ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์และ
คำศัพท์พื้นฐาน
ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์และ
คำศัพท์พื้นฐาน
1.ฐานข้อมูล (Database)
ฐานข้อมูลมาจากคำศัพท์ 2 คํา คือ
- ฐาน หมายถึง ที่ตั้ง ที่รองรับ
- ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่ถือหรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง สำหรับใช้เป็นหลักอนุมาน หาความจริงหรือการคํานวณ
ฐานข้อมูล คือ การรวบรวมและจัดเก็บชุดของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันมาไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ข้อมูลเหล่านั้นร่วมกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เช่น ในสำนักงานก็จะเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่มาติดต่อจนถึงการเก็บเอกสารทุกอย่างของสำนักงาน ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะมีส่วนที่สัมพันธ์กันและเป็นที่ต้องการนำออกมาใช้ประโยชน์ต่อไปในภายหลัง โดยข้อมูลนั้นอาจจะเกี่ยวกับบุคคล สิ่งของ สถานที่ หรือ เหตุการณ์ใด ๆ ก็ได้ที่บุคคลสนใจศึกษา หรือข้อมูลได้มาจากการสังเกต การนับ การวัด รวมทั้งข้อมูลที่เป็นตัวเลข ข้อความ และ รูปภาพต่าง ๆ ก็สามารถนำมาจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลได้ แต่ข้อมูลทุกอย่างต้องมีความสัมพันธ์กัน เพราะต้องนำมาใช้ประโยชน์ต่อไปในอนาคต
2. ระบบจัดการฐานข้อมูล
“ระบบการจัดการฐานข้อมูล” (Data Base Management System: DBMS) หมายถึง ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการกำหนดลักษณะข้อมูลที่จะเก็บไว้ในฐานข้อมูล อำนวยความสะดวกในการบันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูล กำหนดผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ฐานข้อมูลได้ พร้อมกับกำหนดด้วยว่าให้ใช้ได้แบบใด เช่น ให้อ่านข้อมูลได้อย่างเดียวหรือให้แก้ไขข้อมูลได้ด้วย นอกจากนั้นยังอำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูล และการแก้ไขปรับปรุงข้อมูล ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย สะดวกและมีประสิทธิภาพ เสมือนเป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูลให้สามารถติดต่อกันได้
ตัวอย่างของระบบจัดการฐานข้อมูลที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ Microsoft Access, FoxPro, SQL Server, Oracle, Informix, DB2 เป็นต้น
หน้าที่ของระบบจัดการฐานข้อมูล มีดังนี้
1. กำหนดมาตรฐานข้อมูล
2. ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลแบบต่าง ๆ
3. ดูแลจัดเก็บข้อมูลให้มีความถูกต้องแม่นยำ
4. จัดเรื่องการสำรอง และฟื้นสภาพแฟ้มข้อมูล
5. จัดระเบียบแฟ้มทางกายภาพ (Physical Organization)
6. รักษาความปลอดภัยของข้อมูลภายในฐานข้อมูล และป้องกันไม่ใช้ข้อมูลสูญหาย
7. บำรุงรักษาฐานข้อมูลให้เป็นอิสระจากโปรแกรมแอพพลิเคชั่นอื่น ๆ
8. เชื่อมโยงข้อมูลที่มีความสัมพันธ์เข้าด้วยกันเพื่อรองรับความต้องการใช้ข้อมูลในระดับต่าง ๆ
ตัวอย่างฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น การซื้อสินค้าในร้านสะดวกซื้อ เมื่อเราเลือกสินค้าที่ต้องการ จากนั้นนำมาชำระเงินที่เคาท์เตอร์ พนักงานจะสแกนบาร์โค้ดของสินค้าแต่ละชิ้นเพื่อคำนวณราคาสินค้า โดยจะดึงข้อมูลราคา หรือโปรโมชั่นจากฐานข้อมูลสินค้า หากเป็นสมาชิกระบบจะตรวจสอบข้อมูล และเรียกข้อมูลของลูกค้ามาประมวลผลเพื่อเก็บยอดสะสม
