ความหมายของศิลปะและทัศนศิลป์
ศิลปะ หมายถึง ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่างๆให้ปรากฏซึ่งความสุนทรียภาพ ความประทับใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ตามประสบการณ์ รสนิยม และทักษะของบุคคลแต่ละคนนอกจากนี้ยังมีนักปราชญ์ นักการศึกษา ท่านผู้รู้ ได้ให้ความหมายของศิลปะแตกต่างกันออกไป เช่นการเลียนแบบธรรมชาติ การแสดงออกของบุคลิกภาพทางอารมณ์ของมนุษย์
ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับมนุษย์
การสร้างสรรค์ทางศิลปะ ของมนุษย์เป็นกิจกรรมในการพัฒนาสติปัญญาและอารมณ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณตั้งแต่ยุคหินหรือประมาณ 4,000 -5,000 ปีล่วงมาแล้ว นับตั้งแต่มนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำ เพิงผา ดํารงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาของป่าเป็นอาหาร โดยมากศิลปะจะเป็นภาพวาด ซึ่งปรากฏตามผนังถ้ำต่างๆ เช่น ภาพวัวไบซัน ที่ถ้ำอัลตาริมา ในประเทศสเปน ภาพสัตว์ชนิดต่างๆที่ถ้ำลาสล์โกในประเทศฝรั่งเศส สําหรับประเทศไทยที่พบเห็น เช่นผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานีภาชนะเครื่องปั้นดินเผา ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี
ประเภทของงานทัศนศิลป์ สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. จิตรกรรม
2. ประติมากรรม
3. สถาปัตยกรรม
4. ภาพพิมพ์
งานจิตรกรรม เป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการวาด ระบายสี และการจัดองค์ประกอบความงามเพื่อให้เกิดภาพ 2 มิติ ไม่มีความลึกหรือนูนหนา จิตรกรรมเป็นแขนงหนึ่งของ 1ทัศนศิลป์ผู้ทํางานด้านจิตรกรรมจะเรียกว่า จิตรกร
จอห์น แคนาเดย์ (John Canaday) ได้ให้ความหมายของจิตรกรรมไว้ว่า จิตรกรรม คือ การระบายชั้นของสีลงบนพื้นระนาบรองรับ เป็นการจัดรวมกันของรูปทรง และ สีที่เกิดขึ้นจากการเตรียมการของศิลปินแต่ละคนในการเขียนภาพนั้น พจนานุกรมศัพท์ อธิบายว่า เป็นการสร้างงานทัศนศิลป์บนพื้นระนาบรองรับ ด้วยการ ลากป้าย ขีด ขูด วัสดุ จิตรกรรมลงบนพื้นระนาบรองรับ
ภาพจิตรกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่เป็นที่รู้จักอยู่ที่ถ้ำ Chauvet ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนอ้างว่ามีอายุราว 32,000 ปีเป็นภาพที่สลักและระบายสีด้วยโคลนแดงและสีย้อมดํา แสดงรูปม้า แรด สิงโต ควายแมมมอธ หรือมนุษย์ที่กําลังล่าสัตว์
จิตรกรรม สามารถจําแนกได้ตามลักษณะผลงาน และ วัสดุอุปกรณ์การสร้างสรรค์เป็น 2 ประเภท คือภาพวาด และ ภาพเขียน
จิตรกรรมภาพวาด (Drawing) เป็นศัพท์ทัศนศิลป์ คือ ภาพวาดเส้น หรือบางท่านอาจเรียกด้วยคําทับศัพท์ว่า ดรออิ้ง ปัจจุบันได้มีการนําอุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการเขียนภาพและวาดภาพ ที่ก้าวหน้าและทันสมัยมากมาใช้ ผู้เขียนภาพจึงอาจจะใช้อุปกรณ์ต่างๆมาใช้ในการเขียนภาพ ภาพวาดในสื่อสิ่งพิมพ์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ภาพวาดลายเส้น และ การ์ตูน
จิตรกรรมภาพเขียน (Painting) ภาพเขียนเป็นการสร้างงาน 2 มิติบนพื้นระนาบด้วยสีหลายสีเช่น สีน้ำ สีน้ำมัน สีฝุ่น สีชอล์ค หรือสีอะคริลิคซึ่งผลงานทางด้านจิตรกรรมภาพเขียนของสีแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกัน เช่น
1. การเขียนภาพสีน้ำ
(Colour Painting)
2. การเขียนภาพสีน้ำมัน
(Oil Painting)
3. การเขียนภาพสีอะคริลิค
(Acrylic Painting)
