ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 หมวดที่ 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 ได้กำหนด แนวทางการจัดการศึกษาว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ ฉะนั้นผู้สอนและผู้จัดการศึกษาจะต้องเปลี่ยนแปลงบทบาทจากการเป็นผู้ชี้นำ ผู้ถ่ายทอดความรู้ไปเป็นผู้ช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนผู้เรียนในการค้นคว้าหาความรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้สามารถแสวงหาความรู้และประยุกต์ใช้ทักษะต่างๆสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
ในการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสาตร์ที่ผ่านมาครูผู้สอนพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ต้องได้รับการพัฒนาให้มากขึ้น โดยผู้เรียนส่วนมากยังขาดทักษะที่จำเป็นในการศึกษาประวัติศาสตร์ เช่น ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการค้นคว้า ทักษะการค้นหาคำตอบ การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองและการคิดวิเคราะห์เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นทักษะที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเรียนรายวิชาประวัติศาสตร์ ดังนั้น ครูผู้สอนจึงจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานประเด็นท้าท้าย เรื่องการพัฒนาทักษะกระบวนการกลุ่ม เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ Active Leaning ในรายวิชาประวัติศาสตร์
2.1 ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนแก่งหางแมวพิทยาคาร พุทธศักราช 2561 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในเรื่องของมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของเนื้อหารายวิชาประวัติศาสตร์ เพื่อวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ มาตรฐานและตัวชี้วัด และกำหนดขอบเขตเนื้อหาสาระแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
2.2 ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการใช้เทคนิคการสอนเชิงรุก (Active Learning) และแนวทางการพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ในการจัดการเรียนการสอนจากหนังสือ เอกสาร วารสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน และการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้
2.3 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหา สาระการเรียนรู้ สาระสำคัญและเวลาที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และแผนการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะการสร้างองค์ความรู้ ทักษะการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ ตามกระบวนการสอนโดยใช้เทคนิคการสอนเชิงรุก (Active Learning) และการพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น
2.4 ดำเนินการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ทักษะการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ ตามเทคนิคการสอนเชิงรุก (Active Learning) พร้อมทั้งจัดทำสื่อการสอนที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาประวัติศาสตร์
2.5 เปิดชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) โดยครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และเข้าไปสังเกตการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องในเนื้อหา การจัดกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม และแบบฝึกหัด พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะ และสะท้อนผลการจัดกิจกรรมเพื่อนำมาปรับปรุง แก้ไขให้เหมาะสมกับบริบทของห้องเรียน ผู้เรียนและโรงเรียน
2.6 ครูผู้สอนนำกิจกรรมมาปรับปรุง แก้ไขตามคำแนะนำของคณะครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนแก่งหางแมวพิทยาคาร
2.7 ครูผู้สอนสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน (Pre-Test) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียน (Post-Test) โดยวิเคราะห์จากตัวชี้วัดตามหลักสูตร และประเมินนักเรียนอย่างหลากหลาย
2.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้จัดการเรียนการสอนกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในรายวิชาประวัติศาสตร์ โดยปรับกิจกรรมให้เหมาะสมกับบริบทของห้องเรียน ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ผ่านการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาประวัติศาสตร์ และให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองและทักษะการสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์
2.9 บันทึกผลการเรียนรู้ของนักเรียน ที่เกิดขึ้นจากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ สะท้อนผลการเรียนรู้ให้นักเรียนทราบเป็นระยะ ตรวจสอบความก้าวหน้าของนักเรียนแต่ละคนในความรู้และทักษะแต่ละด้าน หากมีนักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินในเรื่องใด ให้ใช้กิจกรรมการสอนซ่อมเสริมจนนักเรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด
2.10 สอบถามความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อนำผลการประเมินมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น
3.1 เชิงปริมาณ
(1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ 76 ในรายวิชาประวัติศาสตร์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับ 2.5 ขึ้นไป
(2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ 76 ในรายวิชาประวัติศาสตร์มีผลการประเมินด้านการอ่านคิด วิเคราะห์และเขียนระดับ ดี ขึ้นไป
(3) ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร้อยละ 70 ในรายวิชาประวัติศาสตร์ มีผลการประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ระดับมากขึ้นไป
3.2 เชิงคุณภาพ
(1) ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนรายวิชาประวัติศาสตร์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์และทักษะการกระบวนการทำงานแบบกลุ่ม
(2) ครูผู้สอนสามารถใช้เทคนิคการสอนเชิงรุก (Active Learning) ร่วมกับการพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนักเรียนผ่านกิจกรรมในแผนการสอน โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายเหมาะสมกับผู้เรียน
การแปลผล
รายวิชาประวัติศาสตร์ 2 มีนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับ 2.5 ขึ้นไป ร้อยละ 76 เป็นจำนวน 104 คน จากทั้งหมด 110 คน คิดเป็นร้อยละ 94.54 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเชิงปริมาณที่กำหนดไว้ตามข้อตกลงการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้เรียนที่กำหนดไว้ว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในรายวิชาประวัติศาสตร์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับ 2.5 ขึ้นไป ร้อยละ 76
การแปลผล
รายวิชาประวัติศาสตร์ 2 มีผลการประเมินความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนของผู้เรียนระดับ ดี ขึ้นไป เป็นจำนวน 107 คน จาก 110 คน คิดเป็นร้อยละ 97.27 ซึ่ง สูงกว่าที่เป้าหมายเชิงปริมาณที่กำหนดไว้ ตามข้อตกลงการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทาย ในการพัฒนาการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนของผู้เรียน ที่กำหนดไว้ว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในรายวิชาประวัติศาสตร์มีผลการประเมินด้านการอ่านคิด วิเคราะห์และเขียนระดับ ดี ขึ้นไป ร้อยละ 76
อ้างอิงเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านรายงานการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน (ภาคเรียนที่ 2/2567)
ตัวอย่างชิ้นงานการพัฒนาทักษะกระบวนการกลุ่ม เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ Active Leaning ในรายวิชาประวัติศาสตร์
(ตามประเด็นท้าทาย)