ข้าพเจ้าขอแสดงเจตจำนงในการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานตำแห่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ ซึ่งเป็นตำแหน่งและวิทยฐานะที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันกับผู้อำนวยการสถานศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้
ข้าพเจ้าขอแสดงเจตจำนงในการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานตำแห่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ ซึ่งเป็นตำแหน่งและวิทยฐานะที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันกับผู้อำนวยการสถานศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 17 ชั่วโมง 30 นาที/สัปดาห์ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชา คณิตศาสตร์เพิ่มเติม2 จำนวน 6.67 ชั่วโมง/สัปดาห์
กลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน จำนวน 8.33 ชั่วโมง/สัปดาห์
กลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชา หน้าที่พลเมือง จำนวน 0.83 ชั่วโมง/สัปดาห์
ยุวกาชาดระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 0.83 ชั่วโมง/สัปดาห์
ชุมนุม A MATH จำนวน 0.83 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 11 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานตรวจการบ้าน/ภาระงาน/ตรวจชิ้นงานนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานที่ปรึกษา งานดูแลนักเรียน และงานโฮมรูม จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ และวิจัยในชั้นเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานพัฒนา สื่อ นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
เข้าร่วมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ(PLC) จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานพัฒนาผู้เรียนที่ส่งผลลัพธ์ต่อผู้เรียนสอดคล้องกับเป้าหมายของสถานศึกษา
จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
รองหัวหน้าและกรรมการในแต่ละงาน/ฝ่ายตาม จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
โครงสร้างการบริหารโรงเรียน 5 กลุ่ม
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้น จำนวน 1 ชั่วโมง 30 นาที/สัปดาห์
งานโรงเรียนคุณธรรม/โรงเรียนสุจริต จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รวม 31 ชั่วโมง 30 นาที/สัปดาห์
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 17 ชั่วโมง 30 นาที/สัปดาห์ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชา คณิตศาสตร์เพิ่มเติม2 จำนวน 6.67 ชั่วโมง/สัปดาห์
กลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน จำนวน 8.33 ชั่วโมง/สัปดาห์
กลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชา หน้าที่พลเมือง จำนวน 0.83 ชั่วโมง/สัปดาห์
ยุวกาชาดระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 0.83 ชั่วโมง/สัปดาห์
ชุมนุม A MATH จำนวน 0.83 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 11 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานตรวจการบ้าน/ภาระงาน/ตรวจชิ้นงานนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานที่ปรึกษา งานดูแลนักเรียน และงานโฮมรูม จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ และวิจัยในชั้นเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานพัฒนา สื่อ นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
เข้าร่วมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ(PLC) จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานพัฒนาผู้เรียนที่ส่งผลลัพธ์ต่อผู้เรียนสอดคล้องกับเป้าหมายของสถานศึกษา
จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
รองหัวหน้าและกรรมการในแต่ละงาน/ฝ่ายตาม จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
โครงสร้างการบริหารโรงเรียน 5 กลุ่ม
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้น จำนวน 1 ชั่วโมง 30 นาที/สัปดาห์
งานโรงเรียนคุณธรรม/โรงเรียนสุจริต จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รวม 31 ชั่วโมง 30 นาที/สัปดาห์
