (x,y,z,avg))
ทำโจทย์บนเครื่อง Grader เลือก tag 'Basic'