หรือการจองตั๋วเครื่องบินผ่านตัวแทนจำหน่าย เมื่อลูกค้าต้องการจองหรือซื้อตั๋ว เครื่องบิน พนักงานขายจะเข้าถึงฐานข้อมูลเพื่อค้นหาที่นั่งว่างที่เหลือของเที่ยวบินที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งอาจเป็นขาไปและขากลับ และเมื่อลูกค้ายืนยันว่าต้องการซื้อหรือจองที่นั่งที่ต้องการแล้ว พนักงานก็จะบันทึกรายละเอียดในการจองและข้อมูลของลูกค้าลงใน ฐานข้อมูล เมื่อถึงวันเวลาเดินทาง ลูกค้าก็ต้องนำตั๋วเครื่องบินที่ซื้อไว้มาเช็คอิน พนักงานก็สามารถดึงข้อมูลของลูกค้าขึ้นมา ตรวจสอบความถูกต้องได้ เป็นต้น
จากตัวอย่างเมื่อนำระบบจัดการฐานข้อมูลมาช่วยจัดเก็บข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์จะช่วยให้ค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การบำรุงรักษาฐานข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม ลบ หรือแก้ไขข้อมูลจะทำได้ง่ายขึ้นด้วย
3. ระบบแฟ้มข้อมูล (File System)
ยุคแรกที่นำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ประมวลผลข้อมูลนั้น โครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลในเครื่องยังมีลักษณะคล้ายคลึงกับการจัดเก็บข้อมูลในกระดาษ คือ ข้อมูลแต่ละประเภทถูกเก็บแยกกันในลักษณะของ ไฟล์หรือแฟ้มข้อมูลโดยแต่ละแผนกหรือหน่วยงานจะเก็บข้อมูลและมีโปรแกรมของตนเองที่ใช้ดึงข้อมูลจากไฟล์ต่าง ๆ มาประมวลผล ดังนั้นระบบแฟ้มข้อมูล คือ การจัดเก็บข้อมูลด้วยระบบแฟ้มข้อมูลเป็นรูปแบบการจัดเก็บ ข้อมูลแบบดั้งเดิมที่นิยมใช้กันเมื่อคอมพิวเตอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจัดเก็บและประมวลผลสารสนเทศในยุคเริ่มต้น การศึกษารูปแบบการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูลจะทำให้เห็นถึงข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุให้การจัดเก็บข้อมูลแบบฐานข้อมูลได้รับความนิยมขึ้นมาแทนที่การจัดเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูล
แผนภาพแสดงระบบการจัดเก็บขอมูลของบริษัทแห่งหนึ่งจะเห็นว่าแต่ละแผนกเก็บข้อมูลของตัวเองไว้ในไฟล์ที่แยกจากกันทำให้มีข้อมูลบางส่วนซ้ำกัน ตัวอย่างเช่น ไฟล์ข้อมูลพนักงาน ของแผนก บุคคล จะเก็บข้อมูลของพนักงานทุกคนในบริษัท จึงมีขอมูลพนักงานขายอยู่ด้วย ทำให้ซ้ำกับข้อมูลในไฟล์ขอมูลพนักงานขายของแผนกการตลาด ส่วนไฟล์ข้อมูลสินค้าคงคลังของแผนการตลาดและแผนก จัดซื้อจะมีข้อมูลเหมือนกัน เป็นต้น โดยแต่ละแผนกจะดึงข้อมูลจากไฟล์มาประมวลผลและออกรายงานโดยใช้โปรแกรมของตัวเอง
3.1 ข้อดีในการประมวลผลแบบไฟล์ข้อมูล คือ
แต่ละแผนกสามารถเขียนโปรแกรมประมวลผลข้อมูลในรูปแบบที่ต้องการได้อย่างอิสระ
การดึงข้อมูลมาใช้ทำได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากต่างคนต่างเก็บ
ลดต้นทุนในส่วนของการวางระบบคอมพิวเตอร์เนื่องจากข้อมูลที่เก็บเป็นข้อมูลที่ใช้งานในฝ่ายเท่านั้น จึงไม่มีความซับซ้อนจนต้องใช้ระบบการจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงมาก
3.2 ข้อเสียในการประมวลผล คือ
เกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Redundancy) ซึ่งจะนําไปสู่ปัญหาความขัดแย้งของข้อมูล (Data Inconsistency) ในภายหลังได้ถ้ามีการแก้ไขข้อมูลในไฟล์หนึ่งแต่ไม่ได้แก้ไขข้อมูลนั้นในไฟลอื่นๆ ด้วย
เกิดความไม่เป็นอิสระของข้อมูล (Data Dependency) เพราะโปรแกรมที่ใช้ในแต่ละแผนกจะผูกพันกับโครงสร้างการจัดเก็บและวิธีเรียกใช้ข้อมูล ถ้าเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลโปรแกรมทุกโปรแกรมที่เรียกใช้ไฟล์ข้อมูลนั้นจะต้องถูกแก้ไขด้วยซึ่งอาจเกิดข้อผิดพลาดได้
ขาดความยืดหยุ่น โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้งานในระบบแฟ้มข้อมูลจะประมวลผลให้รายงานเฉพาะที่กำหนดไว้โดยโปรแกรมเมอร์เท่านั้น ทำให้ไม่สามารถแสดงรายงานที่ต้องการ โดยรายงานดังกล่าวเป็นรายงานที่ไม่ได้มีการวางแผนให้มีในโปรแกรมที่สร้างขึ้น หากต้องการได้รายงานดังกล่าวนั้น ต้องทำการเขียนโปรแกรมขึ้นมาเพื่อประมวลผลใหม่ ทำให้ไม่สะดวกและสิ้นเปลืองถ้ารายงานนั้นไม่ได้มีการใช้บ่อยครั้ง
ไม่มีการควบคุมจากศูนย์กลาง เนื่องจากแต่ละแผนกสามารถเรียกใช้ข้อมูลได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องผ่านการดูแลจากศูนย์กลางจึงไม่สามารถควบคุมสิทธิ์ในการเข้าใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคนใหเป็นมาตรฐานเดียวกัน
จากปัญหาข้างต้น จึงได้มีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อรวบรวมข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน แต่แยกกันอยู่แต่ละไฟล์มาเก็บไว้ที่เดียวกันเพื่อให้แต่ละแผนกสามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลร่วมกันได้การดูแลรักษาระบบงานและปรับปรุงข้อมูลให้มีความถูกต้องและทันสมัยอยู่เสมอจะทำได้ง่ายขึ้นเพราะข้อมูลไม่อยู่กระจัดกระจายสามารถเรียกใช้ข้อมูลได้ทันทีที่ต้องการช่วยให้ผู้บริหารวางแผนและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์
การออกแบบฐานข้อมูลที่ดีนั้น ผู้ออกแบบต้องจัดกลุ่มและแยกประเภทข้อมูลที่จะนำมาใช้โดยให้ข้อมูลแต่ละกลุ่มมีความซ้ำซ้อนกันน้อยที่สุดเพื่อให้ฐานข้อมูลมีขนาดเล็กที่สุดแต่ในขณะเดียวกันก็ได้ความหมายมากที่สุดเช่นกัน ผู้ออกแบบต้องสามารถกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มข้อมูลต่าง ๆ ได้ซึ่งความสัมพันธ์นี้เองจะเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การพัฒนาเป็นระบบฐานข้อมูล
4. องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลมักจะนําเอาระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการจัดเก็บฐานข้อมูลเพื่อให้ทันต่อความต้องการในการใช้งาน สะดวก รวดเร็ว และถูกต้องมีความเชื่อถือได้ โดยมีซอฟท์แวร์หรือโปรแกรมระบบจัดการฐานข้อมูล องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล แบ่งออกเป็น4 องค์ประกอบ
1. ฮาร์ดแวร์(Hardware)
2. ซอฟต์แวร์(Software)
3. ข้อมูล(Data)
4. บุคลากร(Personal)
4.1 ฮาร์ดแวร์(Hardware) หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เก็บข้อมูลหรือหน่วยเก็บข้อมูล เช่น ฮาร์ดดิสก์และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถจับต้องได้
