Google เขย่าวงการ AI อีกครั้งด้วยการเปิดตัว Gemini Advanced โมเดล AI รุ่นใหม่ล่าสุดที่พัฒนาขึ้นจาก Gemini ซึ่งมีความสามารถล้ำหน้า เหนือชั้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลภาษาธรรมชาติ การสร้างรูปภาพ และการเขียนโค้ด Gemini Advanced จึงเป็นเสมือนก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ AI ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีที่เรา ใช้ชีวิต ทำงาน และเรียนรู้
Gemini Advanced มีความสามารถที่น่าทึ่งมากมาย เช่น เข้าใจภาษาธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง สามารถตีความ และสร้างภาษา ที่เป็นธรรมชาติ ได้อย่างแม่นยำ และลื่นไหล ราวกับมนุษย์ สามารถสร้างสรรค์ภาพ จากข้อความ ได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด ภาพถ่าย หรือภาพกราฟิก และสามารถเขียนโค้ด ในภาษาต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ช่วยให้นักพัฒนา ทำงานได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Google ได้นำ Gemini Advanced มาใช้ ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้ เช่น Google Search ช่วยให้การค้นหาข้อมูล มีความแม่นยำ และตรงกับความต้องการมากขึ้น และ Google Assistant ช่วยให้ Assistant สามารถ สนทนา โต้ตอบ และช่วยเหลือผู้ใช้ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และชาญฉลาดมากขึ้น ในอนาคต เราอาจจะเห็น Gemini Advanced ถูกนำมาใช้ ในด้านต่างๆ เช่น การศึกษา การแพทย์ และวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม และแก้ปัญหา ที่ท้าทาย ของโลก
ในปี 2568 ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร จะเป็นปัญหาสำคัญของโลก เนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติที่ลดลง เทคโนโลยีอาหาร จะมีบทบาทสำคัญ ในการแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยการพัฒนาอาหารใหม่ๆ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถผลิตได้อย่างยั่งยืน
ตัวอย่างเทคโนโลยีอาหารแห่งอนาคต เช่น
เนื้อสัตว์จากพืช: ผลิตจากพืช เช่น ถั่วเหลือง ข้าวสาลี และเห็ด มีลักษณะ รสชาติ และเนื้อสัมผัส ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริง ช่วยลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นสาเหตุ ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
อาหารที่ผลิตจากแมลง: แมลง เป็นแหล่งโปรตีน ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำมาแปรรูป เป็นอาหาร ได้หลากหลายชนิด เช่น แป้ง โปรตีน และน้ำมัน
อาหารที่พิมพ์จาก 3D Printer: เทคโนโลยี 3D Printing สามารถใช้ในการสร้างอาหาร ที่มีรูปร่าง รสชาติ และเนื้อสัมผัส ตามต้องการ สามารถปรับแต่ง คุณค่าทางโภชนาการ ให้เหมาะสมกับผู้บริโภคแต่ละคน
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ: เป็นการเพาะเลี้ยงเซลล์ ของสัตว์ ในห้องแล็บ เพื่อผลิตเนื้อสัตว์ โดยไม่ต้องฆ่าสัตว์
Vertical farming: เป็นการปลูกพืช ในแนวดิ่ง ใช้พื้นที่น้อย ควบคุมสภาพแวดล้อมได้ และลดการใช้สารเคมี
เทคโนโลยีอาหารแห่งอนาคต จะช่วยให้เรา สามารถผลิตอาหาร ได้อย่างเพียงพอ และยั่งยืน เพื่อรองรับ จำนวนประชากร ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนา และการนำเทคโนโลยีอาหาร มาใช้ จำเป็นต้องคำนึงถึง ความปลอดภัย จริยธรรม และการยอมรับของผู้บริโภค ด้วย
Quantum Computing เป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง และจะเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในปี 2568 ด้วยความสามารถในการประมวลผลข้อมูลที่เหนือกว่าคอมพิวเตอร์แบบเดิม Quantum Computer ใช้หลักการของกลศาสตร์ควอนตัม ในการคำนวณ โดยใช้ Qubit ซึ่งแตกต่างจาก Bit ในคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิม Qubit สามารถมีสถานะได้ทั้ง 0 และ 1 พร้อมกัน ทำให้ Quantum Computer สามารถประมวลผลข้อมูล ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก
