เทศกาลดิวาลี (Diwali)
ดิวาลี หรือ ดิพาวาลี (Dipawali) เป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของอินเดีย ชื่อของเทศกาลมาจากตะเกียงดินเผาที่จุดเรียงรายนอกบ้านของชาวอินเดีย เพื่อปกป้องให้พ้นจากวิญญาณร้ายเทศกาลนี้สำคัญกับชาวฮินดูเท่า ๆ กับคริสต์มาสสำคัญกับชาวคริสต์
ชาวอินเดียฉลองดิวาลีในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนของทุกปี เทศกาลนี้เริ่มจากเทศกาลเก็บเกี่ยว (harvest festival) ซึ่งเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายก่อนฤดูหนาว ชาวอินเดียฉลองเทศกาลนี้กับครอบครัว จุดตะเกียง จุดประทัด แขวนราวไฟ ก่อกองไฟ จัดดอกไม้ แบ่งปันขนมกัน และบูชาพระลักษมีเทพีแห่ง
ความมั่งคั่ง บางคนเชื่อว่าพระลักษมีท่องไปในโลกมองหาบ้านที่ต้อนรับพระองค์ พวกเขาจึงเปิดประตูและหน้าต่างและจุดตะเกียงเพื่อเชิญเสด็จพระลักษมีเข้ามาในบ้าน
ชาวฮินดูตีความเรื่องราวของดิวาลีตามถิ่นที่อยู่ของตน
ในอินเดียเหนือ (North India) ชาวฮินดูฉลองการกลับสู่เมืองอโยธยาของพระราม (King Rama) หลังจากได้รับชัยชนะจากการสู้รบกับรวานะ (Ranana) โดยจุดตะเกียงดินเผาเรียงรายเป็นแถว
อินเดียตอนใต้ (South India) ฉลองเพราะเป็นวันที่พระกฤษณะ (Lord Krisna) ได้รับชัยชนะ นาระกาสุระ (Narakasura) ปีศาจร้าย
ในตะวันตกของอินเดีย การฉลองนี้มีขึ้นในวันที่พระวิษณุ (Lord Vishnu) ส่งกษัตริย์บาลี (King Bali) ไปปกครองนรกภูมิ
โดยสรุป ทุกการตีความมีสัจธรรมร่วมกันคือ เทศกาลที่ฉลองชัยชนะของความดีต่อความชั่วร้าย
การฉลองดิวาลิใช้เวลา 5 วัน ดังนี้
วันที่ 1 แม่บ้านทำความสะอาดบ้าน ซื้อทองและเครื่องครัว
วันที่ 2 ชาวฮินดูแต่งบ้านด้วยตะเกียงดินเผา และสร้างลวดลายที่พื้นบ้านโดยใช้แป้งฝุ่นสีหรือทราย
วันที่ 3 คือวันสำคัญของเทศกาล เมื่อครอบครัวมาชุมนุมกันเพื่อบูชาพระลักษมี กินอาหารอร่อยร่วมกัน และจุดประทัด
วันที่ 4 เป็นวันแรกของปีใหม่ เมื่อเพื่อนและญาติมาเยี่ยมพร้อมด้วยของขวัญและคำอวยพร
วันที่ 5 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของดิวาลิ บรรดาพี่ชายมาเยี่ยมน้องสาวที่แต่งงานแล้ว และน้องสาวก็ต้อนรับพี่ชายด้วยความรักและอาหารที่หรูหรามากมาย
ทิหาร์ (Tihar)
ทิหาร์ เป็นเทศกาลแสงสว่าง (the festival of lights) ที่น่าตื่นตาตื่นใจเทศกาลหนึ่งของชาวฮินดู
ในเทศกาลนี้มีการบูชาพระลักษมีเทพีแห่งความมั่งคั่ง บ้านทุกหลังในเมืองและในหมู่บ้านต่างจุดตะเกียงน้ำมันเพื่อประดับประดา ทำให้ทั่วทั้งหมู่บ้านและเมืองดูราวกับเพชรที่ส่องประกายระยิบระยับในยามค่ำคืน การฉลองเทศกาลนี้เริ่มตั้งแต่วันแรม 13 ค่ำ ในเดือนตุลาคม ชาวฮินดูเรียกทิหาร์ว่า “ปันจัก
ยามา” (Panchak Yama) หมายความว่า “ห้าวันของเทพเจ้าแห่งยมโลก”
พระลักษมีเป็นพระมเหสีของพระวิษณุ มีกำเนิดจากมหาสมุทรและครอบครองทรัพย์สินในทะเล ประทับในดอกบัวที่บานเต็มที่และมีนกฮูกเป็นพาหนะ ในวันที่ 3 ของเทศกาลเวลาเที่ยงคืน พระองค์จะท่องไปในโลกบนหลังของนกฮูกเพื่อดูพิธีบูชาพระองค์
