กษัตริย์นักพัฒนา
พระราชดำรัสการพัฒนา
"...การพัฒนาชนบท เป็นงานที่สำคัญ เป็นงานที่ยาก เป็นงานที่จะต้องทำให้ได้ด้วยความสามารถ ด้วยความเฉลียวฉลาด คือ ทั้งเฉลียวทั้งฉลาด ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิใช่มุ่งที่จะหากินด้วยวิธีการใดๆ ใครอยากหากินขอให้ลาออกจากตำแหน่งไปทำการค้าดีกว่า เพราะว่าถ้าทำผิดพลาดไปแล้วบ้านเมืองเราล่มจม และเมื่อบ้านเมืองของเราล่มจมแล้วเราอยู่ไม่ได้ ก็เท่ากับเสียหมดทุกอย่าง..."
คัดตัดตอนจากพระบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะผู้บริหารงานเร่งรัดพัฒนาชนบท
ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
วันศุกร์ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๒
"...การพัฒนาตนเอง พัฒนาการทำงาน เป็นสิ่งที่ต้องกระทำอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ก้าวไปทันกับความเจริญของวิทยาการและเทคโนโลยีที่ค้นคว้าด้วยวิธีต่างๆ อยู่สม่ำเสมอ ให้มีความรอบรู้ที่กว้างขวางและถูกต้องทั่วถึง ทั้งโดยทางทฤษฎีและวิธีปฏิบัติ ส่วนการพัฒนาการทำงานนั้น ย่อมเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพัฒนาตนเองดังกล่าว คือ เมื่อได้พัฒนาระบบวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ส่งผลให้ทำงานที่ทำสำเร็จประโยชน์อย่างสมบูรณ์..."
คัดตัดตอนจากพระราโชวาทสมเด็จโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎรราชกุมารในพิธีพระราชทาน
ปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยครู ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร
วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๐
พระราชดำรัสด้านสาธารณสุข
"...การรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายเป็นปัจจัยของเศรษฐกิจที่ดีและสังคมที่มั่นคงเพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้น โดยปกติจะอำนวยผลให้สุขภาพจิตใจสมบูรณ์และเมื่อมีสุขภาพสมบูรณ์ดี พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ย่อมมีกำลังทำประโยชน์สร้างสรรเศรษฐกิจ และสังคมของบ้านเมืองได้เต็มที่ ทั้งไม่เป็นภาระแก่สังคมด้วย คือเป็นผู้แต่งสร้างมิใช่ผู้ถ่วงความ เจริญ..."
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยมหิดล
ตุลาคม ๒๕๒๒
"...ร่างกายของเรานั้น ธรรมชาติสร้างมาสำหรับให้ออกแรงใช้งาน มิใช่ให้อยู่เฉยๆ ถ้าใช้แรงให้พอเหมาะพอดีโดยสม่ำเสมอ ร่างกายก็เจริญแข็งแรง คล่องแคล่ว และคงทนยั่งยืน ถ้าไม่ใช้แรงเลยหรือใช้ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะเจริญแข็งแรงอยู่ไม่ได้ แต่จะค่อยๆ เสื่อมไปเป็นลำดับ และหมดสมรรถภาพไปก่อนเวลาอันสมควร ดังนั้น ผู้ที่ปรกติทำการงานโดยไม่ได้ใช้กำลัง หรือใช้กำลังแต่น้อย จึงจำเป็นต้องหาเวลาออกกำลังกายให้พอเพียงกับความต้องการตามธรรมชาติเสมอทุกวัน มิฉะนั้น จะเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่เขาจะใช้สติปัญญาความสามารถของเขาทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและแก่ส่วนรวมได้น้อยเกินไป เพราะร่างกายอันกลับกลายอ่อนแอลงนั้น จะไม่อำนวยโอกาสให้ทำการงานโดยมีประสิทธิภาพได้..."
พระราชดำรัส เพื่อเชิญไปอ่านในการประชุมสัมมนาเรื่องการออกกำลังเพื่อสุขภาพ
วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๒๓
พระราชดำรัสด้านสิ่งแวดล้อม
"...ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่มีความสำคัญควบคู่กับการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าซึ่งเป็นปัญหาร่วมกันของทุกประเทศ กล่าวคือการพัฒนายิ่งรุดหน้าปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และภาวะมลพิษก็ยิ่งก่อตัว และทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่กำลังประสบกับปัญหาดังกล่าวอยู่ในขณะนี้..."