ประเด็นที่ท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนของผู้จัดทำข้อตกลง ซึ่งปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ ต้องแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ คือ การริเริ่ม พัฒนา การจัดการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือมีการพัฒนามากขึ้น (ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายอาจจะแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังในวิทยฐานะที่สูงกว่าได้)
1.สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
การศึกษาระดับชาติของประเทศไทย ได้เล็งเห็นสภาพปัญหาระบบการจัดการศึกษาของไทย ที่มีผลสืบเนื่องมาจากการจัดการเรียนการสอน โดยดูข้อมูลจากโปรแกรมการประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล (PISA) ซึ่งแบ่งระดับคะแนนเป็น scales 1 – 6 โดยจัดสอบทุกๆ 3 ปี สำหรับ PISA ประเทศไทยได้กำหนดกรอบการสุ่มตัวอย่าง (sampling frame) เป็นนักเรียนอายุ 15 ปี จากโรงเรียนทุกสังกัด โดยแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของคะแนนรายวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนไทย (ค.ศ. 2000 - 2018 )ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังคงคุณภาพ ระดับ1 เป็นส่วนใหญ่ คือ แก้ปัญหาด้วยวิธีที่คุ้นเคยได้เท่านั้น ซึ่งเป้าหมายของ สสวท. ต้องการให้การจัดการศึกษาของไทยส่งผลให้ขยับระดับคุณภาพให้สูงกว่า ระดับ1 นั่นหมายถึง นักเรียนไทย ต้องมีทักษะการแก้ปัญหาที่ไม่ซับซ้อน ให้เหตุผลตรงไปตรงมาได้ โดยการประเมินของ PISA จะประเมิน 3 ด้าน คือ ด้านการอ่าน ด้านวิทยาศาสตร์ และ ด้านคณิตศาสตร์ โดยลักษณะข้อคำถามทางคณิตศาสตร์จะเป็นโจทย์ปัญหาที่อิงสถานการณ์จริง โดยมุ่งเน้นความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และการคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking) ซึ่งเป็นกระบวนการในการแก้ปัญหา การคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีเหตุผล เป็นขั้นตอน รวมถึงบริบทที่สอดคล้องกับทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
เมื่อมองย้อนกลับมาดูที่เนื้อหาสาระของวิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สาระหนึ่งที่เป็น
ปัญหาสำหรับนักเรียนหลายคน คือสาระพีชคณิต นักเรียนส่วนใหญ่ยังขาดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ นักเรียนใช้วิธีการคำนวณเพื่อหาคำตอบมากกว่าความเข้าใจในวิธีการแก้โจทย์ปัญหา ขาดการเชื่อมโยงความรู้เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และนักเรียน เป็นผู้ที่จะรอรับความรู้อยู่ฝ่ายเดียว ไม่เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และไม่มีการเผชิญปัญหาด้วยตัวเอง ทำให้ไม่ได้พัฒนาทักษะขึ้นมาด้วยตัวเอง ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง จากการฝึกปฏิบัติ ฝึกให้นักเรียนคิดอย่างมีวิจารณญาณและกระบวนการในการแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาความสามารถในกากรแก้โจทย์ปัญหาให้มากขึ้น นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมต้องผสมผสานทั้งด้านเนื้อหาและด้านทักษะกระบวนการตลอดจนปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ดีงามถูกต้องเหมาะสมให้แก่ผู้เรียน
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เป็นทฤษฎีที่ให้ความสำคัญที่ตัวผู้เรียน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของการจัดการเรียนการ
สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ความรู้เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เรียน ผู้เรียนใช้ความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่เป็นพื้นฐานในการสร้างความรู้ใหม่ การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียนจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก ผู้เรียนแต่ละคนจะสร้างความรู้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน ดังนั้น การสอนตามทฤษฎีนี้ จึงเน้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้สื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน โดยผู้สอนคอยช่วยเหลือให้ผู้เรียนนำความรู้ที่มีอยู่ออกมาใช้ และวิเคราะห์ ไตร่ตรองสิ่งที่ได้จากการอภิปรายกับผู้อื่น ผู้สอนมีหน้าที่จัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้เหมาะสม ตั้งประเด็นปัญหาที่ท้าทาย และช่วยเหลือผู้เรียนสร้างความรู้ได้เอง โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ มีกระบวนการจัดการเรียนรู้ มีลำดับการสอน 5 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นที่ 2 คือ ขั้นสอน ขั้นที่ 3 คือ ขั้นสรุป ขั้นที่ 4 คือ ขั้นฝึกทักษะ และขั้นที่ 5 คือ ขั้นประเมิน ซึ่งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เราสามารถนำเอาทักษะกระบวนการเข้าไปอยู่ในขั้นที่ 2,ขั้นที่ 3 ขั้นที่ 4 ของการจัดกิจกรรมได้ โดยการสร้างกิจกรรมที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เป็นการพัฒนาทักษะกระบวนการและสามารถสร้างความเข้าใจได้ด้วยตัวเอง
กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิด DAPIC เป็นกระบวนการแก้ปัญหาที่บูรณาการกระบวนการแก้ปัญหาทาง
คณิตศาสตร์และกระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน มีขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) Define เป็นการทำความเข้าใจปัญหา กำหนดหรือระบุปัญหา ที่จะแก้ให้มีความชัดเจน 2) Access เป็นการระบุหรือเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องและที่จะใช้ในการแก้ปัญหา 3) Plan เป็นการหาวิธีที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา และวางแผนการดำเนินงาน 4) Implement เป็นการนำแผนที่วางไว้มาปฏิบัติ พร้อมทั้งมีการปรับแผนให้ดีขึ้น 5) Communicate เป็นการนำผลจากการดำเนินการมาวิเคราะห์ สรุป และสื่อสาร โดยกระบวนการดังกล่าวหากผู้เรียนได้รับการ ส่งเสริม และฝึกฝน ก็จะเป็นการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา การคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีเหตุผลเป็นขั้นตอน และฝึกทักษะการสื่อสาร การทำงานเป็นทีมได้อีกด้วย
นอกจากครูผู้สอนต้องจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ ทักษะกระบวน และ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตามตัวชี้วัดของสถานศึกษา การฝึกฝนกระบวนการแก้โจทย์ปัญหา ต้องอาศัยเครื่องมือหรือแบบฝึกที่ออกแบบกระบวนการ เพื่อให้นักเรียนเกิดองค์ความรู้เป็นของตนเอง สามารถนำไปใช้แก้โจทย์ปัญหาในชีวิตประจำวัน หรือในระดับการศึกษาที่สูงขึ้นได้จากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น ครูผู้สอนเล็งเห็นถึงความสำคัญ ที่จะพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม2(ค23203) เรื่องกราฟของฟังก์ชันกำลังสอง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยเน้นกระบวนการแก้ปัญหาตามกระบวนการ DAPIC
2.วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
2.1 ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) และ
หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนหนองฉางวิทยา กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ พุทธศักราช 256ึ7 ในเรื่องของมาตรฐานการเรียน ตัวชี้วัด และผลการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม2 (ค23203) ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ เรื่องกราฟของฟังก์ชันกำลังสอง
2.2 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องกราฟของฟังก์ชันกำลังสอง ที่ออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสร์ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ทักษะ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตามหลักสูตรสถานศึกษา โดยกิจกรรมการเรียนการสอน มีลำดับการสอน 5 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นที่ 2 คือ ขั้นสอน ขั้นที่ 3 คือ ขั้นสรุป ขั้นที่ 4 คือ ขั้นฝึกทักษะ และขั้นที่ 5 คือ ขั้นประเมิน โดยแต่ละขั้น ใช้การถาม ตอบเป็นหลัก เป็นหลักเพื่อกระตุ้นความคิดของผู้เรียน ฝึกการใช้เหตุผล ฝึกการเชื่อมโยงความรู้เพื่อนำมาใช้ในการแก้โจทย์ปัญหา และกล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ โดยในขั้นที่2 และ ขั้นที่4 ผู้สอนได้นำนวัตกรรม คือ แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม2(ค23203) เรื่องกราฟของฟังก์ชันกำลังสอง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยเน้นกระบวนการแก้ปัญหาตามกระบวนการ DAPIC มาช่วยฝึกทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา จนได้คำตอบที่ถูกต้องและตรวจสอบคำตอบได้ ฝึกการทำงานเป็นทีม เพื่อให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนความรู้ สรุปเป็นองค์ความรู้ของกลุ่มตัวเอง ช่วยกันทำงานให้สำเร็จตามเวลาที่กำหนด