การสนตะพายควาย เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณซึ่งในปัจจุบันคนที่สนตะพายวัว ควาย เหลือน้อยเต็มที นายอภิชาติ ดีเหมือน กล่าวว่าตนเป็นผู้เลี้ยง วัว ควาย ในอำเภอท่าตะเกียบ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจการสนตะพายจนกระทั่งควายที่เลี้ยงถึงวัย ที่ต้องสนตะพาย จึงได้ไปหาคนเฒ่าคนแก่ที่เคยสนตะพาย วัว ควาย แต่เขาไม่มาสนตะพายให้เพราะอายุเยอะแล้วไม่มีแรงดึง วัว ควาย ตนจึงสนใจการสนตะพาย เพราะในปัจจุบันไม่ค่อยมีคนทำตนจึงได้เรียนรู้การสนตะพายจากคนเฒ่าคนแก่ และทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
สนตะพาย คำว่า สน หมายความว่า การเอาเชือกร้อยผ่านรู ส่วนคำว่าตะพาย หมายถึงผนังช่องจมูก วัว ควาย ที่อยู่ระหว่างปลายกระดูกอ่อน ในช่องจมูก สนตะพาย ต้องเจาะไม่ให้โดนกระดูกอ่อนของสัตว์เลี้ยง
การสนตะพายต้องเจาะเข้าที่ผนังจมูกตรงที่บางที่สุด หรือเนื้อเยื่อตรงที่บางที่สุด เมื่อใช้นิ้วสัมผัส ไม่ให้โดนกระดูกอ่อนของสัตว์เลี้ยง เพราะอาจจะทำให้ ตัวสัตว์บาดเจ็บอาจจะต้องทำการเจาะใหม่ ในการเจาะใหม่ต้องรอแผลเก่าหายดีก่อน สัตว์เลี้ยงบางตัวอาจจะกลัวเมื่อต้องทำการสนตะพาย อาจทำให้สัตว์เลี้ยงตัวนั้นไม่เชื่อง และไม่สามารถบังคับสัตว์เลี้ยงตัวดังกล่าวได้
เพราะฉะนั้นการสนตะพาย ผู้ที่ทำหน้าที่สนตะพายต้องมีความรู้ในตัวสัตว์เลี้ยงแต่ละชนิด รู้นิสัย พฤติกรรมของสัตว์เลี้ยง เช่น วัว เป็นแบบใด ควายเป็น แบบได ทำอันตรายแบบใดได้บ้าง และต้องมีความชำนาญสูงเพราะอาจเกิดอุบัติเหตุทั้งในตัวสัตว์เลี้ยงเอง หรือผู้ทำหน้าที่สนตะพายได้ นอกจากมีความรู้ และความชำนาญในเรื่องการสนตะพาย ผู้ที่ทำหน้าที่สนตะพาย ต้องมีผู้ช่วย ในการจับบังคับสัตว์ที่จะสนตะพาย อย่างน้อย 1-2 คน อาจจะเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงเองก็ได้ ที่สามารถช่วยกันจับบังคับสัตว์เลี้ยง ให้สัตว์เลี้ยงนิ่ง หรือขยับตัวให้น้อยที่สุด มิฉะนั้นแล้ว อาจจะทำให้สัตว์เลี้ยงบาดเจ็บ หรือผู้ทำหน้าที่สนตะพายบาดเจ็บได้
การสนตะพายสัตว์เลี้ยง จะทำเมื่อสัตวเลี้ยงมีอายุ ประมาณ 8 เดือน ถึง 1 ปี เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการ สนตะพาย หรือถ้าพิจารณาแล้ว เห็นว่า สัตว์เลี้ยงของเรามีพัฒนาการ ในการเจริญเติบโตที่ดีอาจทำได้ตั้งแต่ หลังจากสัตว์เลี้ยงหย่านมแล้ว โดยปกติต้องอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือน จึงเหมาะสมที่สุด หากเจ้าของสัตว์เลี้ยงทำการสนตะพายสัตว์เลี้ยงที่มีอายุน้อยเกินไป จะทำให้สัตว์ เจริญเติบโตช้าหรืออาจจะแคระแกรนได้