๔ กรกฎาคม ๒๕๔๕
"...วันก่อนนี้เราพูดถึงปัญหาว่าเมืองไทยนี้ อีกหน่อยจะแห้ง ไม่มีน้ำเหลือ จะต้องไปซื้อน้ำจากต่างประเทศ ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าถ้าคำนวณดู น้ำในประเทศไทยที่ไหลเวียนนั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ต้องบริหารให้ดี ถ้าบริหารให้ดีแล้ว มีเหลือเฟือ มีตัวเลขแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้ไปแยกแยะตัวเลข เหมือนที่ได้แยกแยะตัวเลขของคาร์บอนน้ำนั้นน่ะ ในโลกมีมาก แล้วที่ใช้จริงๆ มันเป็นเศษหนึ่งส่วนหมื่นของน้ำที่มีอยู่ อาจไม่ถึง ก็ต้องบริหารให้ดีเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำนี้จะต้องใช้ให้ดี คือ น้ำนั้นมีคุณ อย่างที่เราใช้น้ำสำหรับบริโภค น้ำสำหรับการเกษตร น้ำสำหรับอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้ ต้องใช้น้ำที่ดี หมายความว่า น้ำที่สะอาดน้ำมีมากในโลก เป็นน้ำทะเลเป็นส่วนใหญ่ซึ่งจะใช้อย่างนี้ไม่ได้ แล้วนอกจากนั้นเดี๋ยวนี้ที่กำลังมีมากขึ้น ก็คือ น้ำเน่า จะต้องป้องกันไม่ให้มีน้ำเน่า น้ำเน่าจะมีอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำเน่านั้นเป็นโทษมากเกินไป ฉะนั้นนี่เป็นอีกโครงการหนึ่ง ที่เราจะต้องปฏิบัติ แล้วก็ ถ้าไม่จัดการโดยเร็ว เราก็จะนอนอยู่ในน้ำเน่า น้ำดีจะไม่มีใช้ แม้จะไปซื้อน้ำจากต่างประเทศมาก็กลายเป็นน้ำเน่าหมด เพราะว่าเอามาใช้โดยไม่ได้ระมัดระวังถ้าเรามีน้ำ แล้วมาใช้อย่างระมัดระวังข้อหนึ่ง และควบคุมน้ำที่เสียอย่างไรอีกข้อหนึ่ง ก็อยู่ได้ เพราะว่าภูมิประเทศของประเทศไทย "ยังให้" ใช้คำว่า "ยังให้" ก็หมายความว่ายังเหมาะแก่การอยู่กินในประเทศนี้ไม่ใช่ไม่เหมาะ ที่ๆ เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาเอาไว้ไม่ทำให้ประเทศไทยเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทราย ก็ป้องกันได้ ทำได้พูดกันว่า ถ้าหากไปทำโครงการไฟฟ้าพลังน้ำก็จะไปทำลายป่า ทำให้เสียหายกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมต่างๆ ผู้ที่อนุรักษ์สิงแวดล้อมก็พูดอย่างนั้น อันนี้เป็นความจริง ถ้าไปทำลายป่าแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ สนามกอล์ฟ หรือการท่องเที่ยว หรือการลักลอบตัดป่า เป็นต้น ดังนี้ข้อเสียมันเพิ่มขึ้นได้จริง แต่ว่าถ้าหากไปทำในที่ที่เหมาะสม คำนวณได้ว่าผลเสียในการตัดไม้ส่วนหจึ่งจะคุ้มกับผลได้ คือ เช่นที่บอกว่าตัดต้นไม้นั้น ทำให้คาร์บอนขึ้นไปในอากษศเป็นจำนวนเท่านั้นๆ ทำให้เกิดความระเหยของน้ำเท่านั้นๆ เราก็จะต้องมาเลือกดูว่าจะรักษาป่าไว้ หรือจะต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เราจะต้องใช้อย่างหนึ่งอย่างใด อย่างมีผู้เสนอให้ไปซื้อถ่านหินจากออสเตรเลีย มาสร้างโรงไฟฟ้าใช้ไอน้ำ คือใช้ถ่านหินมาเผา เพื่อที่จะทำความร้อนและขับเทอร์ไบน์ให้เป็นไฟฟ้า คำนวณดู ที่เราจะต้องซื้อถ่านหินจากประเทศออสเตรเลียมา ก็เสียเงินเสียทองเท่าไหร่ มาเผาแล้วจะออกมาเป็นคาร์บอน เวลามาเผาสำหรับหมุนกังหันจะต้องเกิดคาร์บอนขึ้นไปเท่าไหร่ เปรียบเทียบกับที่จะเสียพลังการกำจัดคาร์บอนจากต้นไม้สัก ๓-๔ ต้น นั้นน่ะ มันคุ้มหรือเปล่า ถ้าทำไฟฟ้าด้วยพลังน้ำที่ไม่ต้องตัดต้นไม้ เพียงแต่ตัดต้นหญ้าก็คงไม่เสียหาย..."
พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล
ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๒
"...ชาวบ้านได้มีน้ำใจนำเต่ามาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เลยบอกเขาว่าขอขอบใจที่ไม่ได้ฆ่าเต่า เป็นการอนุรักษ์สัตว์ และนี่ก็เป็นนกที่หาได้ยากแล้วในประเทศไทย ไม่ใช่แต่ประเทศไทย รู้สึกในหลายๆ ประเทศที่ป่ากำลังจะหมดไป ชาวบ้านก็ทราบว่ามีนโยบายโครงการรักษาอนุรักษ์สัตว์ป่า..."
พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๒๗
พระราชดำรัสด้านสิ่งแวดล้อม
"...ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่มีความสำคัญควบคู่กับการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าซึ่งเป็นปัญหาร่วมกันของทุกประเทศ กล่าวคือการพัฒนายิ่งรุดหน้าปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และภาวะมลพิษก็ยิ่งก่อตัว และทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่กำลังประสบกับปัญหาดังกล่าวอยู่ในขณะนี้..."