Quantum Computing จะถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ซึ่งเกินความสามารถของคอมพิวเตอร์แบบเดิม เช่น
การพัฒนายาใหม่ๆ: จำลอง และวิเคราะห์ โมเลกุลของยา เพื่อพัฒนายา ที่มีประสิทธิภาพสูง และผลข้างเคียงน้อย
การพัฒนา AI: สร้าง AI ที่มีความสามารถในการเรียนรู้ และแก้ปัญหา ที่ซับซ้อนมากขึ้น
การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน: วิเคราะห์ และทำนาย แนวโน้มของตลาด เพื่อการลงทุน ที่แม่นยำ
การออกแบบวัสดุ: ออกแบบวัสดุ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ความแข็งแรงสูง น้ำหนักเบา และทนความร้อน
การพัฒนา cryptography: พัฒนาระบบเข้ารหัส ที่ปลอดภัย และยากต่อการถอดรหัส
อย่างไรก็ตาม Quantum Computing ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา และยังมีข้อจำกัด เช่น
ความเสถียร: Qubit มีความไวต่อสภาพแวดล้อม ทำให้ Quantum Computer ทำงานได้ ในสภาวะที่ควบคุม
ขนาด: Quantum Computer ในปัจจุบัน ยังมีขนาดเล็ก และมีจำนวน Qubit จำกัด
ต้นทุน: การพัฒนา และใช้งาน Quantum Computer มีต้นทุนสูง
ถึงแม้จะมีข้อจำกัด แต่ Quantum Computing มีศักยภาพ ที่จะปฏิวัติ โลกของเรา ในหลายๆ ด้าน ในอนาคต เราอาจจะเห็น Quantum Computer ถูกนำมาใช้ ในชีวิตประจำวัน เช่น สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
ในปี 2568 พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ และพลังงานชีวมวล จะได้รับความนิยมมากขึ้น และมีบทบาทสำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคม เนื่องจากเป็นพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน
เทคโนโลยี ในการผลิต และกักเก็บพลังงานสะอาด จะมีความก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้พลังงานสะอาด มีราคาถูกลง และเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เช่น
แผงโซลาร์เซลล์: จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ราคาถูกลง และสามารถติดตั้งได้ง่าย บนหลังคาบ้าน อาคาร และพื้นที่ต่างๆ
กังหันลม: จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น และสามารถติดตั้งในทะเล
แบตเตอรี่: จะมีความจุมากขึ้น ราคาถูกลง และสามารถกักเก็บพลังงาน ได้นานขึ้น
พลังงานสะอาด จะช่วยลดการพึ่งพา เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุ ของมลพิษทางอากาศ และภาวะโลกร้อน พลังงานสะอาด ยังช่วยกระจาย แหล่งผลิตพลังงาน ไปสู่ชุมชน และท้องถิ่น ทำให้เกิดการจ้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจ ในระดับฐานราก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่าน ไปสู่พลังงานสะอาด ยังคงมีความท้าทาย เช่น
ความไม่แน่นอน ของแหล่งพลังงาน: พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
การลงทุน ในโครงสร้างพื้นฐาน: การพัฒนา และติดตั้ง ระบบพลังงานสะอาด ต้องใช้เงินลงทุนสูง
การจัดการ กับขยะอิเล็กทรอนิกส์: เช่น แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ ที่หมดอายุการใช้งาน
การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ จะช่วยให้เรา สามารถใช้พลังงานสะอาด ได้อย่างยั่งยืน และมีประสิทธิภาพ
ในปี 2568 เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) จะมีความก้าวหน้าอย่างมาก นำไปสู่การรักษาโรค และพัฒนาสุขภาพ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เราจะเห็นการนำเทคโนโลยีชีวภาพ มาใช้ในการวินิจฉัย ป้องกัน และรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม่นยำขึ้น และตรงจุดมากขึ้น
ตัวอย่างความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น
