ของเก่าของใหม่ฯ
ของเก่า ของใหม่ ของยืม ของสีฟ้า ในงานแต่งฝรั่ง
ในพิธีแต่งงาน โดยเฉพาะของอังกฤษและอเมริกา มักจะมีเคล็ดความเชื่อตามวลีที่ว่า Something Old, Something New, Something Borrowed, Something Blue, and a Silver Sixpence in Her Shoe.
แปลตรงตัวก็คือ "ของเก่า,ของใหม่,ของยืม,ของสีฟ้าและเหรียญหกเพนนีในรองเท้าของเจ้าหล่อน"
นัยว่าในตัวเจ้าสาวคนสวย จะต้องมีของทั้งหมดนี้ จึงจะเป็นโชคชัยให้ชีวิตการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นและตลอดไปเป็นชีวิตคู่ที่ดีมีความสุข มีความมั่งคั่งบริบูรณ์และมีความผูกพันรวมถึงมีอนาคตที่สดใส โดยความหมายแฝงของของเหล่านี้ มีดังนี้
Something Old เปรียบเสมือนตัวแทนของความผูกพันที่ถ่ายทอดจากครอบครัวหนึ่งไปสู่ครอบครัวใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่ง Something Old ที่เจ้าสาวมักจะพกติดตัวกันก็มักจะเป็นสิ่งที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากคุณแม่สู่คุณลูกสาว
Something New เปรียบเสมือนความหวัง และ อนาคตอันสดใสที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
Something Borrowed เป็นของที่หยิบยืมมาจากคนในครอบครัว หรือ คนใกล้ชิด ที่แต่งงานแล้ว (และชีวิตแต่งงานมีความสุข) เป็นนัยว่า โชคในเรื่องแต่งงานและครอบครัวจะได้ถ่ายทอดต่อมาสู่เจ้าสาว รวมถึงการเอาเคล็ดเรื่องความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น กับเพื่อนสนิท กับเพื่อนฝูงพี่น้อง และยังเป็นเครื่องเตือนใจเจ้าสาว ถึงมิตรภาพ และ กำลังใจจาก ญาติสนิทมิตรสหายอีกด้วย
ส่วน Something Blue นั้นคือของอะไรก็ได้ที่เป็นสีฟ้า ทำไมต้องสีฟ้า? เค้าเล่าว่า ในสมัยโรมัน เจ้าสาวจะใส่ชุดสีฟ้า เพราะสีฟ้าหมายถึง ความรัก ความถ่อมตัว และ ความซื่อตรง นอกจากนั้น คริสเตียนมักจะแต่งรูปปั้นพระแม่มารีในชุดคลุมสีฟ้า ดังนั้น จึงว่ากันว่า สีฟ้ายังหมายถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องได้อีกนัยหนึ่งด้วย นอกจากนั้น สีฟ้า ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุข อย่างเช่นนิทานเกี่ยวกับ นกสีฟ้า ที่ว่ากันว่า ใครเจอแล้วจะพบแต่ความสุข
และสุดท้าย And a Silver Sixpence in Her Shoe...Sixpence คือ เหรียญเงิน มูลค่า หก เพนนี ในสมัยก่อนเดี๋ยวนี้ไม่มีใช้กันแล้ว เหรียญหกเพนนีนี้เป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง และจะให้เจ้าสาวเอาใส่ไว้ในรองเท้าข้างซ้าย เพื่อความโชคดี ซึ่งว่ากันว่า อาจจะมาจากประเพณีเก่าแก่ของชาวสก็อตที่มักจะให้เจ้าบ่าวเอาเหรียญหกเพนนีใส่ไว้ในรองเท้าบู๊ตเพื่อความโชคดี และแม้ขณะนี้เหรียญดังกล่าวจะถูกยกเลิกและไม่ได้ใช้แล้ว ก็ยังมีของทำเลียนแบบเพื่อจำหน่ายสำหรับการณ์นี้โดยเฉพาะ แล้วก็ยังมีของแท้ที่มีคนสะสมและนำออกจำหน่ายด้วย อยากได้ขลังก็ซื้อของจริงได้ ยังพอมีให้ซื้อกันอยู่
edition.cnn.com/2013/09/06/living/matrimony-superstitions/index.html
