ในปัจจุบัน เกษตรกรมีความสนใจการเกษตรแบบธรรมชาติ และหรือเกษตรยั่งยืนกันมากขึ้น จึงใช้สิ่งต่างๆในธรรมชาติที่อยู่ใกล้ตัว มาทดลองและประยุกต์ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น การเกษตรแบบธรรมชาติ โดยใช้เทคนิคทางด้านจุลินทรีย์ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น หรือในธรรมชาตินี้ เป็นภูมิปัญญาที่ได้พัฒนาในหลายประเทศ เช่น เกาหลี ไทย เป็นต้น จนได้น้ำหมักชีวภาพ หรือน้ำหมักชีวภาพไว้ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง น้ำหมักชีวภาพ หรือน้ำหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยน้ำ-ชีวภาพ แล้วแต่จะเรียก มีความหมายเหมือนกัน ในบทความนี้จะใช้คำว่า
“ น้ำหมักชีวภาพ ”
น้ำหมักชีวภาพ คืออะไร ?
น้ำหมักชีวภาพคือ น้ำที่ได้จากการหมักพวกพืช ผัก ผลไม้ วัชพืช สัตว์และเศษ อาหาร ในสภาพที่ไม่มีอากาศ โดยจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ จะได้น้ำหมักชีวภาพ ที่ประกอบด้วย ธาตุอาหารพืช ฮอร์โมน กรดอะมิโน และอื่นๆ ส่วนการเพิ่มน้ำตาลในการหมัก จะช่วยเร่งปฏิกิริยาการหมัก ให้สมบูรณ์เร็วขึ้น
จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดน้ำหมักชีวภาพมีอะไรบ้าง ?
จุลินทรีย์ ที่มีบทบาทสำคัญมี 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1) รา (Fungi ) ยีสต์ (Yeast)
2) แบคทีเรีย (Bacteria) พวกสร้างกรดแลกติค (Lactic acid) และแบคทีเรียที่สังเคราะห์แสงได้ (Photosynthetic bacteria)
ในการหมักพวกพืชผัก จะมีจุลินทรีย์หลายชนิด โดยเริ่มจากยีสต์ จะย่อยส่วนที่เป็นสารละลายของพืช แบคทีเรีย และรา จะย่อยส่วนประกอบพวก เซลลูโลส ลิกนิน และอื่นๆ
พวกแบคทีเรีย จะใช้น้ำตาล แล้วสร้างเป็นกรดอินทรีย์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น กรดแลคติก ทำให้
จุลินทรีย์อื่นไม่สามารถเจริญได้ดี เพราะน้ำหมักชีวภาพที่ได้ มีความเป็นกรดสูงวัดค่า pH ได้ 3 – 4
ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพ
1) ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืช
2) ช่วยเพิ่มผลผลิตพืชได้บางส่วน
3) ช่วยเร่งการย่อยสลายเศษพืช ซากสัตว์ต่างๆให้เป็นปุ๋ยเร็วขึ้น
4) ช่วยปรับสภาพน้ำเสียให้ดีขึ้น
5) ช่วยแก้ปัญหากลิ่นเหม็นจากคอกปศุสัตว์ให้น้อยลง
วิธีการทำน้ำหมักชีวภาพอย่างง่าย
1) นำเศษพืช สัตว์ ผัก ผลไม้ หญ้า เศษอาหารที่ยังสดอยู่ มาสับเป็นชิ้นเล็กพอควร ยิ่งละเอียดยิ่งดี ชั่งเศษพืช สัตว์ให้ได้น้ำหนัก สมมติว่า 3 กิโลกรัม (ใช้มากหรือน้อยตามอัตราส่วน)
2) หมักในโอ่ง ไห ถังพลาสติก ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะ (เพราะน้ำหมักชีวภาพมีสภาพเป็นกรดสูง จะกัดโลหะผุกร่อนเร็ว)
3) ในกรณีนี้ ให้ใส่น้ำตาลทรายแดง (ที่ยังไม่ฟอก) หรือ น้ำตาลทรายขาว หรือ กากน้ำตาล หนัก 1 กิโลกรัม ลงไปผสม คลุกเคล้าให้เข้ากัน
- ถ้าส่วนใหญ่เป็นเศษพืช ใช้เศษพืช ต่อ น้ำตาล = 3 ต่อ 1
- ถ้าส่วนใหญ่เป็นเศษสัตว์ ใช้เศษสัตว์ ต่อ น้ำตาล = 1 ต่อ 1
4) ปิดฝาโอ่ง ไห ถังพลาสติกให้สนิท อย่าให้อากาศเข้า และควรเก็บไว้ในที่ร่ม ใช้ปากกาเขียนวันเดือนปีที่หมักไว้
5) หลังจากหมักไว้ 15 วัน ให้เปิดฝาออก เติมน้ำลงไป 10 ลิตร หรือ 10 กิโลกรัม ใช้ไม้คนให้ทั่ว ปิดฝาให้สนิทไว้ดังเดิม หลังจากนั้นอีกประมาณ 5 วัน จึงเปิดฝา แล้วใช้ไม้คนให้ทั่วและปิดฝาไว้เหมือนเดิม
6) น้ำหมักชีวภาพนี้ สามารถเริ่มใช้ได้หลังจากหมัก 5 วัน ถ้าจะให้ได้ผลดี ควรหมักไว้นาน
30 วัน และจะได้ผลดีเพิ่มมากขึ้น เมื่อหมักไว้นาน 3 เดือน หรือมากกว่า ซึ่งจะทำให้น้ำหมักชีวภาพ
มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย
การขยายหัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพ
1) ใช้น้ำหมักชีวภาพ 1 ลิตร (กิโลกรัม)
2) น้ำตาลทรายแดงหรือขาว หรือ กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม
3) น้ำธรรมดา 10 ลิตร
4) เทผสมกันใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท หมักไว้นาน 15 – 60 วัน นำไปใช้ได้ (ยิ่งหมักไว้นาน
ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพน้ำหมักชีวภาพ)
ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพ
1) ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืช
2) ช่วยเพิ่มผลผลิตพืชได้บางส่วน
3) ช่วยเร่งการย่อยสลายเศษพืช ซากสัตว์ต่างๆให้เป็นปุ๋ยเร็วขึ้น
4) ช่วยปรับสภาพน้ำเสียให้ดีขึ้น
5) ช่วยแก้ปัญหากลิ่นเหม็นจากคอกปศุสัตว์ให้น้อยลง
วิธีการทำน้ำหมักชีวภาพอย่างง่าย
1) นำเศษพืช สัตว์ ผัก ผลไม้ หญ้า เศษอาหารที่ยังสดอยู่ มาสับเป็นชิ้นเล็กพอควร ยิ่งละเอียดยิ่งดี ชั่งเศษพืช สัตว์ให้ได้น้ำหนัก สมมติว่า 3 กิโลกรัม (ใช้มากหรือน้อยตามอัตราส่วน)
2) หมักในโอ่ง ไห ถังพลาสติก ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะ (เพราะน้ำหมักชีวภาพมีสภาพเป็นกรดสูง จะกัดโลหะผุกร่อนเร็ว)