การพัฒนายาและวัคซีนใหม่ๆ: เทคโนโลยีชีวภาพ เช่น พันธุวิศวกรรม และ nanotechnology จะช่วยให้เราสามารถพัฒนายา และวัคซีน ที่มีประสิทธิภาพสูง ผลข้างเคียงน้อย และสามารถรักษาโรค ที่ไม่สามารถรักษาได้ ในปัจจุบัน เช่น โรคมะเร็ง โรคเอดส์ และโรคทางพันธุกรรม
การรักษาโรคด้วยยีน: เทคโนโลยี gene editing เช่น CRISPR-Cas9 จะช่วยให้เราสามารถแก้ไข ยีน ที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคทางพันธุกรรม ได้อย่างแม่นยำ
การสร้างอวัยวะเทียม: เทคโนโลยี tissue engineering และ 3D bioprinting จะช่วยให้เราสามารถสร้างอวัยวะเทียม ที่มีลักษณะ และ 기능 ใกล้เคียงกับอวัยวะจริง เพื่อทดแทนอวัยวะ ที่เสียหาย หรือสูญเสียไป
การตรวจวินิจฉัยโรค: เทคโนโลยีชีวภาพ จะช่วยให้เราสามารถตรวจวินิจฉัยโรค ได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เช่น การตรวจหา biomarker ในเลือด หรือ การตรวจวินิจฉัยโรค ด้วย AI
เทคโนโลยีชีวภาพ จะช่วยยืดอายุขัยของมนุษย์ และเพิ่มคุณภาพชีวิต ให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนา และการใช้เทคโนโลยีชีวภาพ จำเป็นต้องคำนึงถึง จริยธรรม ความปลอดภัย และความเท่าเทียม ในการเข้าถึง เพื่อให้เทคโนโลยีชีวภาพ เป็นประโยชน์ ต่อมนุษยชาติอย่างแท้จริง
เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ในปี 2568 เราจะสามารถพิมพ์สิ่งของต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีคุณภาพสูงขึ้น ด้วยวัสดุที่หลากหลายมากขึ้น เช่น โลหะ เซรามิก พลาสติก และวัสดุชีวภาพ 3D Printing จะไม่ใช่แค่การสร้างต้นแบบ หรือโมเดล แต่จะสามารถสร้างชิ้นส่วน หรือผลิตภัณฑ์ ที่ใช้งานได้จริง
3D Printing จะถูกนำมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น
การผลิต: สร้างชิ้นส่วน อะไหล่ และผลิตภัณฑ์ ตามความต้องการ ลดต้นทุน และระยะเวลาในการผลิต
การแพทย์: สร้างอวัยวะเทียม อุปกรณ์ทางการแพทย์ แบบจำลอง และยา ที่เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย
การก่อสร้าง: สร้างบ้าน อาคาร และโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยความรวดเร็ว และแม่นยำ
อุตสาหกรรมอาหาร: สร้างอาหาร ที่มีรูปร่าง และรสชาติ ตามต้องการ
แฟชั่น: สร้างเสื้อผ้า เครื่องประดับ และรองเท้า ที่มีดีไซน์ และขนาด ที่เหมาะสมกับผู้สวมใส่
3D Printing จะช่วยสร้างโอกาสให้กับธุรกิจขนาดเล็ก และผู้ประกอบการ ในการสร้างสรรค์ และผลิตสินค้า โดยไม่ต้องลงทุนสูง ในเครื่องจักร และอุปกรณ์ การผลิตแบบเดิมๆ 3D Printing ยังช่วยลดขยะ และมลพิษ จากกระบวนการผลิต เนื่องจากใช้ เฉพาะวัสดุที่จำเป็น ในการสร้างชิ้นงาน อย่างไรก็ตาม การพัฒนา 3D Printing ยังคงมีความท้าทาย เช่น การลดต้นทุน การเพิ่มความเร็วในการพิมพ์ และการพัฒนาวัสดุ ให้มีความแข็งแรง และทนทานมากขึ้น
ในปี 2568 เทคโนโลยี Blockchain จะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ไม่เพียงแต่ในโลกของ Cryptocurrency เท่านั้น แต่ยังรวมถึงในด้านอื่นๆ เช่น การเงิน การค้า การบริหารจัดการข้อมูล และการบริการภาครัฐ Blockchain เป็นเทคโนโลยีฐานข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ที่บันทึกข้อมูลในรูปแบบของ “บล็อก” ซึ่งเชื่อมโยงกันเป็น “โซ่” ข้อมูลใน Blockchain จะถูกเก็บไว้ในหลายๆ เครื่อง ทำให้มีความปลอดภัยสูง แก้ไข หรือปลอมแปลงได้ยาก
Blockchain จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ความโปร่งใส และลดต้นทุนในการทำธุรกรรม ตัวอย่างเช่น ในระบบการเงิน Blockchain สามารถใช้ในการโอนเงิน ชำระเงิน และออกหลักทรัพย์ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง เช่น ธนาคาร ทำให้การทำธุรกรรม รวดเร็ว และมีค่าธรรมเนียมต่ำ ในระบบการค้า Blockchain สามารถใช้ในการติดตามสินค้า ตรวจสอบแหล่งที่มา และป้องกันการปลอมแปลง ในระบบการบริหารจัดการข้อมูล Blockchain สามารถใช้ในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลทางการแพทย์ และข้อมูลสำคัญอื่นๆ โดยมีความปลอดภัยสูง
Blockchain ยังมีศักยภาพในการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน เนื่องจากข้อมูลใน Blockchain มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และแก้ไขได้ยาก ทำให้ยากต่อการทุจริต Blockchain ยังสามารถใช้ในการเลือกตั้ง เพื่อป้องกันการโกง และเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม การนำ Blockchain มาใช้งานจริง ยังคงมีความท้าทาย เช่น ความยุ่งยากในการใช้งาน ความเร็วในการทำธุรกรรม และกฎระเบียบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา และปรับปรุงต่อไป
ในปี 2568 Metaverse จะไม่ใช่แค่เกม หรือโลกเสมือนจริงสำหรับเล่นสนุกอีกต่อไป แต่จะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิต การทำงาน การเรียนรู้ และการเชื่อมต่อกับผู้คน ด้วยเทคโนโลยี VR และ AR ที่สมจริงมากขึ้น เราจะสามารถเข้าไปสัมผัสประสบการณ์ในโลกเสมือนจริงได้อย่างเต็มอิ่ม ราวกับว่าเราอยู่ในโลกนั้นจริงๆ
Metaverse จะถูกนำมาใช้ในหลากหลายด้าน เช่น การศึกษา เราสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยการเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ หรือเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยการทดลองในห้องแล็บเสมือนจริง การทำงาน เราสามารถประชุม ทำงานร่วมกัน และฝึกอบรม ใน Metaverse โดยไม่จำเป็นต้องเดินทาง การบันเทิง เราสามารถชมคอนเสิร์ต ดูหนัง หรือเล่นเกม กับเพื่อนๆ ใน Metaverse ได้อย่างสนุกสนาน การท่องเที่ยว เราสามารถท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยไม่ต้องออกจากบ้าน
Metaverse จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ เช่น การค้าขายสินค้าและบริการ การจัดงานอีเวนต์ และการโฆษณา Metaverse ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาสังคม เช่น การสร้างชุมชนออนไลน์ การให้คำปรึกษา และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส อย่างไรก็ตาม Metaverse ก็มาพร้อมกับความท้าทาย เช่น ปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และผลกระทบต่อสุขภาพจิต ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องตระหนัก และเตรียมรับมือ
แม้ในปัจจุบัน 5G จะยังเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่ และกำลังถูกพัฒนา แต่ในปี 2568 เราอาจจะได้เห็นการมาถึงของเทคโนโลยี 6G ซึ่งจะเร็วกว่า 5G อย่างมาก โดยมีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดถึง 1 เทราไบต์ต่อวินาที เร็วกว่า 5G ถึง 50 เท่า 6G จะทำให้การสื่อสารไร้สายรวดเร็ว เสถียร และมี latency ต่ำมาก ทำให้การสื่อสารแบบเรียลไทม์ เช่น วิดีโอคอล การเล่นเกม และการผ่าตัดทางไกล เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด
6G จะเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น IoT, AI, และ Metaverse 6G จะทำให้โลกของเรามีการเชื่อมต่อที่ไร้รอยต่อ อุปกรณ์ IoT จำนวนมหาศาล จะสามารถเชื่อมต่อ และสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ AI จะสามารถประมวลผลข้อมูล และเรียนรู้ได้เร็วขึ้น Metaverse จะมีความสมจริง และตอบสนองได้ดีขึ้น นอกจากนี้ 6G ยังจะเปิดประตูสู่การใช้งานใหม่ๆ เช่น holographic communication การสื่อสารแบบ 3 มิติ ที่ทำให้เราเห็นภาพเสมือนจริงของคู่สนทนา และ immersive entertainment ประสบการณ์ความบันเทิงแบบสมจริง
อย่างไรก็ตาม การพัฒนา และใช้งาน 6G ยังคงมีความท้าทาย เช่น การพัฒนาอุปกรณ์ และโครงสร้างพื้นฐาน การจัดสรรคลื่นความถี่ และการรับรองมาตรฐาน 6G คาดว่าจะใช้คลื่นความถี่ในช่วง terahertz ซึ่งมีความถี่สูงมาก ทำให้การส่งสัญญาณ อาจได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศ และสิ่งกีดขวาง ดังนั้น การวิจัย และพัฒนา เทคโนโลยี 6G จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เราสามารถใช้งาน 6G ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และปลอดภัย