ประพฤติปฏิบัติตนตาม กฏกติกาที่วางร่วมกันไว้ได้ มีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกลุ่มใหญ่ เป็นการฝึกทักษะการสื่อสาร โดยครูจะใช้คำถามกระตุ้นนักเรียน ให้ช่วยกันสรุปความรู้เนื้อหาที่เรียน และสรุปวิธีการจากการนำเสนอของแต่ละกลุ่ม ว่าวิธีการของกลุ่มไหนถูกต้องและคิดได้รวดเร็ว โดย แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม2(ค23203) เรื่องกราฟของฟังก์ชันกำลังสอง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยเน้นกระบวนการแก้ปัญหาตามกระบวนการ DAPIC ประกอบด้วย 1) ใบกิจกรรมรายบุคคล 2) ใบกิจกรรมรายกลุ่ม 3) ใบกิจกรรมฝึกทักษะ และ 4) แบบบันทึกการสืบค้นข้อมูล โดยใช้สื่อ ICT เป็นการสืบค้นความรู้นอกห้องเรียน ที่สามารถนำมาเสริม ฝึกฝนเพิ่มเติมจากการเรียนในห้องเรียนได้
2.3 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ มีการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง ทำแบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน ใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย ด้านความรู้ ประเมินโดยใช้ ใบกิจกรรมรายบุคคล ใบกิจกรรมรายกลุ่ม และ ใบกิจกรรมฝึกทักษะ ด้านทักษะกระบวนการ ประเมินโดยใช้ แบบประเมินทักษะกระบวนการ เพื่อประเมินทักษะการทำงานเป็นทีม(โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินการนำเสนอของแต่ละกลุ่มด้วย) ประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา และ ประเมินทักษะการสื่อสาร ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ประเมินโดยใช้ แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ประเมินการมีระเบียบวินัยและ การใฝ่เรียนรู้ โดยกลุ่มไหนได้รับคะแนนรวมทั้ง 3 ด้าน สูงที่สุด มีรางวัลให้เมื่อเรียนจบหน่วยการเรียนรู้ เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศการเรียนให้สนุกสนาน และกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน หากมีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินในเรื่องใด ให้นักเรียนใช้กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อนตามกลุ่มที่ได้จัดคละความสามารถไว้ นอกจากนี้คุณครูได้สร้างช่องทางการเรียนรู้เพื่อเป็นการสอนซ่อมเสริม การทบทวน หรือ ศึกษาเนื้อหาล่วงหน้าเพื่อเตรียมการเรียนในครั้งต่อไป โดยจะมีคลิปวีดีโอการสอนของครู แบบทดสอบที่สร้างด้วยโปรแกรม Googlesite และ WORDWELL ให้นักเรียนเข้าไปฝึกทำโจทย์ปัญหาได้อย่างหลากหลาย ที่ http://gg.gg/krusomsupattra
2.4 บันทึกผลการเรียนรู้และการส่งภาระงานของผู้เรียน ในโปรแกรม Microsoft Excel และสะท้อน ในรูปแบบตารางแสดงความคืบหน้า เพื่อให้ผู้เรียน คุณครูที่ปรึกษาหรือผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ
2.5 บันทึกหลังแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อนำผลการจัดการเรียนรู้มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อพัฒนาต่อยอดในเนื้อหา
เรื่องอื่นๆ และเผยแพร่ในกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ กับเพื่อนครูที่สอนในรายวิชาเดียวกันในลำดับต่อไป โดยเพื่อน
ครูสามารถเข้าไปใช้ สื่อ แบบทดสอบ จากhttp://gg.gg/krusomsupattra ได้เช่นกัน
3.ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง
3.1 เชิงปริมาณ
1) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/9 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม2(ค23203) เรื่องกราฟของฟังก์ชันกำลังสอง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยเน้นกระบวนการแก้ปัญหาตามกระบวนการ DAPIC มีผลการเรียนเฉลี่ยผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ร้อยละ 80
3.2 เชิงคุณภาพ
1) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/9 มีทักษะกระบวนการแก้ปัญหา ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ระดับดี
2) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/9 มีทักษะการสื่อสาร ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ระดับดี
3) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/9 มีทักษะการทำงานเป็นทีม ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ระดับดี
ลงชื่อ สุภัทรา เหมพิจิตร
(นางสุภัทรา เหมพิจิตร)
ตำแหน่ง ครู
ผู้จัดทำข้อตกลงในการพัฒนางาน
1 ตุลาคม 2566