งานประติมากรรม เป็นผลงานด้านศิลปที่แสดงออกด้วยการสร้างรูปทรง 3 มิติ ที่มีปริมาตร มีน้ำหนักและกินเนื้อที่ในอากาศ โดยการใช้วัสดุชนิดต่าง ๆ วัสดุที่ใช้สร้างสรรค์งานประติมากรรม จะเป็นตัวกําหนดวิธีการสร้างผลงาน ความงามของงานประติมากรรม ทําได้ 4 วิธี คือ
1. การปั้น (Casting) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุ ที่มีความเหนียว อ่อนตัว และยึดจับตัวกันได้ดี วัสดุที่นิยมนํามาใช้ปั้น ได้แก่ ดินเหนียว ดินน้ำมัน ปูน แป้ง ขี้ผึ้ง กระดาษ หรือขี้เลื่อยผสมกาว เป็นต้น
2. การแกะสลัก (Carving) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุที่ แข็ง เปราะ โดยอาศัย เครื่องมือวัสดุที่ นิยมนํามาแกะ ได้แก่ ไม้ หิน กระจก แก้ว ปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น
3. การหล่อ (Molding) การสร้างรูปผลงานที่มีทรง 3 มิติจากวัสดุที่หลอมตัวได้และกลับแข็ง ตัวได้โดยอาศัยแม่พิมพ์ ซึ่งสามารถทําให้เกิดผลงานที่เหมือนกันทุกประการตั้งแต่ 2 ชิ้น ขึ้นไป วัสดุที่นิยมนํามาใช้หล่อ ได้แก่ โลหะ ปูน แก้ว ขี้ผึ้ง เรซิ่น พลาสติก ฯลฯ
4. การประกอบขึ้นรูป (Construction) การสร้างผลงานที่มีรูปทรง 3 มิติ โดยการนําวัสดุต่าง ๆ มาประกอบเข้าด้วยกัน และยึดติดกันด้วยวัสดุต่าง ๆ การเลือกวิธีการสร้างสรรค์งานประติมากรรม ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ต้องการใช้ในงานประติมากรรม ไม่ว่าจะสร้างขึ้นโดยวิธีใดผลงานทางด้านประติมากรรม จะมีอยู่ 3 ลักษณะ คือแบบนูนต่ํา แบบนูนสูงและแบบลอยตัว ผู้สร้างสรรค์งานประติมากรรม เรียกว่า ประติมากร
ประเภทของงานประติมากรรม
1. ประติมากรรมแบบนูนต่ำ ( Bas Relief ) เป็นรูปปั้นที่นูนขึ้นมาจากพื้นหรือมีพื้นหลัง รองรับมองเห็นได้ชัดเจนเพียงด้านเดียว คือด้านหน้า มีความสูงจากพื้นไม่ถึงครึ่งหนึ่งของรูป จริง ได้แก่รูปนูนบนเหรียญ รูปนูนที่ใช้ประดับตกแต่งภาชนะ รูปนูนที่ใช้ประดับตกแต่งบริเวณฐานอนุสาวรีย์ หรือพระเครื่องบางองค์
2. ประติมากรรมแบบนูนสูง ( High Relief ) เป็นรูปปั้นแบบต่าง ๆ มีลักษณะเช่นเดียวกับแบบ นูนต่ำแต่มีความสูงจากพื้นตั้งแต่ครึ่งหนึ่งของรูปจริงขึ้นไป ทําให้เห็นลวดลายที่ลึก ชัดเจน และ และเหมือนจริงมากกว่าแบบนูนแต่ใช้งานแบบเดียวกับแบบนูนต่ำ
3. ประติมากรรมแบบลอยตัว ( Round Relief ) เป็นรูปปั้นแบบต่าง ๆ ที่มองเห็นได้รอบด้านหรือ ตั้งแต่ 4ด้านขึ้นไป ได้แก่ภาชนะต่าง ๆ รูปเคารพต่าง ๆ พระพุทธรูป เทวรูป รูปตามคตินิยม รูปบุคคลสําคัญ รูปสัตว์ ฯลฯ
สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถึง การออกแบบผลงานทางทัศนศิลป์ที่เป็นการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ คนทั่วไปอยู่อาศัยได้และอยู่อาศัยไม่ได้ เช่นสถูป เจดีย์ อนุสาวรีย์บ้านเรือนต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงการกําหนดผังบริเวณต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสวยงามและเป็นประโยชน์แก่การ ใช้สอยตามต้องการ งานสถาปัตยกรรมเป็นแหล่งรวมของงานศิลปะทางกายภาพเกือบทุกชนิด และมักมีรูปแบบแสดงเอกลักษณ์ของสังคมนั้น ๆ ในช่วงเวลานั้น ๆ เราแบ่งลักษณ์งานของสถาปัตยกรรมออกได้เป็น 3 แขนง ดังนี้ คือ
1. สถาปัตยกรรมออกแบบก่อสร้าง เช่น การออกแบบสร้างตึกอาคาร บ้านเรือน เป็นต้น
2. ภูมิสถาปัตย์ เช่น การออกแบบวางผัง จัดบริเวณ วางผังปลูกต้นไม้ จัดสวน เป็นต้น
3. สถาปัตยกรรมผังเมือง ได้แก่ การออกแบบบริเวณเมืองให้มีระเบียบ มีความสะอาด และถูกหลัก
สุขาภิบาล เราเรียกผู้สร้างงานสถาปัตยกรรมว่า สถาปนิก
องค์ประกอบสําคัญของสถาปัตยกรรม
