ดาร์กช็อกโกแลตตูเวอร์เจอร์ รสขมอมเปรี้ยวเหมาะสำหรับทำขนม: Callebaut Dark Couverture 70.5% ดาร์กช็อกโกแลต
ดาร์กช็อกโกแลต 100 % ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล: Ghirardelli 100% Cacao Unsweetened Chocolate ดาร์กช็อกโกแลต
ดาร์กช็อกโกแลตแบบออร์แกนิก มีน้ำตาลต่ำดีต่อสุขภาพ: Green & Black's Organic Extra Dark Chocolate 85% ดาร์กช็อกโกแลต
ช็อกโกแลตระดับพรีเมียม ที่จะชวนให้คุณดื่มด่ำไปกับรสชาติและกลิ่น ที่เข้มข้น: Lindt Excellence Dark Cocoa Chocolate 99% ดาร์กช็อกโกแลต
ดาร์กช็อกโกแลตผสมผลไม้ หอมหวานอร่อยแบบลงตัว: Heidi Dark Chocolate 75% With Superfruits ดาร์กช็อกโกแลต
ช็อกโกแลตคอมพาวด์ยอดฮิต เคล็ดลับในการทำบราวนี่ให้อร่อยในราคาจับต้องได้: Tulip Dark Chocolate Compound ดาร์กช็อกโกแลต
ดาร์กช็อกโกแลตแบบสแนค
1.1 ดาร์กช็อกโกแลตแบบสแนค (Snack)
ดาร์กช็อกโกแลตแบบสแนคเป็นช็อกโกแลตที่สามารถทานได้ทันทีหรือที่เรียกกันว่าพร้อมรับประทานค่ะ ดาร์กช็อกโกแลตประเภทนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่พบได้บ่อยที่สุดและมักจะใช้เป็นขนมหวานแสนอร่อย ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของเด็ก ๆ จนถึงผู้ใหญ่ มีหลากหลายรสชาติที่น่าสนใจ โดยคุณสามารถเลือกได้ตั้งแต่รสถั่ว รสผลไม้รวมไปจนถึงช็อกโกแลตที่มีรสชาติเฉพาะตัว โดยปกติแล้วดาร์กช็อกโกแลตจะมีราคาที่แตกต่างกันออกไปตามคุณภาพค่ะ
1.2 ดาร์กช็อกโกแลตสำหรับทำขนม (Cooking chocolate)
ดาร์กช็อกโกแลตสำหรับปรุงอาหารมักจะมีสีเข้มและสามารถใช้เป็นส่วนผสมในการปรุงอาหารได้ โดยปกติดาร์กช็อกโกแลตสำหรับทำอาหาร จะอยู่ในรูปแท่งที่จะต้องหั่นเป็นชิ้นก่อน แต่นอกจากเป็นแท่ง ๆ แล้วยังมีแบบกลม ๆ ที่ละลายง่ายกว่าด้วยค่ะ ช็อกโกแลตสำหรับทำอาหารจะมี 2 ประเภทคือคอมพาวด์ (Compound) และคูเวอร์เจอร์ (Couverture) ซึ่งช็อกทั้งสองต่างกันในแง่ขององค์ประกอบและราคาค่ะ
ดาร์กช็อกโกแลต สำหรับทำขนม
ช็อกโกแลตคอมพาวด์ (Compound) เป็นช็อกโกแลตผสมที่ทำจากผงโกโก้และไขมันพืช ราคาของมันถูกกว่าช็อกโกแลตคูเวอร์เจอร์ โดยคุณสามารถหาช็อกโกแลตคอมพาวด์ได้ง่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตหรือมินิมาร์ท จุดเด่นก็คือช็อกโกแลตคอมพาวด์สามารถแปรรูปเป็นอาหารได้ง่ายกว่าค่ะ
ช็อกโกแลตคูเวอร์เจอร์ (Couverture) เป็นช็อกโกแลตที่ทำจากโกโก้แมสและโกโก้บัตเตอร์ ในการละลายช็อกโกแลตชนิดนี้จะต้องใช้เทคนิคการละลายแบบเทมเปอร์ริ่ง นอกจากนี้คุณต้องเข้าใจเทคนิคการละลายเพื่อให้ช็อกโกแลตมีความเรียบเนียนและแวววาว ดังนั้นช็อกโกแลตคูเวอร์เจอร์จึงใช้กันอย่างแพร่หลายในร้านเบเกอรี่ระดับไฮเอนด์หรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพราะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าทั้งในเรื่องรสชาติและสีสันค่ะ