www.corsinet.com/trivia/scary3.html
www.surnamedb.com/Surname/Ainsworth
www.ancestry.com/name-origin?surname=gilbert
www.surnamedb.com/Surname/Rayner
www.ssa.gov/OACT/babynames/top5names.html
www.ourbabynames.co.uk/ukpopular2012.php
en.wiktionary.org/wiki/Appendix:Most_popular_given_names_by_country
genealogy.about.com/od/surnames/a/surname_meaning.html
Unit 7
ความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับการแต่งงาน (Superstitions about Weddings)
งานที่จัดเพื่อให้เพื่อน ๆ นำของขวัญมาให้เจ้าสาว (Bridal shower)
- ของขวัญชิ้นแรกที่เจ้าสาวเปิดควรเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เธอใช้
- ทุกสิ่งที่เจ้าสาวพูดในขณะที่เปิดของขวัญจะต้องพูดซ้ำในคืนแต่งงาน ควรให้ใครคนหนึ่งจดสิ่งที่พูดระหว่างงาน Bridal Shower
- คนที่ให้ของขวัญที่ถูกเปิดเป็นชิ้นที่ 3 จะมีบุตรในไม่ช้า
- เก็บริบบิ้นจากของขวัญเอามาทำช่อดอกไม้ใช้ในการซ้อมพิธีแต่งงาน
วันแต่งงาน
บางวันในสัปดาห์และบางเดือนในปีดีกว่าวันและเดือนอื่น ๆ ดังนี้
วันจันทร์ สุขภาพจะดี วันอังคาร จะร่ำรวย
วันพุธ ดีที่สุด วันพฤหัสบดี จะสูญเสียหลายอย่าง หรือเสียชีวิต
วันศุกร์ จะมีภาระที่ต้องแบกรับมาก วันเสาร์ จะไม่มีโรคเลย
(Monday for health,
Tuesday for wealth,
Wednesday best of all,
Thursday for losses,
Friday for crosses,
Saturday for no luck at all)
แต่งงานต้นปี สามีจะรักใคร่ มีน้ำใจและซื่อสัตย์
เมื่อนกเดือนกุมภาพันธ์จับคู่กัน เธอแต่งงาน ไม่ต้องกังวลกับโชคชะตา
ถ้าเธอแต่งงานเมื่อลมเดือนมีนาคมพัดผ่าน เธอจะมีทั้งความสุขสดชื่นและความเศร้า
ถ้าได้แต่งงานในเดือนเมษายน ทั้งชายและหญิงจะมีความสุขสดชื่น
แต่งงานในเดือนพฤษภาคม เธอจะเสียใจที่แต่งงานอย่างแน่นอน
แต่งงานเมื่อกุหลาบเดือนมิถุนายนโต เธอจะได้เดินทางทางพื้นดินและทางทะเล
ผู้ที่แต่งงานในเดือนกรกฎาคม ต้องทำงานหนัก
ใครก็ตามที่แต่งงานในเดือนสิงหาคม จะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
แต่งงานในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในเดือนกันยายน ชีวิตจะดีเลิศและร่ำรวย
ถ้าแต่งงานในเดือนตุลาคม จะมีความรักแต่ทรัพย์สินจะไม่ค่อยมี
ถ้าแต่งงานในเดือนพฤศจิกายนที่หนาวเหน็บ จงจำไว้ว่าจะมีแต่ความสุขสดชื่น
หิมะเดือนธันวาคมตกหนัก จงแต่งงานและความรักแท้จริงจะคงอยู่ตลอดไป
(Married when the year is new, he’ll be loving, kind and true,
When February birds do mate, You wed nor dread your fate.
If you wed when March winds blow, joy and sorrow both you’ll know.
Marry in April when you can, Joy for Maiden and for Man.
Marry in the month of May, and you’ll surely rue the day.
Marry when June roses grow, over land and sea you’ll go.
Those who in July do wed, must labour for their daily bread.