4.2 ซอฟต์แวร์(Software) คือ โปรแกรมที่จัดการเกี่ยวกับฐานข้อมูล โดยปกติแล้วจะเรียกว่าระบบจัดการฐานข้อมูล หรือDatabase Management System : DBMS ส่วนนี้จะทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างข้อมูลกับผู้ใช้ เป้าหมายของระบบจัดการฐานข้อมูล เพื่อช่วยให้การพัฒนาโปรแกรมสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น มีความถูกต้อง และลดค่าใช้จ่าย มีระบบสํารองข้อมูลและการฟื้นสภาพที่มีประสิทธิภาพเป็นต้น ระบบจัดการฐานข้อมูลที่ใช้กันในปัจจุบันจะนําเสนอความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบของตาราง(relation) ซึ่งใช้ง่ายเนื่องจากโครงสร้างข้อมูลไม่สลับซับซ้อนและมีภาษาที่เหมาะสม
4.3 ข้อมูล(Data) หมายถึง ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูล รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลการจัดเก็บข้อมูลควรเก็บรวมแฟ้มข้อมูลต่างๆไว้ด้วยกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลที่ถูกเก็บในแฟ้มข้อมูลต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่งผู้ใช้หลายๆ คน สามารถเรียกใช้หรือดึงข้อมูลชุดเดียวกันได้ ณ เวลาเดียวกัน หรือ ต่างเวลากันได้
4.4 บุคลากร(Personal) ได้แก่บุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบฐานข้อมูล มีดังนี้
4.4.1 ผู้ใช้ทั่วไป(User) เป็นบุคลากรที่ใช้ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลเพื่อใช้งานสำเร็จลุล่วงได้
4.4.2 พนักงานปฏิบัติการ(Operator) เป็นผู้ปฏิบัติการด้านการประมวลผล การป้อนข้อมูลเข้า
4.4.3 นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ(System Analyst) เป็นบุคลากรที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ออกแบบฐานข้อมูล และออกแบบระบบงานที่จะนำมาใช้
4.4.4 ผู้เขียนโปรแกรมประยุกต์ใช้งาน(Programmer) เป็นผู้ทําหน้าที่เขียนโปรแกรมประยุกต์ใช้งานต่างๆ เพื่อให้การจัดเก็บ การเรียกใช้ข้อมูลเป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้
4.4.5 ผู้บริหารฐานข้อมูล(Database Administrator : DBA) เป็นบุคลากรที่มีหน้าที่ควบคุมและบริหารทรัพยากรฐานข้อมูลขององค์กร ควรมีความรู้ทั้งหลักการบริหารและด้านเทคนิคของระบบจัดการฐานข้อมูล เนื่องจากผู้บริหารฐานข้อมูลจะทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เช่น นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ โปรแกรมเมอร์ และผู้ใช้ เพื่อให้การบริหารระบบฐานข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
5.องค์ประกอบในการทำงานร่วมกับฐานข้อมูล
นอกจากฐานข้อมูลจะเกิดจากการนำไฟล์หรือกลุ่มข้อมูลต่างๆ มาเก็บไว้ในที่เดียวกันแล้วยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานร่วมกับฐานข้อมูลด้วยดังนี้
กลุ่มข้อมูลที่นำมาเก็บรวมกันจะต้องมีความเกี่ยวข้องกัน โดยจะต้องระบุความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มข้อมูลและใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์นั้นได้ สำหรับโปรแกรมระบบจัดการฐานข้อมูล Microsoft Access 2013 จะเรียกกลุ่มข้อมูลที่ผู้ใช้มองเห็นในรูปตารางว่า Table ซึ่งต่อจากนี้จะใช้คำว่า Table แทนคำว่า ตาราง