ดาร์กช็อกโกแลตมีรสขม อย่างไรก็ตามระดับความขมนั้นขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์ของโกโก้ที่ใช้ค่ะ คุณต้องจำไว้ว่ายิ่งเปอร์เซ็นต์โกโก้สูงเท่าไรก็ยิ่งมีรสขมมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งปริมาณรสขมที่มากกว่าย่อมดีต่อสุขภาพกว่าด้วยค่ะ
80-100% : ดาร์กช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้ 80 -100% มีรสขมแต่มีแคลอรีต่ำ หากคุณกำลังลดน้ำหนักอยู่ให้เลือกซื้อดาร์กช็อกโกแลตแบบนี้เลยค่ะ
50-80% : ดาร์กช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้ 50-80% จะเป็นดาร์กช็อกโกแลตที่เริ่มให้ความหวานและไม่ค่อยขมแล้วค่ะ หากคุณไม่คุ้นเคยกับดาร์กช็อกโกแลตที่ขมเกินไป ให้ลองทานดาร์กช็อกโกแลต 50-80% เลยค่ะ
น้อยกว่า 50% : ดาร์กช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้น้อยกว่า 50% มีรสหวาน แต่ความหวานของมันก็ไม่หวานเท่าช็อกโกแลตนมอย่างแน่นอนค่ะ แต่ต้องระวังสารปรุงแต่งให้มากนะคะเพราะรสที่หวานเกินไปมักจะใช้สารให้ความหวานหลายอย่าง
ดาร์กช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้น้อยกว่า 50% อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ
หากคุณไม่คุ้นเคยหรือไม่ชอบรสขมของดาร์กช็อกโกแลตให้เลือกซื้อช็อกโกแลตที่มีรสมีชาติอื่น ๆ ผสมมาด้วยค่ะ อาจจะเป็นดาร์กช็อกโกแลตที่ผ่านการเติมถั่วหรือผลไม้ลงไปเพื่อปรับรสขมและกลิ่นของดาร์กช็อกโกแลต แน่นอนว่าการเติมรสชาติอื่น ๆ ลงไปทำให้ดาร์ก ช็อกโกแลตมีรสชาติอร่อยยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้ที่ไม่ชอบความขมหรือแม้แต่เด็ก ๆ ก็สามารถทานได้ แต่ต้องจำไว้นะคะว่าดาร์กช็อกโกแลตที่ผ่านการปรุงแต่งอาจจะเป็นการเพิ่มปริมาณแคลอรีและน้ำตาลด้วย ซึ่งนี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งหากคุณกำลังควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักค่ะ
ระวังน้ำตาลในดาร์กช็อกโกแลต
รสเข้มและขมของดาร์กช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้สูงอาจทำให้บางคนบริโภคได้ยาก ดังนั้นหลายคนจึงเลือกซื้อดาร์กช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมอย่างนมและน้ำตาล แน่นอนว่ามันจะทำให้ดาร์กช็อกโกแลตรสชาติดีขึ้นแต่ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพค่ะ เพราะการทานน้ำตาลที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้น ส่วนนมจะเพิ่มไขมันอิ่มตัว การทานทั้งสองอย่างพร้อมกันจะเป็นการเพิ่มแคลอรี นอกจากนี้การผสมน้ำตาลและนมเข้าไปจะทำให้ปริมาณโกโก้ที่มีอยู่ในดาร์กช็อกโกแลตน้อยลงตามปริมาณ ปริมาณโกโก้ที่น้อยลงหมายถึงสารอาหารของโกโก้ที่มีน้อยลงนั่นเองค่ะ