จุดสนใจและความหมายของศาสตร์ทางสถาปัตยกรรมนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยบทความ De Architecturaของวิทรูเวียส ซึ่งเป็นบทความเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม ที่เก่าแก่ที่สุดที่เราค้นพบ ได้กล่าวไว้ว่า สถาปัตยกรรมต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสามส่วนหลักๆ ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวและสมดุล อันได้แก่
ความงาม (Venustas) หมายถึง สัดส่วนและองค์ประกอบ การจัดวางที่ว่าง สีวัสดุและพื้นผิวของอาคารที่ผสมผสานลงตัว ที่ยกระดับจิตใจ ของผู้ได้ยลหรือเยี่ยมเยือนสถานที่นั้นๆ
ความมั่นคงแข็งแรง (Firmitas)และ ประโยชน์ใช้สอย (Utilitas) หมายถึง การสนองประโยชน์ และ การบรรลุประโยชน์แห่งเจตนารวมถึงปรัชญาของสถานที่นั้นๆ
สถาปัตยกรรมตะวันตก ตัวอย่างเช่น บ้านเรือน โบสถ์วิหาร ปราสาท ราชวัง ซึ่งมีทั้งสถาปัตยกรรมแบบโบราณ เช่น กอธิก ไบแซนไทน์จนถึงสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
ศิลปะภาพพิมพ์ ( Printmaking)
ภาพพิมพ์ โดยความหมายของคําย่อมเป็นที่เข้าใจชัดเจนแล้วว่า หมายถึงรูปภาพที่สร้างขึ้นมา โดยวิธีการพิมพ์ แต่สําหรับคนไทยส่วนใหญ่เมื่อพูดถึง ภาพพิมพ์อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักว่าภาพพิมพ์ คืออะไรกันแน่เพราะคําๆนี้เป็นคําใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้กันมาประมาณเมื่อ 30 ปี มานี้เอง
โดยความหมายของคําเพียงอย่างเดียว อาจจะชวนให้เข้าใจสับสนไปถึงรูปภาพที่พิมพ์ด้วยกรรมวิธีการพิมพ์ทางอุตสาหกรรม เช่น โปสเตอร์ ภาพพิมพ์ที่จําลองจากภาพถ่าย หรือภาพจําลองจิตรกรรมอันที่จริงคําว่า ภาพพิมพ์ เป็นศัพท์เฉพาะทางศิลปะที่หมายถึง ผลงานวิจิตรศิลป์ที่จัดอยู่ในประเภท ทัศนศิลป์ เช่นเดียวกันกับจิตรกรรมและประติมากรรม
ภาพพิมพ์ทั่วไปมีลักษณะเช่นเดียวกับจิตรกรรมและภาพถ่ายคือตัวอย่างผลงานมีเพียง 2 มิติ ส่วนมิติที่ 3 คือ ความลึกที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ภาษาเฉพาะของทัศนศิลป์ อันได้แก่ เส้น สี น้ำหนัก และพื้นผิว สร้างให้ดูลวงตาลึกเข้าไปในระนาบ 2 มิติของผิวภาพ แต่ภาพพิมพ์มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากจิตรกรรมตรงกรรมวิธีการสร้างผลงาน ที่ผลงานจิตรกรรมนั้นศิลปินจะเป็นผู้สร้างสรรค์ขีดเขียน หรือวาดภาพระบายสีลงไปบนผืนผ้าใบหรือกระดาษ โดยสร้างออกมาเป็นภาพทันทีแต่การสร้างผลงานภาพพิมพ์ศิลปินต้องสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาเป็นสื่อก่อน แล้วจึงผ่านกระบวนการพิมพ์ ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพที่ต้องการได้
กรรมวิธีในการสร้างผลงานด้วยการพิมพ์นี้เอง ที่ทําให้ศิลปินสามารถสร้างผลงานที่เป็นต้นแบบ( Original) ที่เหมือนๆกันได้หลายชิ้น เช่นเดียวกับผลงานประติมากรรม ประเภทที่ปั้นด้วยดินแล้วทําแม่พิมพ์หล่อผลงานชิ้นนั้นให้เป็นวัสดุถาวร เช่นทองเหลือง หรือสําริด ทุกชิ้นที่หล่อออกมาถือว่าเป็นผลงานต้นแบบมิใช่ผลงานจําลอง ( Reproduction) ทั้งนี้เพราะว่าภาพพิมพ์นั้นก็มิใช่ผลงานจําลองจากต้นแบบที่เป็นจิตรกรรมหรือวาดเส้น แต่ภาพพิมพ์เป็นผลงานสร้างสรรค์ ที่ศิลปินมีทั้งเจตนาและความเชี่ยวชาญในการใช้คุณลักษณะพิเศษเฉพาะของเทคนิควิธีการทางภาพพิมพ์แต่ละชนิดมาใช้ในการถ่ายทอดจินตนาการ ความคิด และอารมณ์ความรู้สึกออกมาในผลงานได้โดยตรง แตกต่างกับการที่นําเอาผลงานจิตรกรรมที่สร้างสําเร็จไว้แล้วมาจําลองเป็นภาพโดยผ่านกระบวนการทางการพิมพ์