๔ กรกฎาคม ๒๕๔๕
"...วันก่อนนี้เราพูดถึงปัญหาว่าเมืองไทยนี้ อีกหน่อยจะแห้ง ไม่มีน้ำเหลือ จะต้องไปซื้อน้ำจากต่างประเทศ ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าถ้าคำนวณดู น้ำในประเทศไทยที่ไหลเวียนนั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ต้องบริหารให้ดี ถ้าบริหารให้ดีแล้ว มีเหลือเฟือ มีตัวเลขแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้ไปแยกแยะตัวเลข เหมือนที่ได้แยกแยะตัวเลขของคาร์บอนน้ำนั้นน่ะ ในโลกมีมาก แล้วที่ใช้จริงๆ มันเป็นเศษหนึ่งส่วนหมื่นของน้ำที่มีอยู่ อาจไม่ถึง ก็ต้องบริหารให้ดีเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำนี้จะต้องใช้ให้ดี คือ น้ำนั้นมีคุณ อย่างที่เราใช้น้ำสำหรับบริโภค น้ำสำหรับการเกษตร น้ำสำหรับอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้ ต้องใช้น้ำที่ดี หมายความว่า น้ำที่สะอาดน้ำมีมากในโลก เป็นน้ำทะเลเป็นส่วนใหญ่ซึ่งจะใช้อย่างนี้ไม่ได้ แล้วนอกจากนั้นเดี๋ยวนี้ที่กำลังมีมากขึ้น ก็คือ น้ำเน่า จะต้องป้องกันไม่ให้มีน้ำเน่า น้ำเน่าจะมีอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำเน่านั้นเป็นโทษมากเกินไป ฉะนั้นนี่เป็นอีกโครงการหนึ่ง ที่เราจะต้องปฏิบัติ แล้วก็ ถ้าไม่จัดการโดยเร็ว เราก็จะนอนอยู่ในน้ำเน่า น้ำดีจะไม่มีใช้ แม้จะไปซื้อน้ำจากต่างประเทศมาก็กลายเป็นน้ำเน่าหมด เพราะว่าเอามาใช้โดยไม่ได้ระมัดระวังถ้าเรามีน้ำ แล้วมาใช้อย่างระมัดระวังข้อหนึ่ง และควบคุมน้ำที่เสียอย่างไรอีกข้อหนึ่ง ก็อยู่ได้ เพราะว่าภูมิประเทศของประเทศไทย "ยังให้" ใช้คำว่า "ยังให้" ก็หมายความว่ายังเหมาะแก่การอยู่กินในประเทศนี้ไม่ใช่ไม่เหมาะ ที่ๆ เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาเอาไว้ไม่ทำให้ประเทศไทยเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทราย ก็ป้องกันได้ ทำได้พูดกันว่า ถ้าหากไปทำโครงการไฟฟ้าพลังน้ำก็จะไปทำลายป่า ทำให้เสียหายกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมต่างๆ ผู้ที่อนุรักษ์สิงแวดล้อมก็พูดอย่างนั้น อันนี้เป็นความจริง ถ้าไปทำลายป่าแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ สนามกอล์ฟ หรือการท่องเที่ยว หรือการลักลอบตัดป่า เป็นต้น ดังนี้ข้อเสียมันเพิ่มขึ้นได้จริง แต่ว่าถ้าหากไปทำในที่ที่เหมาะสม คำนวณได้ว่าผลเสียในการตัดไม้ส่วนหจึ่งจะคุ้มกับผลได้ คือ เช่นที่บอกว่าตัดต้นไม้นั้น ทำให้คาร์บอนขึ้นไปในอากษศเป็นจำนวนเท่านั้นๆ ทำให้เกิดความระเหยของน้ำเท่านั้นๆ เราก็จะต้องมาเลือกดูว่าจะรักษาป่าไว้ หรือจะต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เราจะต้องใช้อย่างหนึ่งอย่างใด อย่างมีผู้เสนอให้ไปซื้อถ่านหินจากออสเตรเลีย มาสร้างโรงไฟฟ้าใช้ไอน้ำ คือใช้ถ่านหินมาเผา เพื่อที่จะทำความร้อนและขับเทอร์ไบน์ให้เป็นไฟฟ้า คำนวณดู ที่เราจะต้องซื้อถ่านหินจากประเทศออสเตรเลียมา ก็เสียเงินเสียทองเท่าไหร่ มาเผาแล้วจะออกมาเป็นคาร์บอน เวลามาเผาสำหรับหมุนกังหันจะต้องเกิดคาร์บอนขึ้นไปเท่าไหร่ เปรียบเทียบกับที่จะเสียพลังการกำจัดคาร์บอนจากต้นไม้สัก ๓-๔ ต้น นั้นน่ะ มันคุ้มหรือเปล่า ถ้าทำไฟฟ้าด้วยพลังน้ำที่ไม่ต้องตัดต้นไม้ เพียงแต่ตัดต้นหญ้าก็คงไม่เสียหาย..."
พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล
ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๒
"...ชาวบ้านได้มีน้ำใจนำเต่ามาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เลยบอกเขาว่าขอขอบใจที่ไม่ได้ฆ่าเต่า เป็นการอนุรักษ์สัตว์ และนี่ก็เป็นนกที่หาได้ยากแล้วในประเทศไทย ไม่ใช่แต่ประเทศไทย รู้สึกในหลายๆ ประเทศที่ป่ากำลังจะหมดไป ชาวบ้านก็ทราบว่ามีนโยบายโครงการรักษาอนุรักษ์สัตว์ป่า..."
พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๒๗
ประมวลพระราชดำรัส "เศรษฐกิจพอเพียง" และ "ทฤษฎีใหม่"
ขอขอบใจที่ท่านทั้งหลายมาให้พรในวันนี้ และที่นายกฯ ได้กล่าวคำให้พร ซึ่งนับว่าเป็นคำให้พร ที่ให้กำลังใจ ต้องมีกำลังใจ อย่างเมื่อสักครู่นี้ ไม่ได้ลุกขึ้น เพราะว่ากำลังใจอาจจะมี แต่กำลังกายมันไม่มี ฉะนั้นจึงไม่ ไม่ลุกขึ้น ถ้าลุกขึ้น ก็เสียกำลังกายเปล่าๆ แต่ท่านก็เข้าใจ ที่ว่าอย่างนี้ เพราะว่าจะต้องรักษากำลังกายไว้ให้ดี ซึ่งกำลังกายไม่ค่อยดีด้วยเหตุว่า การออกกำลังนี้ เกินส่วนที่จะมีทางที่จะมีกำลัง ก็เลยต้องประหยัดกำลัง
แต่ในเวลาเดียวกัน ถ้ามีกำลังกายไว้ ก็คงเข้าใจว่าจะมีประโยชน์ เพราะว่าชาติบ้านเมือง ต้องใช้กำลังกาย กำลังจิตใจด้วย อย่างที่ท่านนายกฯ ต้องออกกำลังกาย และกำลังจิตใจ คนก็ได้เห็นทั้งนั้น ว่าได้ประโยชน์ ก็เลยจึงต้องอธิบายนิดหน่อย แต่การที่มีกำลังใจ กำลังกายนี้ จะต้องให้ทุกคนได้ร่วมกัน ช่วยกัน ร่วมกันออกกำลังกาย กำลังใจ เพื่อให้ชาติบ้านเมืองรอดพ้นอันตรายได้
คนเขาเอะอะเดี๋ยวนี้ก็โยนให้รัฐบาลต้องทำ ซึ่งรัฐบาลก็ไม่ค่อยมีกำลัง เพราะว่ารัฐบาลนี้แก่มาก ก็ความจริง ความแก่นี่เป็นกำลัง ข้าพเจ้าน่ะยังไม่ถึง 78 จะ 79 ยัง ยัง 78 พรุ่งนี้ถึงจะเป็น 79 แล้วก็ยังไม่ถึง 80 เอะอะอะไรก็บอกว่า 80 80 ซึ่งก็คนที่อายุ 80 ท่านมีกำลังมาก ฉะนั้นก็ นายกฯ ก็ยังไม่ 80 นายกมีกำลังมาก แต่ข้าพเจ้าอีกไม่กี่ ไม่กี่วันก็จะเข้าปี ปี 80 ที่ปี 80 นี้นับว่ามาก แล้วก็ความจริงอายุคนที่อายุ 80 ก็เชื่อว่ามีกำลังที่จะปฏิบัติงานได้อีกเยอะ ไม่ใช่ ไม่ใช่น้อย
ฉะนั้นที่พูดเริ่ม เริ่มต้นนี้ดูท่าทางเหมือนว่าน้อยใจว่าอายุมาก แต่ว่าถ้าอายุมากขึ้น มันก็เป็น เป็นประโยชน์ ได้เปรียบ คนไหนที่อายุน้อยๆ เสียเปรียบ เพราะไม่มีความรู้ เรียกว่าคนที่อายุน้อยๆ เป็นคนที่เซ่อ เป็นคนที่ไม่ ไม่มีความสามารถ ฉะนั้นคนที่อายุมากๆ เป็นคนที่ได้เปรียบ เพราะว่าถ้าใช้คุณสมบัติของคนที่มีอายุ เรียกว่ามีประสบการณ์ ก็ต้องถือว่า เป็นคนที่ได้เปรียบ แล้วก็คนที่อายุน้อย อาจจะดูถูกคนที่อายุมาก เพราะมีปมด้อยนั่นเอง
คนที่อายุน้อยๆ นึกว่าไม่มีความสามารถ เลยต้อง ต้องดูถูกคนที่อายุมาก แต่ก็ขอบอกว่าคนที่อายุมาก ถ้ารักษาความดี รักษาคุณสมบัติ คุณธรรม ก็ได้เปรียบคนที่อายุน้อย และในประเทศชาติ ถ้ามีคนที่มีอายุมาก และได้เปรียบ ชาติบ้านเมืองจะก้าวหน้าได้ ถ้ามีแต่คนเด็กๆ ที่ไม่ ไม่ถือว่ามีความสามารถแล้ว ชาติบ้านเมืองไม่ก้าวหน้า จะต้อง พูดอย่างนี้ท่านผู้ใหญ่ก็อาจจะบอกว่า นี่แหละ คนที่อายุมากนี่ มีประโยชน์
แต่คนที่อายุมาก แต่ว่าไม่ใช้ ความ ความได้เปรียบของความที่อายุมากน่ะ ก็เป็นเด็ก เป็นคนที่เยาว์ใน เป็นคนที่เยาว์ในความคิด และอันตรายมาก เพราะมีคนที่เขาบอกว่าเขาแก่แล้ว แล้วน้อยใจว่าแก่ เมื่อน้อยใจว่าแก่ คนอย่างนี้เป็นคนที่ไม่ ไม่เป็นผู้ใหญ่ แล้วคนที่ไม่เป็นผู้ใหญ่นี่ ทำให้บ้านเมืองล่มจมได้ มัวแต่ไปน้อยใจว่าอายุมาก แก่ แล้วก็ไม่ใช้ความอายุมาก เป็นประโยชน์นี่ น่าอนาถ
ถ้ามัวแต่บอกว่าเรา เราแก่ แล้วก็น้อยใจว่าแก่ ไม่มีดีแน่ เพราะว่า แสดงให้เห็นว่าแก่จริงๆ หงำเหงอะ เรียกว่าหงำเหงอะ ที่บอกว่าตัวแก่ แล้วไม่ใช่ ก็ไม่ ไม่ใช้ความแก่ ความชรา ความก้าวหน้าของจิตใจที่อายุมาก ที่มีประสบการณ์ มาใช้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และต่อส่วนรวม ถ้าคนที่อายุมาก แล้วก็ใช้ความอายุมาก เป็นประสบการณ์