ประวัติของนามสกุล (History of Surnames)
ชาวจีนเป็นชนชาติแรกที่ใช้นามสกุลเมื่อประมาณ 5,000 ปีล่วงมาแล้ว ชาวยุโรปเริ่มใช้นามสกุลราว ๆ คริสต์ศตวรรษที่ 10-11 ในอิตาลี และการใช้นามสกุลก็แพร่หลายออกไป ในศตวรรษที่ 13 หนึ่งในสามของผู้ชายชื่อ ริชาร์ด (Richard) จอห์น (John) หรือวิลเลี่ยม (William) จึงยากที่จะบอกว่าใครเป็นใคร บางครั้ง
ก็เอ่ยอ้างถึงกันว่า จอห์นลูกวิลเลี่ยม (John the son of William) จอห์นคนครัว (John the cook) จอห์น จากทุ่งหญ้า (John from the meadow) จอห์นผมสีน้ำตาล (John the brown-haired) และอื่น ๆ ถ้อยคำบรรยายเหล่านี้กลายเป็นนามสกุลเช่น วิลเลี่ยมซัน (Williamson) คุก (Cook) เมโดส์ (Meadows) หรือ บราวน์ (Brown) นามสกุลเหล่านี้ก็ใช้ในยุคต่อมา
ปัจจุบันนี้ชื่อส่วนมากในประเทศสหรัฐอเมริกามาจากภาษาฮิบรู เยอรมัน ละติน ไอริช สก็อตติชในปี ค.ศ.325 โบสถ์คาธอลิก (the Catholic Church) ห้ามใช้ชื่อนอกศาสนา และชื่อของพระเจ้านอกศาสนาคาธอลิก ดังนั้นจึงใช้กันแต่ชื่อที่มาจากพระคัมภีร์ ในปี ค.ศ. 1545 ทางโบสถ์ได้กำหนดให้ใช้ชื่อนักบุญก่อนที่จะรับศีลจุ่ม ผลก็คือมีชื่อสามัญสำหรับเด็กชายและหญิงเพียง 20 ชื่อเท่านั้น ในคริสต์ศตวรรษต่อมา การปฏิรูปศาสนา (Reformation) และศาสนาโปรเตสแตนท์ (Protestant) ไม่ยอมรับประเพณีปฏิบัติของคาธอลิก จึงมีการตั้งชื่อเด็กตามชื่อที่อยู่ในพระคัมภีร์ใหม่และเก่า (New Testament and Old Testament) แทนที่จะตั้งตามชื่อนักบุญ
สำหรับชื่อกลาง (middle name) ขุนนางชาวเยอรมันเป็นผู้ริเริ่มใช้ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แต่ไม่เป็นที่นิยมใช้จนมาถึงศตวรรษที่ 17 ในสหรัฐอเมริกาก็ไม่ค่อยได้ใช้ชื่อกลางกันจนหลังสงครามปฏิวัติ (Revolutionary War) ในครั้งนั้นมักจะใช้นามสกุลของมารดาเป็นชื่อกลาง
การใช้นามสกุลเริ่มในประเทศตะวันตก เมื่อประมาณ 1,000 ปีมาแล้ว นามสกุลได้มาจาก 1 ใน 4 วิธีที่นิยมมากที่สุด ประมาณ 43% มาจากชื่อสถานที่ (location names) นามสกุลเหล่านี้มาจากชื่อเมือง นิคม ฯลฯ ที่บุคคลนั้น ๆ อาศัยอยู่ ขุนนางใช้ชื่อผืนแผ่นดิน (estate) และลูก ๆ ของตนก็ใช้ต่อ ๆ กันมาชาวนาใช้ชื่อหมู่บ้านหรือสถานที่ที่มีลักษณะเด่นทางภูมิศาสตร์ ดังนั้นจึงมีชื่อเหล่านี้เกิดขึ้นได้แก่ แอทวอเทอร์ (Atwater) แอทวูด (Atwood) เกลน (Glen) กรีน (Green) ลอนดอน (London) มิลล์ (Mill) นิวเทาน์ (Newtown) ริเวอร์ (Rivers) ฯลฯ
แหล่งที่ 2 ของนามสกุลราว 33% คือ ความเป็นเครือญาติ (kinship) หรือความเป็นบุตรของใคร (son of. . .) ชื่อต่อไปนี้แสดงว่าเป็นบุตรหรือผู้สืบสันดานจากบิดา คือ จอห์นสัน (Johnson) ปิเตอร์สัน (Peterson)
โอนีล (O’Neill) แม็คลัฟกลิน (Mac Lauglin) วาโนวิคส์ (Janswica) ฯลฯ
แหล่งที่ 3 ของนามสกุลราว 15% คือชื่ออาชีพ ชื่อดังกล่าวคือ สมิธ (Smith) มิลเลอร์ (Miller)
เทเลอร์ (Taylor) คูเปอร์ (Cooper) ฯลฯ
แหล่งที่ 4 ของนามสกุลราว 9% มาจากชื่อเล่น (nicknames or pet names)