3) ในกรณีนี้ ให้ใส่น้ำตาลทรายแดง (ที่ยังไม่ฟอก) หรือ น้ำตาลทรายขาว หรือ กากน้ำตาล หนัก 1 กิโลกรัม ลงไปผสม คลุกเคล้าให้เข้ากัน
- ถ้าส่วนใหญ่เป็นเศษพืช ใช้เศษพืช ต่อ น้ำตาล = 3 ต่อ 1
- ถ้าส่วนใหญ่เป็นเศษสัตว์ ใช้เศษสัตว์ ต่อ น้ำตาล = 1 ต่อ 1
4) ปิดฝาโอ่ง ไห ถังพลาสติกให้สนิท อย่าให้อากาศเข้า และควรเก็บไว้ในที่ร่ม ใช้ปากกาเขียนวันเดือนปีที่หมักไว้
5) หลังจากหมักไว้ 15 วัน ให้เปิดฝาออก เติมน้ำลงไป 10 ลิตร หรือ 10 กิโลกรัม ใช้ไม้คนให้ทั่ว ปิดฝาให้สนิทไว้ดังเดิม หลังจากนั้นอีกประมาณ 5 วัน จึงเปิดฝา แล้วใช้ไม้คนให้ทั่วและปิดฝาไว้เหมือนเดิม
6) น้ำหมักชีวภาพนี้ สามารถเริ่มใช้ได้หลังจากหมัก 5 วัน ถ้าจะให้ได้ผลดี ควรหมักไว้นาน
30 วัน และจะได้ผลดีเพิ่มมากขึ้น เมื่อหมักไว้นาน 3 เดือน หรือมากกว่า ซึ่งจะทำให้น้ำหมักชีวภาพ
มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย
การขยายหัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพ
1) ใช้น้ำหมักชีวภาพ 1 ลิตร (กิโลกรัม)
2) น้ำตาลทรายแดงหรือขาว หรือ กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม
3) น้ำธรรมดา 10 ลิตร
4) เทผสมกันใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท หมักไว้นาน 15 – 60 วัน นำไปใช้ได้ (ยิ่งหมักไว้นาน
ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพน้ำหมักชีวภาพ)
วิธีการใช้
1) ถ้าใช้พ่นพืช ผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้น เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์
ใช้น้ำหมักชีวภาพ ผสมกับน้ำในอัตรา 1 ส่วน ต่อน้ำ 500 - 1000 ส่วน หรือใช้น้ำหมัก
ชีวภาพ 1 ช้อนโต๊ะ (15 มิลลิลิตร) ผสมน้ำ 7 – 10 ลิตร อาจพ่นทุก 7 วัน นอกจากนั้นเราสามารถทดลองใช้พ่นกับต้นไม้ได้โดยตรง เพื่อสังเกตดูว่าใช้อัตราเท่าไร บ่อยครั้งเพียงใด พืชจึงจะเจริญเติบโตดี โดยสังเกตได้ง่ายๆ คือ ถ้าใช้น้ำหมักชีวภาพเข้มข้นมากเกินไป จะทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต อย่างไรก็ตาม ถ้าต้นไม้ พืช ผัก ยังไม่งอกงามเท่าที่ควร หลังจากใช้ไปสักระยะหนึ่ง อาจจะต้องใส่ธาตุอาหารพืช หรือปุ๋ยอื่นๆ เสริมด้วย จึงจะช่วยให้ผลผลิตสูงขึ้น
2) ถ้าใช้ราดที่โคนต้นพืชผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้นเพื่อเพิ่มความสมบูรณ์
ใช้น้ำหมักชีวภาพ ผสมกับน้ำในอัตรา 1 ส่วน ต่อน้ำ 500 ส่วน หรือใช้น้ำหมักชีวภาพ
1 ช้อนโต๊ะ (15 มิลลิลิตร) ผสมน้ำ 7 ลิตร ราดที่โคนพืชทุก 7 วัน แต่ถ้าต้นไม้ พืช ผัก ยังไม่งอกงามเท่าที่ควร จะต้องใส่ธาตุอาหารพืชหรือปุ๋ยอื่นๆ เสริมด้วย จึงจะช่วยให้ผลผลิตสูงขึ้น
3) การทำปุ๋ยหมักกองเตี้ยจากเศษวัชพืช ใบไม้ กิ่งไม้เล็ก เศษอาหาร
3.1 ผสมเศษวัชพืช ใบไม้ กิ่งไม้เล็ก เศษอาหารเข้าด้วยกัน ทำเป็นกองเตี้ย สูงไม่เกิน
30 เซนติเมตร
3.2 ใช้น้ำหมักชีวภาพ 2 ช้อนโต๊ะ(30 มิลลิลิตร) น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำตาลทรายขาว หรือ กากน้ำตาล หนัก 30 กรัม (มิลลิลิตร) ผสมน้ำ 2- 3 ลิตร หรือในอัตราส่วน น้ำหมักชีวภาพ ต่อ น้ำตาล ต่อ น้ำ = 1 ต่อ 1 ต่อ 50 – 100 ส่วน
3.3 ราดกองปุ๋ยหมักพวกเศษวัชพืช ใบไม้ใบหญ้าต่างๆ ใช้ผ้าพลาสติกคลุมกองปุ๋ย
หมักให้ย่อยสลายไว้นาน 15 – 30 วัน
3.4 จึงนำปุ๋ยหมักใส่ให้กับต้นไม้ต่างๆ โดยผสมกับดิน หรือคลุมบริเวณโคนต้น ทำให้
พืชเจริญเติบโตดีและดินร่วนซุยเพิ่มขึ้น
4) ถ้าใช้แก้ปัญหาน้ำเน่าเสีย
เนื่องจากในน้ำเน่าเสีย มีแก๊สไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) หรือกำมะถัน และแก๊สมีเทน
ให้แก้ไข โดยการใช้น้ำหมักชีวภาพ ซึ่งมีจุลินทรีย์พวกที่สังเคราะห์แสงอยู่แล้วราดลงไป จุลินทรีย์พวกนี้ จะใช้สารต่างๆ ที่ก่อให้เกิดแก๊สเน่าเสีย เป็นอาหาร และปลดปล่อยแก๊สออกซิเจนออกมา ทำให้น้ำมีสภาพดีขึ้น
จะเห็นว่า วิธีการทำน้ำหมักชีวภาพอย่างง่าย สำหรับเกษตรกรหรือผู้สนใจทั่วไป สามารถกระทำได้ด้วยตนเอง เป็นการประหยัด สามารถใช้พืชผัก วัชพืช ผลไม้ และเศษอาหารเป็นวัตถุดิบในการทำ
น้ำหมักชีวภาพได้ นอกจากนั้น วิธีการใช้และการขยายเชื้อทำได้ง่าย รวมทั้งประโยชน์จากใช้น้ำหมักชีวภาพในด้านต่างๆ จะให้ผลดี คุ้มค่า และทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นด้วย
การผลิตและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์หมัก
ปุ๋ย ตาม พรบ. 2518 หมายถึง สารอินทรีย์ หรืออนินทรีย์ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือทำขึ้นก็ตาม สำหรับใช้เป็นธาตุอาหารแก่พืชได้ไม่ว่าโดยวิธีใดหรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในดิน เพื่อบำรุงความเติบโตแก่พืช
ปุ๋ยเคมี หมายถึง ปุ๋ยที่มีองค์ประกอบทางเคมีที่เป็นอนินทรีย์สังเคราะห์ ซึ่งรวมถึงปุ๋ยเชิงเดี่ยว ปุ๋ยเชิงผสมและปุ๋ยเชิงประกอบ ตลอดจนปุ๋ยอินทรีย์ที่มีเคมีผสมอยู่ด้วย แต่ไม่รวมปูนขาว ดินมาร์ล ปูนปลาสเตอร์ หรือยิปซัม