คนมีประสบการณ์นั้น ช่วยคนอื่นได้มาก แล้วก็คนที่ อย่าเอาไม่มีประสบการณ์ ทำให้บ้านเมืองล่มจมได้ เพราะว่าคนที่เชื่อว่า คนที่อายุ มากนั้นน่ะ เป็นคนหงำเหงอะ เป็นคนไม่ ไม่มีประสบการณ์ ก็ว่าคนที่อายุมาก มีประสบการณ์ จะมีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน แต่ก็มีประสบการณ์ ได้ ได้เล่าเรียนมามากหรือน้อย แต่ก็มีประสบการณ์ ประสบการณ์นี้ ช่วยให้ส่วนรวมก้าวหน้าได้ ในระยะหลังนี้ดูว่า คนที่ไม่มีประสบการณ์ แต่ก็แก่ ได้ทำให้บ้านเมืองล่มจมไปเยอะเหมือนกัน
ฉะนั้น ก็ขอให้คนที่ คนที่เขา เขาว่าว่าแก่แต่ว่ามีประสบการณ์ แล้วมีประสบการณ์ที่ดี ทำให้บ้านเมืองดำเนินงานไปได้ ขอให้พวกที่แก่นี่ ได้มีความสำเร็จ ได้มีความสำเร็จในงานการ ก็เชื่อว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อพูดถึงแก่ หรือถึง อายุมากอายุน้อยนี่ พูด คน มีคนที่รู้สึกว่ากระทบกระเทือน อยู่บ้าง เพราะว่าเขาบอกว่าแก่ ตอนที่รัฐบาล ได้มีการตั้งรัฐบาล ก็ตั้งมาด้วยดี โดยที่คนตั้งใจที่จะทำงาน ที่จะพยายาม ก็ไม่ทราบว่าได้ตั้งใจจริงๆ หรือไม่
แต่ว่าคนแก่นี่ ขึ้นมาเป็น เป็น ขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ หรือเป็นตำแหน่งใหญ่ เขาไม่มีต้องการอะไร ของตัว ไม่ได้มีความโลภว่าจะ จะต้องการตำแหน่ง แต่ว่าเห็นว่าต้องมีคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง ผู้ที่อายุมากก็ยอมรับ เขาจะว่าว่าแก่นำ ก็ไม่มีใครว่า ผู้ที่ได้มารับตำแหน่งรัฐบาล หรือตำแหน่งที่สำคัญๆ เพราะว่าได้ทำมามากแล้ว ที่เขาว่า ว่าแก่ ตรงข้ามก็คงต้องถือว่า เป็นคำชมเชยว่า อุตส่าห์ แก่แล้ว ควรจะพักผ่อนได้ ไม่เอา เขาขอให้เป็นก็เป็น นี่เป็นสิ่งที่น่าชมเชย
แต่คนที่ ที่ว่าอาจจะเป็น มาจากความอิจฉาก็ได้ อิจฉาก็ช่างเขา เพราะว่า หมายความว่าทำไม่ได้ คนที่ว่า ยังไงก็คนที่ คนที่รับเป็น เข้าใจ เดาใจว่า ถ้าสมมุติว่าทำขึ้นมา แล้วก็ทำไม่ได้ก็บอกว่าทำไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้เคยเป็น ไม่เคยทำ หน้าที่อย่างนี้ ก็ทำเท่าที่ทำได้ แต่เชื่อว่าทำได้ เพราะว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์
ในวันที่มารับตำแหน่ง มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า มารับตำแหน่งในเวลาที่ ที่เป็นระยะที่เดือดร้อน ไม่ใช่เรื่องการเมือง ไม่อยากพูดการเมือง การเมืองน่ะเบื่อแล้ว ไม่อยากพูด แต่ว่าน้ำมันท่วม แล้วก็ที่บอกว่า ที่น้ำท่วม บอกว่า เขาว่า เพราะว่า น้ำมันลงมามาก แล้ววันนั้นก็บอกว่า ความจริงไม่มากเท่าที่เคย รู้สึกท่านรัฐมนตรีต่างๆ ก็ทำหน้าเหรอว่าจริง น้ำนั้นน้อย น้ำไม่น้อย น้ำลงมา ฝนลงมา ไม่น้อย แต่ไม่มากเท่าที่เคย มาสองสามวันนี้เท่านั้นเอง มีคนที่เขารู้เรื่องน้ำ เขามาบอกเออจริง ปีนี้ที่ลงมา น้ำ น้ำที่หล่นมาจากฟ้า น้อยกว่าปี 38 น้อยกว่าจริงๆ