ในอดีตนั้น บรรพบุรุษ คนสมัยเก่าแก่ จะต้องมีฤกษ์ยาม ในการเข้าสนตะพายสัตว์เลี้ยง เพราะว่า ในสมัยโบราณ เราจะใช้ วัว ควาย ช่วยไถนา สัญจรไปมา ด้วยการเทียมเกวียน ช่วยขนสินค้า สัตว์เลี้ยงใช้งานเหล่านี้ จะไม่นิยมนำเนื้อมา บริโภคเปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว หน้าฤดูทำนาก็ไถนา คราดนา เสร็จจากนา ก็ช่วยบรรทุกข้าวเปลือก ของป่า เผือก มัน ออกไปขายภายในเมือง จึงถือว่าสัตวเลี้ยงเหล่านี้มีบุญคุณ เมื่อสิ้นอายุไข ก็จะทำพิธีฝังกลบ ไม่นำเนื้อมาบริโภค
สำหรับฤกษ์ยาม วันที่นิยมกันในอดีตสำหรับใช้ในการสนตะพาย วัว ควาย จะสนตะพายกันในวันพุธเป็นความเชื่อท้องถิ่นในแต่ละท้องถิ่นอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ส่วนมากจะใช้เป็นวันพุธ เพราะเชื่อว่าเป็นวันดี สนตะพายในวันนี้ วัว ควาย จะปลอดภัย จะทำให้ วัว ควาย จูงง่าย ไม่เดินถอยหลัง บังคับง่าย เลี้ยงง่าย รู้ความ ส่วนที่สนตะพาย จะหลาวไม้ไผ่ให้มีความแหลมคม เพื่อใช้ในการแทงเนื้อเยื้อปลายจมูก ขนาดของไม้หลาวจะเล็กกว่านิ้วก้อยขนาดยาวประมาณ 4-5 นิ้ว มีด้ามจับ กระชับมือก็จะแทงให้ใช้ไฟเผาฆ่าเชื้อจึงแทงได้ ไม้ไผ่ที่ใช้ คนสมัยโบราณนิยมใช้เป็นไม้ไผ่สีสุก เมื่อแทงทะลุผ่านผนังช่องจมูก แล้วจะร้อยเชือกสะพายเข้าไป จากนั้นดึงเชือกไปด้านหลัง ผ่านเขา เข้าหลังใบหู ของสัตว์เลี้ยง จึงมัดเชือกเข้าด้วยกัน
กาลเวลาผ่านไป การสนตะพายในยุคสมัยใหม่ จะไม่ได้ถือฤกษ์ยามเหมือนดังเช่นในอดีต แต่จะอาศัยความสะดวกเป็นหลัก จึงนิยมที่จะสนตะพาย ได้ทุกวัน ส่วนที่เจาะตะพาย จะใช้แท่งสแตนเลสแหลมเป็นตัวเจาะ แทนไม้ไผ่สีสุก
เชือกสะพาย หรือตะพายควาย จะทำจากเชือกในล่อนสีแดง เพราะเชื่อว่าเมื่อใส่แล้ว จะทำให้ วัว ควาย ดูสวยงาม สะอาดตา ตัวใหญ่ เด่นเป็นสง่ากว่าเชือกสีอื่น ขนาดเชือกเมื่อสนตะพาย จะใช้เชือก ขนาด 7 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 1.8 เมตร ถักหัวเป็นบ่วงบาศถ์มัดเก็บเชือกสวยงามไม่ให้มีปม สนตะพายมีความจำเป็น และสำคัญ เป็นอย่างยิ่งในการบังคับสัตว์ เพราะสัตว์มีขนาดตัวใหญ่กว่าเจ้าของ ผู้เลี้ยง 5-6 เท่าตัว วัวบางตัว อาจมีน้ำหนักมากถึง 450 กิโลกรัม หรือควายอาจจะมีน้ำหนักตัวมากถึง 700 กิโลกรัม การใช้เชือกล่ามคอ มัดคอ จึงไม่สามารถที่จะบังคับสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ ให้เชื่อฟัง หรือทำตามคำสั่งของผู้เลี้ยงได้ การสนตะพายจึงมีความสำคัญมาก ต่อผู้ทำปศุสัตว์เช่น การเลี้ยงวัว เลี้ยงควายให้สามารถใช้งานได้
ข้อมูลเนื้อหา โดย : นายอภิชาติ ดีเหมือน