ปุ๋ยอินทรีย์ หมายถึง ปุ๋ยที่ได้จากอินทรีย์วัตถุ ซึ่งผลิตด้วยกรรมวิธีทำให้ชื้น สับ บด หมัก ร่อน หรือวิธีการอื่น ๆ ปุ๋ยอินทรีย์ที่สำคัญได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยพืชสด
การผลิตปุ๋ยหมักซึ่งเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่งเมื่อผลิตจำหน่าย จะต้องมีมาตรฐานตามที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด รวมทั้งจะต้องมีรายละเอียดบนภาชนะบรรจุดังนี้ ชื่อการและเครื่องหมายการค้า ชนิดของผลิตภัณฑ์ ปริมาณบรรจุเป็นน้ำหนักสุทธิ ชื่อผู้ผลิตและสถานที่ผลิต ระบุวัสดุที่ใช้ผลิตและอัตราส่วนที่ใช้ ระบุวันที่ผลติและวันที่หมดอายุ ระบุวิธีการใช้ การเก็บ รักษาและข้อควรระวัง ดังนั้นในการดำเนินการผลิตจะต้องมีสูตรปุ๋ย กระบวนการผลิต การทดสอบ เพื่อยืนยันความถูกต้อง
ศูนย์ปฏิบัติการวิศวกรรมพลังงานและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการทดลองผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพ 2 สูตร ที่มีคุณสมบัติผ่านมาตรฐานตามคุณลักษณะที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด มีรายละเอียดดังนี้
สูตรที่ 1 ปุ๋ยหมักจากแกลบดำ แกลบ มูลสัตว์ และรำละเอียด
อัตราส่วน 1 : 1 โดยปริมาตร รวมกับน้ำ 30% โดยน้ำหนัก น้ำสกัดชีวภาพ 10 ซีซี กากน้ำตาล 10 ซีซี
หมักไว้ 7 วัน
สูตรที่ 2 ปุ๋ยหมักจากผักตบชวา กระถิน มูลสัตว์ และรำละเอียด
อัตราส่วน 1 : 1 โดยปริมาตร หมักไว้ 90 วัน โดยการเติมอากาศด้วยการกลับกองทุก 7 วัน
การนำปุ๋ยหมักชีวภาพไปใช้ จะต้องมีการตรวจสภาพดินและวิเคราะห์ว่าจะต้องใช้ปุ๋ยหมักเท่าใด เกณฑ์วิเคราะห์คุณภาพดินมีดังนี้
1. อินทรียวัตถุ ถ้ามีมากกว่า 4.5 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าดี ไม่ต้องใส่ปุ๋ย
2. ฟอสฟอรัส มากกว่า 45 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ถือว่าดี ไม่ต้องใส่ปุ๋ย
3. โปตัสเซียม มากกว่า 120 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ถือว่าดี ไม่ต้องใส่ปุ๋ย
4. ค่าการนำไฟฟ้า ไม่เกิน 4 เดซิซีเมน/เซนติเมตร ไม่มีผลต่อพืชทนเค็ม
5. ค่าความเป็นกรด – ด่าง อยู่ระหว่าง 6 – 7.8
ตัวอย่างเช่น ปุ๋ยสูตร 1 ถ้าดินมีสารอินทรีย์ 2 เปอร์เซ็นต์ รากพืชลึก 0.20 เมตร ใน 1 ตารางเมตรจะใช้ปุ๋ยประมาณ 2 กิโลกรัม ซึ่งหากผลิตแล้วมีคุณสมบัติดังกล่าว จะต้องลองทดสอบดูว่าประสิทธิผลเกิดขึ้นกับพืชจริงหรือไม่ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภค
การทำปุ๋ยหมัก
วัตถุดิบ
1. เศษพืช เช่น ใบไม้ กิ่งไม้ทั้งแห้งและสด 100 ส่วน
2. ปุ๋ยคอก 10 ส่วน
3. ปุ๋ยยูเรีย 1 ส่วน *
4. ผงซักฟอก ละลายน้ำเล็กน้อย *
* ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้
ขั้นตอน
1. เตรียมพื้นที่วางกองปุ๋ยหมัก อาจขุดหลุมลึกราว 50 เซนติเมตร หรือใช้ถังซีเมนต์ซ้อนกัน 2-3 ชั้นวางตะแกรงในชั้นที่สองเพื่อให้เหลือที่ว่างชั้นล่างสุด เจาะช่องเปิดปิดเพื่อให้นำปุ๋ยหมักออกไปใช้ได้ง่าย
2. นำเศษกิ่งไม้ใบไม้ทั้งสดและแห้งผสมคลุกเคล้าให้ทั่ว หากใบไม้แห้งเกินไปใช้ผงซักฟอกผสมน้ำเล็กน้อยเพื่อให้ใบจับกับน้ำได้ดีขึ้น ความชื้นควรอยู่ในระดับที่เมื่อลองกำดูแล้วให้ความรู้สึกมากกว่าหมาดแต่ไม่ถึงกับปียก
3. ใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยยูเรียโรยสลับกันเป็นชั้น ๆ หรือผสมคลุกเคล้ากับวัสดุแล้วใส่ในภาชนะ
4. กดกองวัสดุให้อัดตัวกันแต่ต้องไม่แน่นจนเกินไป เพื่อให้เกิดความร้อนภายในกอง หมั่นกลับกองปุ๋ยหมักเพื่อให้มีการเติมอากาศเข้าไป
5. ระยะเวลาการย่อยสลายของวัสดุขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุและกระบวนการที่เกิดขึ้น อาจอยู่ในราว 1-2 เดือน ปุ๋ยหมักที่นำไปใช้ได้จะมีลักษณะเป็นสีเข้ม เมื่อใช้มือบดสามารถขาดออกจากกันได้ง่าย มีกลิ่นคล้ายกลิ่นธรรมชาติ ไม่ฉุนหรือเหม็นรุนแรง หากทำปุ๋ยหมักในถังซีเมนต์สามารถเก็บปุ๋ยที่ร่วงลงมาจากตะแกรงไปใช้ได้ทันที
คุณสมบัติ
ปุ๋ยหมักมีคุณสมบัติเด่นในการปรับปรุงโครงสร้างดินให้ร่วนซุย ทำให้การระบายน้ำและถ่ายเทอากาศในดินดีขึ้น ดินมีความสามารถในการอุ้มน้ำ และรักษาความชื้นในดิน รากต้นไม้เจริญเติบโตได้ดี ส่งผลให้ต้นไม้ดูดน้ำและธาตุอาหารในดินได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนเร่งการทำงานของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดิน คุณสมบัติเด่นอีกประการคือ ช่วยยึดธาตุอาหารในดิน และปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาอย่างช้า ๆ
การใช้งาน
ใส่รองก้นหลุมหรือโรยรอบ ๆโคนต้น แล้วพรวนดินให้ผสมคลุกเคล้ากันได้ดี ปริมาณที่ใช้สามารถใส่ได้ไม่จำกัด เนื่องจากไม่มีปริมาณธาตุอาหารสูงจนเป็นพิษกับพืช หากใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีจะช่วยส่งเสริมให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น
Tips
1. เปลือกถั่ว ฟางข้าว ผักตบชวา ใบไม้แห้ง หญ้า สลายตัวได้เร็ว ส่วนขี้เลื่อย แกลบ ชานอ้อยข้าวโพด สลายตัวช้า จึงไม่ควรนำทั้งสองประเภทมาหมักรวมกัน เพราะจะทำให้ได้ปุ๋ยที่ย่อยสลายไม่สม่ำเสมอ
2. ควรหมักหญ้าผสมกับวัสดุอื่น เช่น ใบไม้ กิ่งไม้ เพราะหากใช้หญ้าอย่างเดียวจะเกิดการอัดตัวสานไปมาของหญ้าจนไม่มีอากาศภายในกองวัสดุ ซึ่งส่งผลต่อการเกิดจุลินทรีย์ได้
น้ำหมักชีวภาพ ทำง่ายใช้ประโยชน์ได้จริง
จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก อาจพบเกือบทุกหนทุกแห่งในธรรมชาติ ในอากาศที่เราหายใจเข้าไป ในอาหารที่เรากิน ที่ผิวหนังของร่างกาย ในทางเดินอาหาร ในปาก จมูกหรือช่องเปิดต่างๆ ของร่างกาย แต่ยังเป็นความโชคดีของเราเพราะจุลินทรีย์ส่วนใหญ่มีคุณประโยชน์ต่อสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลก ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม จุลินทรีย์เป็นตัวการทำให้เกิดกระบวนการหมัก ผลผลิตที่ได้จากการหมักนั้น ในที่นี้เราขอเรียกว่า “น้ำหมักชีวภาพ”
น้ำหมักชีวภาพ คือ การนำเอาพืช ผัก ผลไม้ สัตว์ชนิดต่าง ๆ มาหมักกับน้ำตาลทำให้เกิดจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์จำนวนมากซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้จะไปช่วยสลายธาตุอาหารต่าง ๆ ที่อยู่ในพืช มีคุณค่าในแง่ของธาตุอาหารพืชเมื่อถูกย่อยสลายโดยกระบวนการย่อยสลายของแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์สารต่างๆจะถูกปลดปล่อยออกมา เช่นโปรตีน กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ ธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง จุลธาตุ ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต เอนไซม์ วิตามิน ซึ่งพืชสามารถนำไปใช้ในการเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้ำหมักชีวภาพ มี 3 ประเภท คือ
1. น้ำหมักชีวภาพจากพืชสดสีเขียว (น้ำแม่)
2. น้ำหมักชีวภาพจากผลไม้สุก (น้ำพ่อ)
3. สารขับไล่แมลง (น้ำหมักจากพืชสมุนไพร)
น้ำหมักชีวภาพ หรือ น้ำสกัดชีวภาพ อีกทางเลือกของเกษตรกร สำหรับใช้ในการป้องกัน กำจัดศัตรูพืชโดยไม่ต้องใช้สารเคมีวิธีทำน้ำหมักชีวภาพ อย่างง่ายๆ ท่านสามารถทำเองได้ สบายมาก
น้ำหมักชีวภาพ มี 2 ประเภท คือ
1. น้ำหมักชีวภาพจากพืช ทำได้โดยการนำเศษพืชสด ผสมกันน้ำตาลทรายแดง หรือกากน้ำตาล อัตราส่วน กากน้ำตาล 1 ส่วน พืชผัก 3 ส่วน หมักรวมกันในถังปิดฝา หมักทิ้งไว้ประมาณ 3-7 วัน เราจะได้ของเหลวข้น ๆ สีน้ำตาล ซึ่งเราเรียกว่า น้ำหมักชีวภาพจากพืช
2. น้ำหมักชีวภาพจากสัตว์ มีขั้นตอนทำคล้ายกับน้ำหมักจากพืช แตกต่างกันตรงวัตถุดิบจากสัตว์ เช่น หัวปลา ก้างปลา หอยเชอรี่ เป็นต้น
เคล็ดลับในการทำน้ำหมักให้ได้ผลดี
1 . ควรเลือกใช้เศษพืชผัก ผลไม้ หรือเศษอาหารที่ยังไม่บูดเน่า สับหรือบดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ในภาชนะที่มีปากกว้าง เช่นถังพลาสติก หรือโอ่ง หากมีน้ำหมักชีวภาพอยู่แล้วให้เทผสมลงไปแล้วลดปริมาณกากน้ำตาลลง ปิดฝาภาชนะทิ้งไว้ จนได้เป็นน้ำหมักชีวภาพ จากนั้นกรอกใส่ขวดปิดฝาให้สนิท รอการใช้งานต่อไป
2. ในระหว่างการหมัก ห้ามปิดฝาภาชนะจนแน่นสนิทเพราะอาจทำให้ระเบิดได้เนื่องจากระหว่าง การหมักจะเกิดก๊าชต่าง ๆ ขึ้น เช่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน เป็นต้น
3.ไม่ควรเลือกพืชจำพวกเปลือกส้ม ใช้ทำน้ำหมัก เพราะมีน้ำมันที่ผิวเปลือกจะทำให้จุลินทรีย์ไม่ย่อยสลาย
วิธีทำน้ำหมักชีวภาพสูตรผสมน้ำ อย่างง่ายๆ ท่านสามารถทำเองได้ สบายมาก โดยการนำ ผลไม้หรือพืชผักหรือเศษอาหาร 3 ส่วน น้ำตาล 1ส่วน น้ำ 10 ส่วน ใส่รวมกัน ในภาชนะ (ขวด, ถัง) ที่มีฝาปิดสนิท อย่าให้อากาศเข้า โดยเว้นที่ว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของขวด/ถัง หมั่นเปิดฝา คลายแก๊สออก และ ปิดกลับให้สนิททันที วางไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแสงแดด หมักไว้ 3 เดือน เราก็จะได้น้ำหมักชีวภาพ ซึ่งมีจุลินทรีย์ สารอินทรีย์ ธาตุอาหาร ที่เป็นประโยชน์ต่อ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น ใช้ทำปุ๋ยสะอาด(แทนปุ๋ยเคมี) ใช้ในการเพาะปลูกกสิกรรมธรรมชาติไร้สารพิษ ใช้ในการซักล้างทำความสะอาด(แทนสบู่ ผงซักฟอก แชมพู น้ำยาล้างจาน) ใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ โถส้วม ท่อระบายน้ำ ฯลฯ
สูตร การทำน้ำหมักชีวภาพ 3 : 1 : 10
ผลไม้ : น้ำตาล : น้ำ หมักนาน 3 เดือน
การขยายน้ำหมักชีวภาพ น้ำหมักชีวภาพที่หมักได้ 3 เดือนแล้ว ใช้สายยางดูด เฉพาะน้ำใสออกมา ใส่อีกภาชนะหนึ่ง ส่วนนี้เป็นหัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพ นำน้ำหมักชีวภาพ 1 ส่วน น้ำตาล 1 ส่วน และ น้ำ 10 ส่วน ใส่รวมในภาชนะ (ขวด, ถัง) ที่มีฝาปิดสนิท โดยเว้นที่ว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของขวด หมั่นเปิดฝา คลายแก๊สออก และ ปิดกลับ ให้สนิททันที วางไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแสงแดด หมักไว้ 2 เดือน เราก็จะได้หัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพอายุ 5 เดือน ขยายต่อตามวิธีข้างต้นทุก 2 เดือน เราก็จะได้หัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพที่มีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ (7, 9, 10 เดือน,1, 2, 3,…ปี) ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
สูตร การขยายน้ำหมักชีวภาพ 1 : 1 : 10 น้ำหมักชีวภาพ : น้ำตาล : น้ำ หมักขยายต่อทุก 2 เดือน
การทำ น้ำหมักชีวภาพดับกลิ่น เป็นการใช้เศษอาหาร พืชผัก ผลไม้ที่เหลือทิ้ง 3 ส่วน กากน้ำตาลหรือโมลาส 1ส่วน และน้ำ 10 ส่วน ใส่รวมกันในภาชนะ (ขวด, ถัง) ที่มีฝาปิดสนิท โดยเว้นที่ว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของ ขวด/ถัง หมั่นเปิดฝาคลายแก๊สออกและปิดกลับให้สนิททันที วางไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแสงแดด หมักไว้ 3 เดือน เราจะได้น้ำหมักชีวภาพดับกลิ่น ใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ โถส้วม ท่อระบายน้ำ กลิ่นปัสสาวะสุนัข ฯลฯ
การทำ น้ำหมักชีวภาพซักผ้า / ล้างจาน เป็นการใช้ ผลไม้ เปลือกผลไม้ (ฝักส้มป่อย , มะคำดี ควาย , มะนาว ฯลฯ) 3 ส่วน น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลอ้อย 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน ใส่รวมกันในภาชนะ (ขวด, ถัง) ที่มีฝาปิดสนิท โดยเว้นที่ว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของขวด/ถัง หมั่นเปิดฝา คลายแก๊สออกและปิดกลับให้สนิททันที วางไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแสงแดด หมักไว้ 3 เดือน เราจะได้น้ำหมักชีวภาพซักผ้า / ล้างจาน (แม้ผ้ามีราขึ้นเป็นจุดดำๆ แช่ผ้าทิ้งไว้ 1-2 วัน ก็ซักออกได้)
ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพ
ด้านการเกษตร
1. ช่วยปรับสภาพความเป็นกรด - ด่าง ในดินและน้ำ
2. ช่วยปรับสภาพโครงสร้างของดินให้ร่วนซุย อุ้มน้ำและอากาศได้ดียิ่งขึ้น
3. ช่วยย่อยสลายอินทรีย์วัตถุในดินให้เป็นธาตุอาหารแก่พืช พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้เลย โดยไม่ต้องใช้พลังงานมากเหมือนการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์
4. ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชให้สมบูรณ์ แข็งแรงตามธรรมชาติ ต้านทานโรคและแมลง
5. ช่วยสร้างฮอร์โมนพืช ทำให้ผลผลิตสูง และคุณภาพของผลผลิตดีขึ้น
6. ช่วยให้ผลผลิตคงทน เก็บรักษาไว้ได้นาน
ด้านปศุสัตว์
1. ช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นจากฟาร์มสัตว์ ไก่ สุกร ได้ภายใน 24 ชม.
2. ช่วยกำจัดน้ำเสียจากฟาร์มได้ภายใน 1 - 2 สัปดาห์
3. ช่วยป้องกันโรคอหิวาห์และโรคระบาดต่างๆ ในสัตว์แทนยาปฏิชีวนะ และอื่นๆได้
4. ช่วยกำจัดแมลงวัน ด้วยการตัดวงจรชีวิตของหนอนแมลงวัน ไม่ให้เข้าดักแด้เกิดเป็นตัวแมลงวัน
5. ช่วยเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยง ทำให้สัตว์แข็งแรง มีความต้านทานโรค ให้ผลผลิตสูง และอัตราการรอดสูง
ด้านการประมง
1. ช่วยควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำได้
2. ช่วยแก้ปัญหาโรคพยาธิในน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ
3. ช่วยรักษาโรคแผลต่างๆในปลา กบ จระเข้ ฯลฯ ได้
4. ช่วยลดปริมาณขี้เลนในบ่อ ช่วยให้เลนไม่เน่าเหม็น สามารถนำไปผสมเป็นปุ๋ยหมัก ใช้กับพืชต่างๆได้ดี
ด้านสิ่งแวดล้อม
1. ช่วยบำบัดน้ำเสียจากการเกษตร ปศุสัตว์ การประมง โรงงานอุตสาหกรรม ชุมชน และสถาน-ประกอบการทั่วไป
2. ช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นจากกองขยะ การเลี้ยงสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม และชุมชนต่างๆ
3. ปรับสภาพของเสีย เช่น เศษอาหารจากครัวเรือนให้เป็นประโยชน์ต่อการเลี้ยงสัตว์ และการเพาะ-ปลูกพืช
4. กำจัดขยะด้วยการย่อยสลายให้มีจำนวนลดน้อยลง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
5. ช่วยปรับสภาพอากาศที่เสียให้สดชื่น และมีสภาพดีขึ้น
การทำหัวเชื้อน้ำแม่ (น้ำหมักจากพืชสดสีเขียว)
วัสดุ
1. พืชตระกูลผัก เช่น ผักบุ้ง, ผักต่างๆ 3 ก.ก.
2. พืชตระกูลหญ้า เช่น หน่อไม้ หรือหญ้าขน 2 ก.ก.
3. หน่อกล้วย 2 ก.ก.
4. พืชตระกูลถั่ว 2 ก.ก.
5. กากน้ำตาลหรือน้ำอ้อยหรือน้ำตาลทรายแดง 3 ก.ก.
กล่าวคือใช้ พืช 9 ก.ก. ต่อน้ำตาล 3 ก.ก. หรือคิดเป็นอัตราส่วน พืชต่อน้ำตาล เท่ากับ 3 ต่อ 1
อุปกรณ์
1. ถังพลาสติกมีฝาปิดหรือโอ่งเคลือบ 1 ใบ
2. มีดสำหรับหั่นพืช 1 เล่ม
3. เขียงไว้รองหั่นพืช 1 อัน
4. กาละมังใบใหญ่ไว้คลุกเคล้าวัสดุ 1 ใบ
วิธีทำ
1. หั่นพืชทุกชนิดยาวประมาณ 1 – 2 นิ้ว จำนวน 9 ก.ก. ใส่กาละมัง
2. ใส่กากน้ำตาล จำนวน 3 ก.ก. แล้วคลุกเคล้าให้ทั่ว (ถ้ากากน้ำตาลเหนียวมากให้ใส่น้ำเล็กน้อย)
3. เอาพืชที่คลุกเคล้าน้ำตาลแล้วไปไว้ในร่ม 2 ช.ม.