เราก็พูดเพราะว่ามีประสบการณ์ว่า จำได้ว่า น้ำเมื่อปี 38 มีมากจริงๆ แต่น้ำลงมาไม่ ไม่มากเท่า ปีนี้ไม่มากเท่าปี 38 พึ่งมาบอกว่าจริง ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่มาดู เกี่ยวข้องกับน้ำลงมา น้ำลงมาน้อยกว่าปี 38 เราก็ดีใจที่พูดไม่ผิด แต่ว่าปีนี้ร้ายแรงกว่า เพราะว่าบริหารน้ำไม่ดี คำว่าบริหารน้ำนี่หมายความว่า ถึงเวลาจะปล่อยน้ำลงไป ถึงเวลาที่จะต้องกักน้ำไว้ ไม่ทำ ปีนี้ถ้ากักเอาไว้ หรือปล่อย ในเวลาที่ถูกหลัก ถูกจังหวะ ก็เชื่อว่าไม่ท่วมเท่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้
แต่ยังไม่ช้าเกินไป อีกสองสามวันข้างหน้านี้ จะเป็นเวลาที่จะต้องบริหารน้ำให้ดีขึ้น วันนี้ ที่เอารถนี่มา ไม่ใช่ เข็นรถว่าสนุกๆ ในนี้มี มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับสองสามวันข้างหน้านี่ น้ำจะมากแค่ไหน น้ำจะขึ้นลง มากกว่าปี 38 แต่ว่าที่ดูในปีนี้ แก้ไขได้ คือบริหารน้ำให้ไม่ท่วมได้ เพราะว่าเรามีอุปกรณ์ที่สมัยใหม่ ที่จะทำให้น้ำลดลงไป หายไป ได้ดีกว่าปี 38 ปีนี้หลายแห่งที่จะทำได้ โดยเฉพาะที่แม่น้ำเจ้าพระยานี่เอง ตรงปลายแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำ ถึงเวลาน้ำขึ้น ก็กั้นเอาไว้ ไม่ให้น้ำมันขึ้นมาท่วม
จุดนี้พูดถึง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ถึงเวลาปล่อย ก็ปล่อยได้ อันนี้ และโดยเฉพาะแห่งเดียวที่ เป็นอุปกรณ์ที่มีอยู่แล้ว คือที่ พระประแดง ที่มีอุปกรณ์ที่เวลาน้ำขึ้น กักเอาไว้ แล้วก็เวลาน้ำลง ปล่อยให้ลง คือที่คลอง นี่ นี่แก่จำไม่ได้แล้ว คือ ชื่อ คือที่ ที่ตรง มีได้ทำโครงการ ได้ทำโครงการที่จะปล่อยน้ำออกไปได้ เวลาน้ำลง แล้วก็เวลาน้ำขึ้นก็ปิดเอาไว้ ตรงนั้นคลอง 600 เมตรเท่านั้นเอง ถ้าเปิด มันก็ทะลักเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้าปิด น้ำจะอ้อมไป ถึงคลองเตย อ้อมไป อันนี้ วิธีที่จะบริหารน้ำให้ดี ก็วิธีที่ทำให้ทราบว่า เวลาไหนน้ำกำลังขึ้น ปล่อยให้ออกไป อ้อมไปที่ทางคลองเตย กว่าจะถึงตรงปลาย น้ำก็ลง พอน้ำขึ้นเป็นเวลา แล้วน้ำลงเป็นเวลา
แต่ว่าเวลาน้ำขึ้น มันมีเวลาของเขา กรณีนี้มีอยู่ ที่เขียนเอาไว้ ว่าขึ้นเวลานั้นๆ สูงขึ้นมา 2 เมตร 2 เมตรกว่า เวลาน้ำลง น้ำเขาก็ลง ลงไป ทำให้เป็นจังหวะ ถ้าไม่ได้จังหวะ เปิดประตูน้ำเวลาน้ำขึ้น มันก็ทะลักเข้ามา ก็เข้ามา อาจจะท่วมได้ น้ำอาจจะขึ้นไปสูงกว่า 2 เมตร น้ำมันขึ้น ขึ้น 2 เมตร 2 เมตร 20 2 เมตร 30 แต่ว่าถ้าเราปิดในเวลานั้น น้ำก็ไม่ ไม่ทะลักมาใน ในถนน ใน ในกรุงเทพฯ เวลาน้ำลง เราก็ปล่อยออกมา ก็หมายความว่า ต้องให้ถูกต้อง และมันเป็น มันเป็นเวลา ถ้าทำเป็นเวลาแล้วน้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้กรุงเทพฯ ก็ต้องท่วม แต่ว่าถ้า ถ้าไม่ทำให้ถูกต้อง ถูกเวลา ถ้าฝนตกมาด้วย ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่น่าจะฝนตก แต่ว่ามีฝนตก น้ำท่วม แต่ถ้าน้ำท่วมรถแล่นไปก็จมน้ำ
ฉะนั้นผู้ที่มีหน้าที่ไม่ได้ทำหน้าที่ แต่ตอนนี้เขาคงทำ เพราะว่าบอกเขา บอกเขาทำให้ ปล่อยน้ำเวลา เวลาน้ำมันลง น้ำขึ้นก็กักเอาไว้ มีทุกอย่างเดี๋ยวนี้ นี่แห่งเดียวที่ ที่มีอุปกรณ์อยู่แล้ว ที่อื่นก็ควรจะทำ บอกมาหลายปีแล้ว ทำ แถวสมุทรสาคร ควรจะ ควรจะทำได้ แต่ก็ต้องลงทุน ลงทุนไม่ใช่น้อย ข้อสำคัญต้องลงแรง ตามคลองชายทะเลก็เคยมี เมื่อ 9 ปี เมื่อปี 38 นั่นแหละ ส่งองครักษ์ไป ไปดู ไปดู โดยมากก็ต้องเป็นตอนกลางคืน ก็ไปไป เห็นคนเขานอนหลับสบายที่ชายทะเล แล้วก็ พวกที่ไปนี่ ก็ไปทักทาย บอกว่า เปิด ควรจะเปิด จะเปิดไหม เขาบอกว่า ถ้าเขาไม่ได้บอกให้เปิด ก็ไม่เปิด ปิดหรือเปล่า ปิด เขาไม่ได้บอกให้ปิด ก็ไม่ปิด น้ำก็ทะลักเข้ามาก็ท่วม ท่วมในคลอง คลองก็มาท่วมใน ในกรุง จากชายทะเล