ในปี 2568 อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเราอย่างเต็มรูปแบบ อุปกรณ์ต่างๆ รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ หรือแม้แต่เสื้อผ้า จะเชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้เราสามารถควบคุมและจัดการอุปกรณ์ต่างๆ ได้จากระยะไกล ส่งข้อมูลถึงกัน และทำงานร่วมกันได้อย่างอัตโนมัติ บ้านอัจฉริยะจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา เราสามารถสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบรักษาความปลอดภัย หรือแม้กระทั่งสั่งอาหาร ผ่านเสียง หรือแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน รถยนต์จะสามารถสื่อสารกันเอง เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ และจองที่จอดรถได้ล่วงหน้า โรงงานอัจฉริยะจะใช้ IoT ในการควบคุมการผลิต ตรวจสอบคุณภาพสินค้า และจัดการสต็อกสินค้า
IoT จะช่วยให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น สะดวกสบายขึ้น และปลอดภัยขึ้น เราสามารถตรวจสอบสภาพการจราจร สภาพอากาศ หรือแม้กระทั่งสุขภาพของเรา ได้แบบเรียลไทม์ เกษตรกรสามารถใช้ IoT ในการควบคุมการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย และการเก็บเกี่ยวผลผลิต แพทย์สามารถตรวจสอบอาการของผู้ป่วย และให้คำปรึกษาทางไกล ผ่านอุปกรณ์ IoT ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจาก IoT เพื่อปรับปรุงการบริการ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม การเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมหาศาลเข้ากับอินเทอร์เน็ต ย่อมนำมาซึ่งความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น การโจรกรรมข้อมูล การควบคุมอุปกรณ์โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการโจมตีระบบ
ดังนั้น การพัฒนา IoT จำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เราจำเป็นต้องมีมาตรการ และเทคโนโลยี ในการป้องกันภัยคุกคาม และสร้างความมั่นใจ ในการใช้งาน IoT อย่างปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึง และการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ การสร้างความตระหนักรู้ และให้ความรู้ เกี่ยวกับความปลอดภัยของ IoT แก่ผู้ใช้งาน ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ทุกคน สามารถใช้งาน IoT ได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัย
ในปี 2568 ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะก้าวล้ำไปอีกขั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AI ในรูปแบบ Generative AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ๆ ได้เอง ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ หรือแม้แต่วิดีโอ เราจะเห็น AI ถูกนำมาใช้ในหลากหลายด้านมากขึ้น ตั้งแต่การแพทย์ การศึกษา การเงิน ไปจนถึงการสร้างสรรค์งานศิลปะ
AI จะช่วยให้มนุษย์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยในการตัดสินใจที่ซับซ้อน และช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น AI ที่ช่วยในการวินิจฉัยโรค AI ที่ช่วยในการเรียนการสอน หรือ AI ที่ช่วยในการบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล
อย่างไรก็ตาม การพัฒนา AI ที่ก้าวกระโดดนี้ ก็มาพร้อมกับความท้าทาย เช่น ปัญหาเรื่องจริยธรรม ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักและเตรียมรับมือ
คำถามชวนคิด
คุณคิดว่า AI จะเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ในอนาคตหรือไม่?
เราควรมีกฎหมายควบคุมการพัฒนาและการใช้ AI อย่างไร?