แบบทดสอบค้นหาตนเอง
ใบความรู้ที่ 1
งานอาชีพ
อาชีพ หมายถึง งานซึ่งบุคคลใดบุคคลหนึ่งปฏิบัติอยู่ไม่หมายรวมถึงอุตสาหกรรม กิจการสถานภาพในการทำงาน หรือประสบการณ์ในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน
งานอาชีพ หมายถึง การทำกิจกรรม การทำงาน การประกอบการที่ไม่เป็นโทษแก่สังคมและมีรายได้ตอบแทน โดยอาศัยแรงงาน ความรู้ ทักษะ อุปกรณ์ เครื่องมือ วิธีการแตกต่างกันไป
2. ความรู้เกี่ยวกับอาชีพ
อาชีพทั่วไปสามารถจัดแบ่งตามลักษณะได้เป็น 2 ลักษณะ
1. การแบ่งอาชีพตามเนื้อหาวิชาของอาชีพ
2. การแบ่งอาชีพตามลักษณะของการประกอบอาชีพ
1. การแบ่งอาชีพตามเนื้อหาวิชาของอาชีพ
1) การเกษตรกรรม
2) การประมง
3) การผลิตและจำหน่ายสินค้าบริโภค
4) การผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภค
5) การผลิตและจำหน่ายสินค้างานฝีมือและสิ่งประดิษฐ์
6) การให้บริการ
2. การแบ่งอาชีพตามลักษณะของการประกอบอาชีพ
1. อาชีพอิสระ
2. อาชีพรับจ้าง
1. อาชีพอิสระ
อาชีพอิสระ หมายถึง อาชีพทุกประเภทที่ผู้ประกอบการดำเนินการด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียวหรือเป็นกลุ่มอาชีพอิสระเป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้คนจำนวนมาก แต่หากมีความจำเป็นอาจมีการจ้างคนอื่นมาช่วยงานได้ เจ้าของกิจการเป็นผู้ลงทุน และจำหน่ายเอง คิดและตัดสินใจด้วยตนเองทุกเรื่อง ซึ่งช่วยให้การพัฒนางานอาชีพเป็นไปอย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ การประกอบอาชีพอิสระ เช่น ขายอาหาร ขายของชำ ซ่อมรถจักรยานยนต์ ผู้ประกอบการจะต้องมี
ความรู้ความสามารถเรื่องการบริหารการจัดการ เช่น การตลาด ทำเล ที่ตั้ง
เงินทุน การตรวจสอบ และประเมินผล
2. อาชีพรับจ้าง
อาชีพรับจ้าง หมายถึง อาชีพที่มีผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการโดยตัวเองเป็นผู้รับจ้างทำงานให้ และได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง หรือเงินเดือน อาชีพรับจ้างประกอบด้วย บุคคล ๒ ฝ่าย ซึ่งได้ตกลงว่าจ้างกัน บุคคลฝ่ายแรกเรียกว่า “นายจ้าง” หรือผู้ว่าจ้าง บุคคลฝ่ายหลังเรียกว่า “ลูกจ้าง” หรือผู้รับจ้าง มีค่าตอบแทนที่ผู้ว่าจ้าง จะต้องจ่ายให้แก่ผู้รับจ้างเรียกว่า “ค่าจ้าง”
ข้อดี คือ ไม่ต้องเสี่ยงกับการลงทุน เพราะลูกจ้างจะใช้
เครื่องมือ อุปกรณ์ที่นายจ้างจัดไว้ให้ทำงานตามที่นายจ้างกำหนด
ข้อเสีย คือ มักจะเป็นงานที่ทำซ้ำๆ เหมือนกันทุกวัน และต้องปฏิบัติตามกฎ ระเบียบของนายจ้าง
การประกอบธุรกิจตามแนวปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง
กระแสโลกาภิวัฒน์ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการเคลื่อนย้ายคนและข้อมูลข่าวสารอย่างเสรี การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
เกินการสร้างทดแทน ซึ่งส่งผลให้ธรรมชาติขาดสมดุล เกิดภาวะโลกร้อน
เกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม การประกอบธุรกิจ
ในยุคโลกาภิวัฒน์นั้น ผู้ประกอบการต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง มีความรอบคอบ ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง และรู้จักปรับเปลี่ยนอย่างมีเหตุผลโดยนำแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการประกอบธุรกิจให้มีความมั่นคง เข้มแข็ง ยั่งยืน พออยู่ พอกิน มีรายได้ มีการออม
และมีทุนในการขยายกิจการ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชากรในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินทางสายกลาง เพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์
ประโยชน์ของเศรษฐกิจพอเพียง คือ
การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้เทคโนโลยี และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี”
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีหลักพิจารณาอยู่ 5 ประการดังนี้
1. กรอบแนวความคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน
ในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สมารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลง
อยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพื่อความมั่นคง
และความยั่งยืน
ของการพัฒนา
2. คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้
ในทุกระดับโดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน
3. คำนิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ พร้อม ๆ กัน ดังนี้
1) ความพอประมาณ: หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป
โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่นการผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับ
พอประมาณ
2) ความมีเหตุผล: หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น
จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ
3) การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว: หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ
และการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้
ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล
4. เงื่อนไข
การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ
1) เงื่อนไขความรู้: ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ
2) เงื่อนไขคุณธรรม: ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย
มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
5. แนวทางปฏิบัติ
ผลจากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม
สิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี
การนำเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ ต้องคำนึงถึง 4 มิติ ดังนี้
1.ด้านเศรษฐกิจ
ลดรายจ่าย / เพิ่มรายได้ / ใช้ชีวิตอย่างพอควร / คิดและวางแผนอย่างรอบคอบ/ มีภูมิคุ้มกัน/ ไม่เสี่ยงเกินไป/ การเผื่อทางเลือกสำรอง
2.ด้านสังคม
ช่วยเหลือเกื้อกูล / รู้รักสามัคคี / สร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวและชุมชน
3.ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
รู้จักใช้และจัดการอย่างฉลาดและรอบคอบ / เลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างรู้ค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด / ฟื้นฟูทรัพยากรเพื่อให้เกิดความยั่งยืนสูงสุด
4.ด้านวัฒนธรรม
รักและเห็นคุณค่าในความเป็นไทย เอกลักษณ์ไทย / เห็นประโยชน์และคุ้มค่าของภูมิปัญญาไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น/รู้จักแยกแยะและเลือกรับวัฒนธรรมอื่น ๆ
การนำแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในระดับต่าง ๆ
1. ระดับบุคคลและครอบครัว เป็นความพอเพียงขั้นพื้นฐาน โดยการให้สมาชิกในครอบครัวมีความเป็นอยู่ในลักษณะพึ่งพาตนเองได้อย่างมีความสุขทั้งกายและใจ สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
2. ระดับชุมชนและองค์กร เกิดขึ้นจากการที่สมาชิกของแต่ละครอบครัวในชุมชนมีความพอเพียงขั้นพื้นฐานก่อนแล้วจึงรวมกลุ่มกันทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม เช่น การใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างประหยัดและคุ้มค่า เป็นต้น
3. ระดับสังคมและประเทศ เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของชุมชนหลาย ๆแห่งที่มีความพอเพียงมาร่วมกันแลกเปลี่ยน
ความรู้ สืบทอดภูมิปัญญา และร่วมกันพัฒนาตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างชุมชนให้เกิดเป็นสังคมแห่งความพอเพียงโดยยึดคุณธรรมเป็นหลัก เช่น ช่วยเหลือเกื้อกูล ประสานงาน ประสานประโยชน์กัน ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต รักษากฏกติกา และทำตามระเบียบแบบแผนโดยเท่าเทียมเสมอกัน
การประกอบธุรกิจให้มีความยั่งยืน
การประกอบธุรกิจตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรมประกอบการวางแผน
การตัดสินใจ จึงเป็นการดำเนินกิจกรรมโดยอาศัย
แนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่จะทำให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพและธุรกิจได้อย่างยั่งยืน