โปรแกรมระบบจัดการฐานข้อมูล โครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลในระบบฐานข้อมูล ถ้าเขียนโปรแกรมควบคุมการทำงานขึ้นใช้เองจะค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลามาก ต้องใช้บุคลากรที่มีความชำนาญด้านนี้โดยเฉพาะ จึงได้มีการพัฒนาเครื่องมือที่เรียกว่า โปรแกรมระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System : DBMS) เพื่อนำมาช่วยให้การสร้าง เรียกใช้และแก้ไขฐานข้อมูลให้ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง DBMS จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ใช้
5.1 ข้อดีของการนําระบบฐานข้อมูลมาใช้
เมื่อมีการนำระบบการจัดการฐานข้อมูลมาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการบันทึกข้อมูล แก้ไขปรับปรุงข้อมูล ค้นหาข้อมูล รวมทั้งกำหนดผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ฐานข้อมูล ทำให้ฐานข้อมูลมีข้อดี ดังนี้
5.1 ลดปัญหาความซ้ำซ้อนกันของข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะแฟ้มข้อมูล อาจทำให้ข้อมูลเรื่องเดียวกันถูกจัดเก็บไว้ในหลายๆ แห่งในองค์กร ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้การจัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลจึงช่วยลดปัญหาความซ้ำซ้อนของข้อมูล โดยระบบจัดการฐานข้อมูลจะช่วยลดความซ้ำซ้อนทั้งในด้านการจัดเก็บและการประมวลผล รวมถึงความเชื่อถือได้ของข้อมูล
5.2 ลดปัญหาความขัดแย้งกันของข้อมูล เนื่องจากฐานข้อมูลมีเพียงฐานข้อมูลเดียวในกรณีที่มีข้อมูลชุดเดียวกันปรากฏอยู่หลายแห่งในฐานข้อมูล ข้อมูลเหล่านี้จะต้องตรงกัน ถ้ามีการแก้ไขข้อมูลนี้ทุกๆ แห่งที่ข้อมูลปรากฏอยู่จะแก้ไขให้ถูกต้องตามกันหมดโดยอัตโนมัติด้วยระบบจัดการฐานข้อมูล
5.3 ทำให้เกิดความเปนอิสระของข้อมูล ฐานข้อมูลและโปรแกรมประยุกต์ใช้งาน จะทำงานโดยมีระบบการจัดการฐานข้อมูลเป็นตัวเชื่อมโยงกับฐานข้อมูล ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างข้อมูลในแฟ้มข้อมูลก็จะทำการแก้ไขเฉพาะโปรแกรมที่เรียกใช้โครงสร้างข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงเท่านั้น ส่วนโปรแกรมที่ไม่ได้เรียกใช้โครงสร้างข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงก็จะเป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงนี้
5.4 ทำให้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ระบบจัดการฐานข้อมูลเป็นการเก็บรวบรวมแฟ้มข้อมูลรวมไว้ด้วยกัน ซึ่งผู้ใช้หลายๆ คน สามารถเรียกใช้หรือดึงข้อมูลชุดเดียวกันได้ ณ เวลาเดียวกัน หรือต่างเวลากันก็ได้
5.5 ข้อมูลมีความเป็นมาตรฐาน เนื่องจากสามารถกำหนดชนิดและรูปแบบของข้อมูลตัวเดียวกันให้เหมือนกันได้ ไม่ว่าจะเก็บไว้ที่ส่วนใดของฐานข้อมูล ทำให้การนำข้อมูลไปใช้หรือแลกเปลี่ยนระหว่างฐานข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น
5.6 สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารฐานข้อมูล (DataBase Administrator : DBA) ซึ่งควบคุมและบริหารระบบฐานข้อมูล สามารถจัดการฐานข้อมูลเพื่อตอบสนองให้บริการต่อผู้ใช้โดยส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เก็บข้อมูลที่มีความสำคัญและถูกเรียกใช้อยู่เสมอไว้ในสื่อที่มีีความเร็วสูงเพื่อให้เรียกใช้ได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น