มีเรื่องเล่าของสาเหตุของการฉลองเทศกาลนี้ ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งประชวรหนักใกล้จะสวรรคต โหรหลวงทูลพระองค์ว่างูใหญ่จะมาเอาชีวิตพระองค์ พระเจ้าแผ่นดินไม่อยากตายจึงถามโหรว่าจะหลีกเลี่ยงความตายได้อย่างไร โหรก็ถวายคำแนะนำว่าให้บรรทมหลับโดยจุดตะเกียงน้ำมันไว้รอบพระแท่นและตกแต่งพระราชวังด้วยตะเกียงน้ำมันในวันบูชาพระลักษมี เพื่อว่าพระลักษมีจะได้เกลี้ยกล่อมงูให้ไว้ชีวิตพระองค์ การเป็นไปตามที่โหรได้กราบทูล งูนำพระเจ้าแผ่นดินไปเฝ้ายมราช และทูลพระองค์ว่ายังไม่ถึงเวลาที่พระเจ้าแผ่นดินจะมาสู่ยมโลก ยมราชเปิดสมุดบัญชีและปรากฏว่าอายุที่เหลืออยู่ของพระเจ้าแผ่นดินคือ 0 แต่งูเขียนเลข 7 ก่อนเลข 0 ดังนั้นพระเจ้าแผ่นดินจึงมีพระชนม์ชีพต่อมาอีก 70 ปี นับแต่นั้นมาในเทศกาลทิหาร์จึงบูชายมราชและพระลักษมี
ตำนานว่าด้วยวันสุดท้ายของทิหาร์ คือ ไบทิกะ (Bhai Tika)
นานมาแล้วสุริยเทพ (the sun god) มีพระมเหสีเป็นเจ้าหญิงงามพระนามว่า สามจนา (Samjna) มีโอรสและธิดาแฝดด้วยกันคู่หนึ่ง คือ ยามะและยมุนา ต่อมาสามจนาทนความร้อนแรงของพระสวามีไม่ได้ จึงตัดสินใจที่จะกลับสู่โลก แต่ก็ทิ้งเงาของตนเองคือ ชายา (Chaya) ให้เป็นหุ่นจำลองที่เหมือนตนเองไว้เบื้องหลัง เพื่อให้สุริยเทพเข้าพระทัยว่าพระองค์ยังอยู่ที่นั้น ชายาเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายหลังจากมีลูกของตนเองก็ยุสุริยเทพให้ขับพระโอรสธิดาฝาแฝดออกจากสวรรค์ ยมุนาตกลงไปสู่โลกและกลายเป็น
แม่น้ำยมุนา และยามาไปสู่ยมโลกกลายเป็นยมราช กษัตริย์แห่งความตาย (King of Death)
ตามคัมภีร์ของศาสนาฮินดู (Hindu religious scriptures) ยมราชเสด็จไปเยือนพระขนิษฐาหลังจาก
พลัดพรากจากกันมาเป็นเวลานาน ยามิ (Yami ชื่อตามคัมภีร์) หรือยมุนาดีใจมาก และต้อนรับองค์ยมราช
ด้วยการแต้มเครื่องหมายอันแสดงถึงลางดีบนหน้าผากของพระเชษฐาเพื่อความสุขกายสบายใจของพระองค์
หลังจากนั้นจึงเสวยอาหารร่วมกัน ยมราชพอพระทัยในการต้อนรับของพระขนิษฐาจึงมีพระราชโองการ
ว่า ทุกปีในวันทิกะ (Tika day) ถ้าน้องสาวแต้มทิกะ (แป้งหลากสี) บนหน้าผากของพี่ชายจะไม่มีใครทำอันตรายพี่ชายของเธอได้ ประเพณีนี้ได้ถือปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ น้องสาวประกอบพิธีบูชาเพื่อความปลอดภัยและการมีสุขภาพดีของพี่ชาย พี่ชายก็ตอบแทนด้วยการให้ของขวัญแก่น้องสาวเป็นเครื่องหมาย
แสดงถึงความรัก
ในคัมภีร์ของศาสนาฮินดูเช่นกัน ได้กล่าวถึงพระกฤษณะ (Lord Krishna) ว่าเมื่อได้สังหาร นาระกาสุระ
(Narakasura) เจ้าแห่งปีศาจ (Demon King) แล้วก็ไปหาพระขนิษฐาคือ สุพัตรา (Subhadra) ซึ่งตอนรับพระองค์ตามประเพณีด้วยตะเกียง (lamp) ดอกไม้ และขนมหวาน และเจิมทิกะบนพระนลาฏของพระกฤษณะ
ในคัมภีร์ของศาสนาฮินดูบางคัมภีร์และตำนานได้เล่าขานกันว่า เมื่อภัควัน มหาวีร (Bhagawann Mahavir)
ได้นิพพานน้องชาย คือ ราชานันทิวาดัน (Raja Nandivardhan) เศร้าโศกมากเพราะคิดถึงพี่ชาย น้องสาวคือ
สุดาชานา (Sudarshana) ได้ปลอบโยน นับแต่นั้นมาสตรีก็ได้รับการยกย่องนับถือระหว่างเทศกาลนี้
สาระสำคัญของไบทิกะก็คือ เป็นการฉลองเพื่อเสริมสร้างความรักระหว่างพี่ชายและน้องสาวให้แข็งแกร่งขึ้น เป็นวันที่แบ่งปันอาหารกัน ให้ของขวัญกัน และเข้าถึงส่วนลึกของหัวใจของกันและกัน