แต่ถ้าทำถูกจังหวะน้ำไม่ท่วม ตอนที่ทำ ทาง ทางฝ่ายกทม. นั้นก็ต้องดู แต่ไม่รู้เรื่อง ว่าควรจะเป็นอย่างไร คนที่ชายทะเล ที่ดูแล ที่นอนสบาย เขาบอกว่า คุณมาจากไหน รู้ได้อย่างไร รู้เรื่องได้อย่างไร น้ำมันขึ้นจริงๆ นะ เขาก็นึกว่า มาทำไมมาบอก รู้ว่าขึ้นทำไมไม่ปิด ทำไมรู้ว่าลงไม่เปิด เขาก็ถาม คุณมีตำแหน่งอะไร เขาบอกเป็นนายพล เป็นนายพลมาจากไหน มาจากในวัง ก็เลยชักจะรู้ เข้าใจว่ารู้เรื่อง ทำไมรู้เรื่องอย่างนี้ เขาก็เชื่อ แต่ว่านายไม่เชื่อ นายผู้ใหญ่ต่างๆ น่ะ เขาไม่ได้ ไม่ได้สั่งว่าเวลานั้น เวลานั้น ต้องเปิดต้องปิด ที่ต้องเปิดต้องปิดเวลานี้ วิกาล ก็เพราะว่าน้ำมันไม่ค่อยไหล
น้ำขึ้นน้ำลง ท่านเป็นทหารเรือ ผู้ที่เป็นทหารเรือ ก็รู้เรื่องว่าน้ำขึ้นลงเวลาไหน ก็ต้อง ต้องรู้ น้ำขึ้น น้ำลง แล้วก็ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำท่วม แต่นี่ ไม่ ไม่ทุกข์ ตัวเขานอนสบาย ไม่ ไม่ทุกข์ แต่ว่าคนที่อยู่ข้างในนั้นทุกข์ ฉะนั้นเดี๋ยวนี้ยังมีเวลาที่จะแก้ไข ไม่อย่างนั้นถึงปีใหม่ก็น้ำก็ท่วมอีก ก็เลยบอกว่าถ้าท่านที่มีหน้าที่ไป ไปดู ไปดูว่าจะต้อง ไม่ใช่ ไม่ใช่คนที่ใน ในพระนคร แต่ว่า เห็นประโยชน์ของการสกัดน้ำไม่ให้ขึ้น ไม่ให้ น้ำไม่ให้กักอยู่ในข้างใน ก็ไปดู
ที่ไป เมื่ออาทิตย์สองอาทิตย์นี่ สมเด็จพระเทพฯ ไป ไปดู แต่มืดนะ มืดแต่ว่าเราต้องไป ตอนที่มืด เพราะมัน เขาไม่เห็น แต่ก็อย่างไรแล้วน่าจะไป ทีนี้งานข้าพเจ้าหมดแล้ว 2 วัน 3 วันนี้ น่าจะหมด ก็จะ จะไปดู กระเพลก แล้วก็ไป แล้วกระเผลก ก็ไป ก็ไปดู ไปดูชายทะเล ว่าเป็นอย่างไร เพราะว่ายังจำเป็นที่จะดู แต่ว่าจนถึงเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าไปไม่ได้ ไม่ไหว ปวดหลัง ก็เลยถึง ไม่ ไม่ได้ไป แต่ที่ ที่ไปดูก็มี สมเด็จพระบรมฯ สมเด็จพระเทพฯ ก็ไป แต่ว่าบอกว่ายังไม่รู้เรื่องว่า ควรจะเปิดปิดยังไง เพราะว่ามันต้องมี มีตาม ตามเวลาให้เหมาะสม ให้ถูกต้อง แต่ตอนนี้ก็คงจะค่อยยังชั่ว
ทางชลประทานเขาบอก ปลายปีก็หมดแล้ว ปลายปียังมีอีกเดือน ที่จะขลักขลักในน้ำ แล้ว แล้วฝนก็ยังลง ฉะนั้นก็ ให้ทำให้ถูกต้อง ก็เชื่อว่า จะดี จะไม่ ไม่ช้าเกินไป นี่คงนึกทำไม จวนจะหมดฤดูกาลแล้ว ถึงมาพูด แต่ว่ามาพูดเพราะว่า ที่ผ่านมาพูดไม่มีใครได้ยิน เพราะเสียงมันแหบ วันนี้ได้ ได้ใช้ยาผีบอก อันยาผีบอกนี่ พลตรีเป็นคนปรุงให้ ก็ จิบไป จะจิบต่อไป อ้าวเขาเอาไปแล้ว ไม่รู้ จะต้องจิบทีละนิด วันนี้เสียงนับว่าดี ได้ ได้แจ้งให้ทราบว่า จะต้องทำอะไรสำหรับไม่ให้น้ำท่วม แต่ว่าการที่พูดแล้วก็ไม่ได้พูดมาก เพราะว่า เพราะว่า คนพูดมากเกินไปน้ำท่วมทุ่ง ก็กลัว กลัวว่าเดี๋ยวน้ำท่วมทุ่ง ตลอดเลย อ่างทองลงมาถึง ถึงนนทบุรี ถึงในกรุง น้ำไม่ท่วมทุ่ง คนพูดมากเกินไป คนพูดมากจนกระทั่งน้ำท่วมทุ่ง ทุ่งนา ท่วมหมด เลย ไม่ค่อยอยากพูดมากเกินไป พูดมากแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็ไม่สำคัญ