5.7 สามารถสร้างระบบความปลอดภัยให้กับ DBA สามารถกำหนดสิทธิการเข้าใช้ฐานข้อมูลให้กับผู้ใช้แต่ละคนในระดับต่างๆ เช่น กำหนดว่าจะอนุญาตให้ใครเข้าไปใช้ฐานข้อมูลได้บ้างและสามารถใช้งานได้ในระดับใด เช่น ให้เรียกดูข้อมูลและแก้ไขได้หรือให้เรียกดูข้อมูลได้อย่างเดียวแต่แก้ไขไม่ได้ เป็นต้น
5.2 ข้อจำกัดของการนําระบบฐานข้อมูลมาใช้
เนื่องจากซอฟท์แวร์ที่ประกอบไปด้วยฟังก์ชันต่าง ๆ มากมายจึงต้องอาศัยผู้ใช้และผู้ดูแลที่มีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีระบบจัดการฐานข้อมูลอย่างเชี่ยวชาญ
5.1 มีต้นทุนสูง การใช้ระบบจัดการฐานข้อมูลในการจัดเก็บข้อมูลต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์ซอฟท์แวร์หรือบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจเทคโนโลยีระบบจัดการฐานข้อมูล
5.2 การเสี่ยงต่อการหยุดชะงักของระบบ ข้อมูลที่จัดเก็บในระบบจัดการฐานข้อมูลมีลักษณะเป็นศูนย์รวม ดังนั้นหากฮาร์ดแวร์หรือซอฟท์แวร์เกิดปัญหาอาจทำให้ระบบหยุดชะงักได้
5.3 การสูญเสียข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากข้อมูลต่างๆ ภายในฐานข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ในที่เดียวกัน ดังนั้นถ้าดิสก์ที่เก็บฐานข้อมูลนั้นเกิดมีปัญหา อาจทำให้ต้องสูญเสียข้อมูลทั้งหมดในฐานข้อมูลได้
6. คำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
เนื่องจากฐานข้อมูลเป็นศาสตร์ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างยาวนานจึงมีศัพท์เฉพาะทางด้านฐานข้อมูลอยู่หลายคำที่ผู้ศึกษาด้านฐานข้อมูลจำเป็นต้องเข้าใจและจดจำความหมายให้ได้
6.1 ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ คือ การเก็บข้อมูลในรูปของตาราง (Table) หลาย ๆ ตารางที่มีความสัมพันธ์กัน ในแต่ละตารางแบ่งออกเป็นแถวๆ และในแต่ละแถวจะแบ่งเป็นคอลัมน์ (Column)
6.2 ตาราง (Table) เป็นส่วนที่ใช้เก็บข้อมูลภายในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า เอนทิตี้ (Entity) หรือรีเลชั่น (Relation) โดยตารางจะประกอบด้วยข้อมูลตามแนวตั้งเรียกว่า “คอลัมน์” และข้อมูลตามแนวนอนเรียกว่า “แถว”
6.3 คอลัมน์ (Column) มีชื่ออื่น คือ ฟิลด์ (Field) หรือ แอททริบิวต์ (Attribute) สำหรับระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ มีหน้าที่ในการเก็บข้อมูลแบบเดียวกันเอาไว้ด้วยกัน เช่น คอลัมน์ “ชื่อ” ใช้เก็บข้อมูลรายชื่อเท่านั้นคอลัมน์ “นามสกุล” ใช้เก็บข้อมูลนามสกุลเท่านั้นหรือคอลัมน์ “หมู่โลหิต” ก็จะเก็บแต่หมู่โลหิต A, B, O หรือAB เท่านั้น
6.4 แถว (Row) มีชื่ออื่นคือ เรคอร์ด (Record) หรือทูเพิล (Tuple) เป็นข้อมูลตามแนวนอนของตารางมีหน้าที่ในการเก็บกลุ่มข้อมูลของฟิลด์หลายๆ ฟิลด์ที่เป็นข้อมูลชุดเดียวกัน เช่น แถวข้อมูลของนายสุข นามสกุลไร้ทุกข์ จะประกอบด้วย หมายเลขประจำตัว ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด และหมู่โลหิตของนายสุข ไร้ทุกข์
ชื่อตาราง (Table )___________________ ชื่อเอนทิตี้ (Entity)___________________
ตัวอย่าง
จัดทำโดย
นางสาวทิพย์สุคนธ์ พันธ์กิ่ง (ครูกั้ง)
กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์)
โรงเรียนบุญวัฒนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา