เครดิตภาพจาก FB เลาวูประตูเวียงแหง
หมู่บ้านเลาวูตั้งอยู่ ณ หมู่ที่ 11 ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2474 ปัจจุบันอายุได้ราว 83 ปีมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 530 คน แบ่งเป็น 120 ครัวเรือน
ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเลาวูเล่าว่าชาวบ้านเลาวูเป็นชนเผ่าลีซูซึ่งอพยพมาจากประเทศจีนหลายสิบปีแล้ว เนื่องจากมีความเป็นอยู่ลำบาก ข้าวยากหมากแพง และได้รับการชักชวนจากพ่อค้าฝิ่นว่าในประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกฝิ่นและผลผลิตเยอะ จึงอพยพเข้ามาโดยการนำของนายอ่าเลปาหมึก เลายี่ปา นายอาซาปลุกซา ยี่ปา นายอาซาฟืน เลาฉี่ และนายใส่มาเก๊ยะ เล่าหมี่ เดิมได้ก่อตั้งหมู่บ้านอยู่ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ต่อจากนั้นได้อพยพมาอยู่ที่เก่า(ใกล้กับหนองคาย) และต่อมาได้ก่อตั้งหมู่บ้าน (นาหลา) แห่งใหม่ ที่บ้านเก่าใหญ่ ซึ่งตอนนั้นขึ้นการปกครองกับ ตำบลเมืองคอง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้านเลาวูในปัจจุบัน ประมาณ 2 กิโลเมตร ในขณะนั้นมีประชากรประมาณ 300 ครัวเรือน สาเหตุการย้ายถิ่นฐาน เพื่อต้องการพื้นที่ ทำกิน การเกษตรและอีกสาเหตุหนึ่งเกิดจากความขัดแย้งกันเองระหว่างกลุ่ม เพราะการที่มีความต้องการขึ้นเป็นผู้นำของหมู่บ้าน
ต่อมารัฐบาลไทยได้ส่งตำรวจตระเวนชายแดนเข้ามาดูและส่งเสริมความเป็นอยู่ทุกด้าน จากนั้นได้มีการคัดเลือกผู้นำชนเผ่าหรือหัวหน้าชนเผ่าโดยแบ่งเป็นกลุ่ม คือ กลุ่มแรกนำโดยนายฟู่แหนสาม เลาฉี่ ย้ายไปตั้งหมู่บ้านปู่แหนสาม(ขุนคองในปัจจุบัน) กลุ่มที่สองนำโดยผู้เฒ่าหลวงสา เลายี่ปา ย้ายไปตั้งหมู่บ้านดอยสามหมื่น อำเภอเวียงแหง และกลุ่มที่สาม นายแกสาม เล่า ยี่ปา ย้ายไปตั้งหมู่บ้านเลาวู
พื้นที่ของหมู่บ้านบ้านเลาวูแบ่งออกเป็นสองฝั่งคือหนึ่งในส่วนของบ้านเรือนที่อยู่อาศัยจะตั้งอยู่ในเขตของเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูเชียงดาวซึ่งประกาศเป็นเขตรักษาพันธ์เมื่อปี พ.ศ. 2525และในส่วนของที่ดินทำกินในปลูกพืชผลทางการเกษตรจะอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติผาแดงซึ่งได้ประการเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติเมื่อปีพ.ศ. 2543
“ผมเกิดที่นี้จนตอนนี้อายุได้ 50 ปีแล้ว รุ่นพ่อแม่อพยพมาจากทางอำเภอฝางประมาณ 83 ปีละ เพราะอำเภอฝางแต่เดิมทำอาชีพสวนฝิ่น ซึ่งที่นี้เป็นพื้นที่สูงและอากาศเย็นเหมาะก็การปลูกฝิ่นก็เลยย้ายมาอยู่ตรงนี้ ภายหลังก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาส่งเสริมให้ปลูกฝิ่นบริเวณนี้ และต่อมาก็มีการปลาบปามไม่ให้ปลูก จึงเลิกไป ปัจจุบันก็ปลูกผลไม้ เมืองหนาวอย่างอื่น เช่น กาแฟ ผัก ผลไม้” ผู้นำชาวบ้านบ้านเลาวูเล่าถึงที่มาของอาชีพเกษตรกรในปัจจุบัน
ชาวบ้านในหมู่บ้านเลาวูอธิบายถึงวิธีการทำเกษตรของคนในหมู่บ้านว่า พวกเขาทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนคือหากในปีนี้ทำตรงพื้นที่แรก ปีต่อไปก็จะไปที่ในพื้นที่ที่สอง ที่สาม ที่สี่ แล้วกลับมาทำที่เดิม หมุนเวียนเป็นวัฏจักร ซึ่งเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้นก็เพื่อจะทิ้งพื้นที่ให้ดินกลับมีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ซึ่งวิธีการทำไร่หมุนเวียนแทบจะไม่ต้องอาศัยสารเคมีเลย เรียกได้ว่าเป็นการให้ธรรมชาติฟื้นฟูธรรมชาติ
โดยในช่วงที่ชาวบ้านเว้นพื้นที่ไว้คนที่อื่นจะไม่สามารถเข้ามาทำได้ เนื่องจากชาวบ้านที่นี้จะรู้จักกันหมดว่าสวนนี้ของใครๆและคอยช่วยกันดูแลไม่ให้คนที่อื่นเข้ามาทำ
“ผมเกิดมาก็ทำแบบนี้ ทำอาชีพนี้ตามบรรพบุรุษ ซึ่งการทำไร่หมุนเวียนเราจะเว้นไว้สามถึงสี่ปีแล้วไปทำใหม่ เพราะถ้าทำที่เดิมทุกปีซ้ำกันสองถึงสามปี ดินจะมีการเสื่อมสภาพทำให้ต้องพึ่งพาปุ๋ย ยาฆ่าแมลงและสารเคมีเยอะ ซึ่งวิถีชีวิตบนบ้านเลาวูจะเป็นแบบพอเพียงมีกินมีใช้ไปวันๆ ไม่ต้องพึ่งอะไรมาก อย่างปลูกข้าวโพดเราก็จะเอาไว้เลี้ยงหมู เอาไว้กิน ที่เหลือบางส่วนก็เอาไปขาย”ชาวบ้านในหมู่บ้านเลาวูกล่าว