4. เมื่อครบ 2 ชั่วโมง ให้เอาพืชในกาละมังใส่ถังพลาสติกหรือโอ่งเคลือบ ปิดฝาให้แน่นหนา เก็บถังหมักไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแดด ทิ้งไว้ 7 - 15 วัน เปิดฝาตรวจสอบโดยการดม ถ้ามีกลิ่นหอมอมเปรี้ยว มีกลิ่นแอลกอฮอล์ แสดงว่า น้ำหมักเริ่มเป็นแล้ว ให้ทำการขยายโดยการเติมกากน้ำตาลและน้ำ ตามข้อ 5
5. การขยายหัวเชื้อน้ำแม่ 10 เท่า ดังนี้
5.1 กรณีขยายนอกถัง รินน้ำแม่มา 1 ส่วน ผสมกากน้ำตาล 1 ส่วน(เท่าน้ำแม่) ต่อน้ำสะอาด 10 ส่วน มาคนคลุกเคล้าให้เข้ากัน กรอกใส่ขวดพลาสติกหรือถังพลาสติก ปิดฝาให้แน่นหนา หมักทิ้งไว้ 7 - 15 วัน ระหว่างการหมัก หมั่นเปิดฝาเพื่อระบายแก๊สออกบ้าง เมื่อครบ 7 - 15 วัน เปิดฝาทดสอบ หากมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยว มีกลิ่นแอลกอฮอล์ แสดงว่าการหมักได้ผล นำไปใช้ได้ หากมีกลิ่นเหม็นเน่าให้เติมกากน้ำตาล คนจนหายเหม็น
5.2 กรณีขยายในถัง ทำได้โดย เมื่อหมักครบ 15 วันแล้ว ให้ใส่น้ำสะอาด 20 ลิตร พร้อมกากน้ำตาลอีก 2 ก.ก. ทิ้งไว้ 7 - 15 วัน ตรวจสอบดูตามแบบข้อ 5.1 ถ้าเป็นนำไปใช้ได้ หากไม่เป็นให้เติมกากน้ำตาลอีก จนกว่าจะเป็น
หมายเหตุ การหมักเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูง มีคุณภาพ ให้หมักไว้อย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป ยิ่งนานยิ่งดี
การทำหัวเชื้อน้ำพ่อ ( น้ำหมักจากผลไม้ทุกชนิด )
วัสดุ
1. ฟักทองแก่ 2 ก.ก.
2. มะละกอสุก 2 ก.ก.
3. กล้วยน้ำว้าสุก 2 ก.ก.
4. ผลไม้อื่น ๆ 3 ก.ก.
5. กากน้ำตาลหรือน้ำอ้อยหรือน้ำตาลทรายแดง 3 ก.ก.
คิดเป็นอัตราส่วนผลไม้ต่อน้ำตาล เท่ากับ 3 ต่อ 1
อุปกรณ์ วิธีทำ และการขยายหัวเชื้อ ทำเช่นเดียวกับการทำหัวเชื้อน้ำแม่
การผสมน้ำแม่และน้ำพ่อเพื่อใช้ประโยชน์ตามช่วงการเจริญเติบโตของพืช
น้ำหมักจากผลไม้ จะเปรียบเหมือนพ่อของพืช เมื่อใช้รวมกับน้ำหมักจากพืชสีเขียวที่เปรียบเหมือนแม่ของพืช จะเกิดลูกเป็นครอบครัวใหญ่ เมื่อนำน้ำหมักจากผลไม้มาผสมกับน้ำหมักจากพืชแล้ว เราต้องผสมน้ำให้เจือจาง โดยใช้น้ำหมักที่ผสมแล้ว 1 ส่วน ผสมน้ำ 500 ส่วน สัดส่วนการผสม น้ำพ่อกับน้ำแม่ เพื่อใช้กับพืชให้เหมาะสมกับช่วงอายุการเจริญเติบโตของพืชและเพื่อให้มีความสะดวกในการใช้ จึงให้ผสมเป็น 3 สูตร ดังนี้
สูตร 1 เร่งการเจริญเติบโต โดยใช้ (N)
น้ำแม่ 10 ส่วน ต่อน้ำพ่อ 1 ส่วน
สูตร 2 เร่งการออกดอก โดยใช้ (P)
น้ำแม่ 1 ส่วน ต่อน้ำพ่อ 1 ส่วน
สูตร 3 เร่งคุณภาพผลผลิต โดยใช้ (K)
น้ำแม่ 1 ส่วน ต่อน้ำพ่อ 10 ส่วน
สารขับไล่แมลง
วัสดุ
1. สะเดา ทั้ง 5 จำนวน 3 ก.ก.
2. ลายเสือทั้ง 5 จำนวน 2 ก.ก.
3. ข่า ทั้ง 5 จำนวน 2 ก.ก.
4. ตะไคร้หอม ทั้ง 5 จำนวน 2 ก.ก.
5. ใบน้อยหน่าหรือใบยูคาฯ จำนวน 1 ก.ก.
6. บอระเพ็ดหรือสบู่ดำหรือขี้เหล็ก จำนวน 1 ก.ก.
7. ยาเส้นหรือหางไหล จำนวน 1 ก.ก.
8. ผลไม้สุก 3 ชนิด ๆ ละ 2 ก.ก. จำนวน 6 ก.ก.
9. กากน้ำตาลหรือน้ำอ้อยหรือน้ำตาลทรายแดง จำนวน 3 ก.ก.