เรื่องอื่นๆ ที่จะพูด เราเอาไว้ปีหน้า ปีหน้าน้ำไม่ต้องท่วมทุ่ง เพราะว่านายกฯ ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าปีหน้าจะไม่อยู่ อาจจะอยู่ก็ได้ พูดอย่างนี้เดี๋ยวฝรั่งเขาหาว่า The King สั่ง สั่งนายกฯ ขึ้นมา ไม่ ไม่สั่ง สั่งไม่ได้ พล.อ.สุรยุทธ์ ใครจะมาสั่งให้ทำอะไร สั่งไม่ได้ เพราะว่าท่านแข็ง ท่านแข็ง แล้วก็ท่านก็ไม่ ไม่ได้ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า เป็น เป็นคนที่มีหลัก มีเกณฑ์ ดังนั้นก็ ปีหน้านี่ สั่งอะไรไม่ได้แล้ว ปีหน้าท่าน ท่านก็สบาย ไม่ต้อง ก็แสดงให้เห็นว่าทำอะไรที่ดี เรียบร้อย ก็เชื่อว่าจะทำสำเร็จ เรียบร้อย ฉะนั้น คงมีบางอย่างที่ทำแล้ว รู้สึกไม่แน่ใจว่าทำถูก หรือไม่ถูก แต่อย่างไรก็เชื่อว่า ทำด้วยความตั้งใจดี ทำด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ก็คงต้องผ่านอีกปี ที่ ที่ว่า ข้ามปี
ฉะนั้นก็ไม่ต้องพูดมาก เพราะว่า ถ้าพูดมากก็ เปล่าประโยชน์ อย่างนี้ต่อไป เชื่อว่าการปกครอง ก็จะได้ทำประโยชน์ ได้ทำระดับตัวอย่างแล้ว แต่ถ้าคนไม่เอา ไม่ ไม่ดูตามตัวอย่าง บอกว่าที่ทำนี่โคมลอย ก็ช่างหัวเขา เขา คนที่ตำหนิติเตียน ไม่เชื่อว่าทำด้วยความ คนที่ทำด้วยความตั้งใจดี ไม่มีผลประโยชน์ของตัว เป็นของที่สำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าถ้าทุกคนที่มีตำแหน่งที่สำคัญ ต้องทำด้วยความตั้งใจดี ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ก็เชื่อว่าบ้านเมืองจะผ่านพ้นอันตรายได้ ต้องเข้าใจด้วยว่าทำไม ทำไมต้องพูดอย่างนี้ ที่พูด เพราะว่าคนที่ทำมีความตั้งใจดีดี
แต่มีคนที่ไม่ดี ไม่มีความตั้งใจดีก็มี หรือถ้ามีแต่ตั้งใจดี แต่ไม่ ตั้งใจดี ไม่รู้เรื่อง ก็อาจจะเสียหายได้ ดังนั้นก็หวังว่า ทุกคนที่มีหน้าที่ จะได้ทำตามหน้าที่ จะได้ อายุ 80 ทีนี้สบายใจ คืออายุ 80 นี่ พี่สาวนี่เคยบอกว่า ถึงเวลาอายุ 80 ไม่ไหว ท่านอายุ 84 ก็เหนื่อย ท่านไม่ค่อยสบายเดี๋ยวนี้ ก็เลยต้องพูดถึงท่าน ขอให้ท่านสบาย และมีความ มีความสำเร็จในการรักษาตัว ถ้าเดี๋ยวนี้เขา คนที่มี เป็นผู้ใหญ่ เหลือ ข้าพจ้าเหลือคนเดียว คือพี่สาว คนอื่นก็ไม่ ไม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว
แล้วก็ที่ท่านมาให้กำลังใจอย่างนี้ ก็เชื่อ จะทำให้ข้าพเจ้าทำงาน ทำการต่อไปได้ เดี๋ยวนี้มีความรู้สึกว่า คนที่มานั่งที่นี่เด็กๆ ทั้งนั้น ก็ถือว่าเด็กๆ ทั้งนั้น นอกจากแถวนี้ แก่ๆ ทั้งนั้น แถวนี้แก่ๆ ทั้งนั้น แต่ส่วนมากก็ ก็เด็กกว่าเรา ประหลาดที่สุดไม่เคยนึก มีคนเดียวที่แก่ คนเดียวที่แก่กว่า แต่ว่าท่าน ท่านก็ไม่ยอมแก่ ไม่ยอมใช่ไหม ไม่ยอมแก่ ก็เลยนึกว่าคนที่ คนที่แก่ แต่ไม่ยอมแก่ ทำงานเข้มแข็งก็ดี ทางนี้ก็มี ที่ ที่แก่แต่ไม่ยอมแก่ ฉะนั้นก็ หวังว่าทุกคนที่ทำงานด้วยความตั้งใจ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความรู้ตัวว่าทำงาน ด้วยความแก่ที่ดีให้สำเร็จ มีความสำเร็จ
ก็ขอให้ท่านประสบความสำเร็จ ในงานของคนแก่ แต่ว่างานที่ถูกต้อง คนที่ทำไม่ถูกต้องไม่ได้ไม่ให้พร ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จ ในงานการของคนแก่ เพื่อให้ส่วนรวมได้สามารถ ที่จะปฏิบัติเป็นผลดี อย่างนี่ นี่ คนแก่ เขาก็ถือว่าเขาก็แก่ แต่ก็ทำงานด้วยความตั้งใจ ก็ขอให้ประสบความสำเร็จเรียบร้อยทุกประการ