10. น้ำสะอาด จำนวน 40 ลิตร
อุปกรณ์ในการหมัก วิธีทำ ทำเช่นเดียวกับการทำหัวเชื้อน้ำแม่ แต่ให้ใส่น้ำไปพร้อมกับวัสดุทันทีได้เลย การหมักให้หมักไว้อย่างน้อย 15 วัน ยิ่งหมักนานเท่าไรยิ่งดี
วิธีใช้
ใช้สำหรับขับไล่แมลง ศัตรูพืชได้หลายชนิด โดยใช้อัตรา 3 – 4 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร รด ราด ฉีด พ่น ใบพืช ต้นพืช และดิน
การนำน้ำหมักชีวภาพและปุ๋ยหมักชีวภาพไปใช้ประโยชน์
การใช้ในนาข้าว
ในพื้นที่นา 1 ไร่ ใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพประมาณ 200 ก.ก. โดยแบ่งได้เป็นระยะดังนี้
ไถพรวน
1. หว่านปุ๋ยหมักชีวภาพ(ปุ๋ยแห้ง) 100 ก.ก. ให้ทั่ว
2. ผสมน้ำหมัก(น้ำแม่หรือน้ำพ่อ) 20 ช้อนแกง ผสมน้ำ 80 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง แล้วไถพรวนทิ้งไว้ 15 วัน เพื่อให้น้ำหมักฯย่อยสลายวัชพืช และฟางข้าวให้เป็นปุ๋ยธรรมชาติ และเร่งการงอกของเมล็ดพืช
ไถคราด
1. พ่นน้ำหมักฯ อัตราส่วนเดิมอีกครั้ง
2. ไถคราดให้ทั่ว เพื่อเตรียมปักดำ
หลังปักดำ 7 - 15 วัน
1. หลังปักดำ 7 - 15 วัน หว่านปุ๋ยหมักชีวภาพให้ทั่วแปลง 30 ก.ก./ไร่
2. พ่นตามด้วย น้ำหมักฯ (สูตร 1) 20 ช้อนแกง ผสมน้ำ 80 ลิตร
ข้าวอายุ 1 เดือน
1. หว่านปุ๋ยหมักฯ 30 ก.ก./ไร่
2. พ่นด้วยน้ำหมัก (สูตร 1) 20 ช้อนแกง ผสมน้ำ 80 ลิตร
ก่อนข้าวตั้งท้องเล็กน้อย
1. หว่านปุ๋ยหมักฯ 40 ก.ก./ไร่
2. พ่นด้วยน้ำหมักฯ (สูตร 2) 20 ช้อนแกง ต่อน้ำ 80 ลิตร
ข้าวติดเมล็ดแล้ว
- พ่นน้ำหมักฯ(สูตร 3) 20 ช้อนแกง ต่อน้ำ 80 ลิตร
การใช้กับพืชไร่ พืชผัก
1. เตรียมแปลงเสร็จ หว่านปุ๋ยหมักชีวภาพ ประมาณ 2 กำมือ ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร
2. เอาฟางคลุมแล้วรดด้วยน้ำหมักชีวภาพ (น้ำแม่หรือน้ำพ่อ) ในอัตราส่วน 3 ช้อนแกงต่อน้ำ 10 ลิตร รดแปลงให้ชุ่มทิ้งไว้ 7 วัน แล้วจึงปลูกพืช
3. หลังปลูกพืชแล้วประมาณ 10 – 12 วัน ถ้าพืชไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควรให้เติมปุ๋ยหมักชีวภาพอีก
4. ควร รดราดน้ำหมักชีวภาพ (สูตร 1 , 2 , 3 ) ตามช่วงอายุการเจริญเติบโตของพืช สัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง ในอัตราส่วนน้ำหมักชีวภาพ 3 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร
การใช้กับไม้ผล ไม้ยืนต้น
การเตรียมหลุมปลูก
1. ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ 1 - 2 ก.ก. ผสมกับดินเดิม คลุมด้วยฟาง รด ราด ด้วยน้ำหมักชีวภาพ 3 ช้อนแกงต่อน้ำ 10 ลิตร ทิ้งไว้ 7 วัน จึงปลูกต้นไม้ได้
ไม้ผล ไม้ยืนต้นที่ปลูกแล้ว
1. หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตและตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพ 1 ก.ก. ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร บริเวณรอบทรงพุ่มแล้วคลุมด้วยฟางแห้งหรือหญ้าแห้ง ปีละ 2 ครั้ง
2. ราด รด ด้วยน้ำหมักชีวภาพ เพื่อกระตุ้นการแตกยอดและใบใหม่ในอัตราน้ำหมักชีวภาพ 3 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร เดือนละ 2 ครั้ง ตามช่วงอายุการเจริญเติบโตของพืช
3. เมื่อพืชติดดอก ติดผล ควรเพิ่มการให้น้ำหมักชีวภาพ สูตร 2 , 3 เป็นเดือนละ 1 ครั้ง
หมายเหตุ น้ำหมักชีวภาพควรใช้ในเวลาเช้าหรือเย็น ไม่ควรให้ถูกแสงแดดจัด เก็บไว้ในร่มและไม่ควรใช้ร่วมกับสารเคมีทุกชนิด
การใช้ในการเลี้ยงสัตว์
น้ำหมักชีวภาพช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยสลายอาหาร
เมื่อสัตว์ได้รับน้ำหมักชีวภาพ โดยใส่ให้สัตว์กินในอัตราน้ำหมักชีวภาพ 1 ส่วน ต่อน้ำ 1,000 ส่วน (1 : 1,000) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารที่สัตว์กิน ทำให้สัตว์ได้รับธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์มากขึ้น
สัตว์ปีก, สุกร สัตว์ปีกและสุกรเป็นสัตว์กระเพาะเดี่ยว ไม่สามารถย่อยหญ้าได้ดีเท่าสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น วัว ควาย แต่น้ำหมักชีวภาพจะช่วยให้สัตว์ปีกและสุกร สามารถย่อยหญ้าสดหรือพืชได้ดีขึ้น เป็นการประหยัดอาหารได้ถึง 30 %
สัตว์เคี้ยวเอื้อง สัตว์เคี้ยวเอื้องจำพวก วัว ควาย ปกติสามารถย่อยอาหารหลักจำพวกหญ้าสด หญ้าแห้งได้ดีอยู่แล้ว เมื่อได้รับน้ำหมักชีวภาพ โดยใส่ในน้ำให้กินในอัตรา 1 : 1,000 หรือพรมลงบนหญ้าก่อนให้สัตว์กิน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารได้สูงขึ้น
น้ำหมักชีวภาพช่วยเพิ่มความต้านทานโรคให้แก่สัตว์
สัตว์ที่ได้รับน้ำหมักชีวภาพอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าทางน้ำหรือทางอาหาร จะมีความต้านทานโรคต่างๆ ได้ดี โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินอาหาร จะช่วยลดความเครียดจากการเปลี่ยนอาหารระยะต่างๆ การขนย้ายสัตว์และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
น้ำหมักชีวภาพช่วยลดกลิ่นเหม็นในคอกสัตว์
ในการเลี้ยงสัตว์ มูลสัตว์นับเป็นปัญหาสำคัญต่อสภาพแวดล้อมในฟาร์มและบริเวณใกล้เคียงมาก โดยเฉพาะฟาร์มเลี้ยงสุกร ถ้าไม่จัดการให้ดี เพื่อเป็นการจำกัดกลิ่นเหม็นให้ใช้น้ำหมักชีวภาพผสมน้ำในอัตรา 1 : 1,000 ให้สัตว์กินทุกวันจะช่วยลดกลิ่นเหม็นได้
คอกสัตว์โดยเฉพาะสุกรและโคนมที่ได้รับการฉีดล้างด้วยน้ำหมักชีวภาพ ในอัตราเข้มข้น 1 : 100 - 300 เป็นประจำ กลิ่นจะไม่เหม็น และน้ำที่ได้จากการล้างคอกก็สามารถนำไปรดน้ำต้นไม้ รดผัก และสามารถปล่อยลงแม่น้ำลำคลองได้ โดยไม่เป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม
น้ำหมักชีวภาพช่วยลดปัญหาเรื่องแมลงวันและยุง
บริเวณคอกสัตว์ที่ได้รับการฉีดพ่นด้วยน้ำหมักชีวภาพอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดปัญหาเรื่องแมลงวันจนเกือบไม่มีเลย แม้แต่ยุงก็จะลดน้อยลงด้วย ถ้าใช้น้ำหมักชีวภาพฉีดพ่นตามแหล่งน้ำในฟาร์มอย่างสม่ำเสมอ
น้ำหมักชีวภาพในการเลี้ยงสัตว์น้ำ
ใส่น้ำหมักชีวภาพในบ่อปลา บ่อกุ้ง และบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำอื่นๆ ในอัตรา 1 : 1,000 - 1 : 10,000 หรือ 1 ลิตร ต่อน้ำในบ่อ 1 - 10 ลูกบาศก์เมตรอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้างและมูลสัตว์น้ำที่ก้นบ่อให้หมดไป ทำให้น้ำไม่เสีย ไม่ต้องถ่ายน้ำบ่อยๆ สัตว์น้ำมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ผิวสะอาดไม่มีกลิ่นโคลนตม
การเลี้ยงปลาด้วยปุ๋ยอินทรีย์
การใส่ปุ๋ยในบ่อปลา มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเพิ่มธาตุอาหาร หรือเพิ่มอาหารธรรมชาติในบ่อปลา เช่น ทำให้เกิดน้ำเขียว ตัวอ่อนของแมลง ไรน้ำ ไรแดง หนอนแดง เกิดพืชเล็กๆในบ่อ ซึ่งปลาทุกชนิดชอบกิน
น้ำหมักชีวภาพแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
ปัญหาสิ่งแวดล้อมควรเริ่มต้นแก้ตั้งแต่ในครัวเรือน โดยนำเศษอาหารมาทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช่ประโยชน์ หรือก่อนจะนำขยะเปียกไปทิ้ง ควรฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพเสียก่อนเพื่อป้องกันกลิ่นเหม็นและแมลงวันปัญหาเรื่องขยะเปียกและน้ำเสียในชุมชนน้ำหมักชีวภาพสามารถช่วยได้ โดยฉีดพ่นขยะเปียกที่มีกลิ่นเหม็นในอัตราส่วนเข็มข้น (1 : 1,000) จะช่วยลดกลิ่นเหม็นและแมลงวันได้แหล่งน้ำในชนที่เน่าเสียจนสัตว์น้ำตาย ใส่น้ำหมักชีวภาพและปุ๋ยหมักชีวภาพบ่อยๆ ก็จะช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขี้นได้
น้ำหมักชีวภาพ(เอนไซม์)กับไวน์ ต่างกันอย่างไร ?
น้ำหมักชีวภาพ(เอนไซม์) ใช้ดื่มกินเป็นสารโปรตีน วิตามินเอ, บี, ซี, ดี, อี, เค, อะมิโนแอซิค(Amino acid) และ อะเซทิลโคเอ (Acetyl Coa) ที่ได้จาก หมักผลไม้นานาชนิด โดยมี จุลินทรีย์ท้องถิ่น หลากหลายชนิด ปะปนอยู่ใน กระบวนการหมัก เพื่อเปลี่ยนผลไม้ + น้ำผึ้ง + น้ำ ระยะเริ่มแรกเป็นแอลกอฮอล์ ระยะต่อมา เป็นน้ำส้มสายชู (รสเปรี้ยว) อีกระยะหนึ่งเป็นยาธาตุ (รสขม) ในที่สุดเป็นน้ำหมักชีวภาพ (เอ็นไซม์) ซึ่งใช้เวลาหมักขยายประมาณ 2 ปี กรณีจะนำไปดื่มกินควรผ่านการหมักขยายเป็นเวลา 6 ปีขึ้นไป
ไวน์ (WINE) เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้จากการหมักองุ่น ไวน์แดงทำจากองุ่นแดง ไวน์ขาวทำจากองุ่นเขียว โดยกระบวนการหมักจะใช้เชื้อยีสต์บริสุทธิ์ เช่น แชคคาโรมัยซีส (Saccharomyces cerevisiae ) เพื่อเปลี่ยนน้ำตาลเป็นอาหาร และ ให้ผลผลิต เป็นแอลกอฮอล์ กับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ C6H12O6 2C2H5OH + 2CO2 ทั้งผลไม้ น้ำตาล และ ภาชนะ จะผ่านการฆ่าเชื้อก่อนทุกขั้นตอน
สรุปว่า น้ำหมักชีวภาพ (เอนไซม์) กับไวน์ต่างกัน ทั้งเจตนาในการหมัก เพื่อจะให้ได้ผลผลิต กระบวนการหมัก การควบคุมเชื้อจุลินทรีย์และความปลอดภัยในการบริโภค
น้ำหมักชีวภาพแบ่งตามการใช้งานได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ใช้อุปโภค ได้แก่ น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน สบู่น้ำ แชมพูสระผม น้ำยาล้างรถ น้ำยาดับกลิ่น ปุ๋ยน้ำ แก้สิวฝ้า น้ำยาบ้วนปาก ฯลฯ
2. ใช้บริโภค ได้แก่ น้ำหมักชีวภาพ(เอนไซม์)ใช้ดื่มกิน สมุนไพรหมักใช้เป็นยา ฯลฯ
ปัญหาของน้ำหมักชีวภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการนำไปดื่มกิน เมื่อได้น้ำหมักชีวภาพ ในขั้นต้น (3, 5, 7, 9, 11 เดือน) แล้ว นำไปดื่มกิน เผยแพร่ทางสื่อต่างๆ ผลิตเพื่อขาย แม้จะช่วยให้ระบบย่อยและขับถ่ายดีขึ้นก็ตาม แต่น้ำหมักชีวภาพ ในช่วงนี้มีสภาพเป็น แอลกอฮอล์ อยู่มาก (คล้ายไวน์) สังเกตได้โดยการดมกลิ่น ชิมรส ถ้าดื่มกิน จะมีอาการร้อนวูบวาบ ลงท้องแล้ว ตีกลับขึ้นหัว กระจายไปทั่วตัว ทำให้บางคนมีอาการมึนงงหรือปวดหัวได้ ซึ่งในฐานะนักปฏิบัติธรรม ถือว่าไม่เหมาะ ที่จะนำมาดื่มกินกัน เพราะจะเข้าข่ายดื่มน้ำเมาได้
ผลเสียที่เกิดขึ้น ทำให้ฟันผุกร่อน เนื้อฟันบาง เพราะน้ำหมักชีวภาพ (เอนไซม์) มีสภาพเป็นกรดสูง วัด pH ได้ 3-4 กรดจะกัดกร่อนเนื้อฟัน (แคลเซียม) ทำให้ฟันเสียได้ ฉะนั้นการดื่มกินน้ำหมักชีวภาพ (เอนไซม์) แบบเข้มข้นจึงควรหลีกเลี่ยง เราควรผสมน้ำเปล่าให้เจือจางก่อน น้ำหมัก ชีวภาพ (เอ็นไซม์) 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 แก้ว (ลองนึกเปรียบเทียบกับปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ เวลาเราใช้รดน้ำต้นไม้ จะผสมน้ำให้เจือจาง 500 - 1,000 เท่า ถ้าใช้รดต้นไม้แบบเข้มข้น ต้นไม้จะเฉาตาย)
การทำน้ำหมักชีวภาพ ไม่ใช่เรื่องยากแต่ต้องอาศัยเวลาและความอดทน ที่สำคัญน้ำหมักชีวภาพไม่มีสูตรที่ตายตัว เราสามารถทดลองทำปรับเปลี่ยนวัตถุดิบให้เหมาะสมกับต้นไม้ของเรา เพราะสภาพแวดล้อมแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกัน ต้นไม้แต่และถิ่นก็ต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน น้ำหมักชีวภาพจึงจำเป็นต้องมีความแตกต่างกันตามท้องถิ่น