ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นบทประพันธ์ประเภทลิลิต ประพันธ์ขึ้นโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสและ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ เพื่อสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในวาระงานพระราชพิธีฉลองตึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามในรัชกาลที่ ๓
ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นบทประพันธ์ประเภทลิลิต ประพันธ์ขึ้นโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสและ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ เพื่อสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในวาระงานพระราชพิธีฉลองตึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามในรัชกาลที่ ๓
๑. พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม)
๒. วรรณคดีเก่าเรื่อง ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ
๓. จินตนาการของผู้แต่ง คือ ช่วงบทนิราศ
๑. เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
๒. ฉลองตึกวัดพระเชนตุพนฯ สมัยรัชกาลที่ ๓
๓. สร้างสมบารมีของผู้แต่ง(เพราะผู้แต่งขอไว้ว่าถ้าแต่งเสร็จขอให้สำเร็จสู่พระนิพพาน )
พระราชประวัติ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ประสูติกาลแต่เจ้าจอมมารดาจุ้ย (ต่อมาได้เลื่อนยศเป็นท้าวทรงกันดาล) เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๓๓ มีพระนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวาสุกรี ผนวชเป็นสามเณรเมื่อพระชันษาได้ ๑๒ ปี เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๕ ผนวชเป็นพระภิกษุ แล้วเสด็จไปประทับ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ทรงศึกษาหนังสือไทยและภาษาบาลีตลอดทั้งวิชาอื่น ๆ จากสมเด็จพระพนรัตน์ จนมีพระปรีชาสามารถ ทั้งทางคดีโลก และคดีธรรม มีผลงานอันเป็นพระราชนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก
แต่งด้วยลิลิตสุภาพ ประกอบด้วย ร่ายสุภาพ โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลงสี่สุภาพ แต่งสลับกันไปตามความเหมาะสมของเนื้อหา จำนวน ๔๓๙ บท โดยได้แบบอย่างการแต่งมาจากลิลิตยวนพ่ายที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ลิลิตเปรียบได้กับงานเขียนมหากาพย์ จัดเป็นวรรณคดีประเภทเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ นับเป็นวรรณคดีที่มุ่งสดุดีวีรกรรมด้านการรบของวีรบุรุษของชาติ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยเริ่มต้นด้วยร่ายสุภาพซึ่งเป็นบทยอพระเกียรติและสดุดีความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง โดยแต่งให้คำสุดท้ายของบทประพันธ์บทต้น ส่งสัมผัสมายังคำที่ ๑ หรือคำที่ ๒ หรือคำที่ ๓ ของบทต่อไป เชื่อมกันอย่างนี้ตลอดทั้งเรื่อง เรียกว่า เข้าลิลิต
ลักษณะคำประพันธ์ของลิลิตตะเลงพ่าย มีดังนี้
๑) ร่ายสุภาพ
๒) โคลงสองสุภาพ
๓) โคลงสามสุภาพ
๔) โคลงสี่สุภาพ
เบื้องนั้นนฤนาถผู้ สยามินทร์
เบื่ยงพระมาลาผิน ห่อนพ้อง
ศัตราวุธอรินทร์ ฤาถูก องค์เอย
เพราะพระหัตถ์หากป้อง ปัดด้วยขอทรง
บัดมงคลพ่าห์ไท้ ทวารัติ
แว้งเหวี่ยงเบี่ยงเศียรสะบัด ตกใต้
อุกคลุกพลุกเงยงัด คอคช เศิกแฮ
เบนบ่ายหงายแหงนให้ ท่วงท้อทีถอย
พลอยพล้ำเพลียกถ้าท่าน ในรณ
บัดราชฟาดแสงพล พ่ายฟ้อน
พระเดชพระแสดงดล เผด็จคู่ เข็ญแฮ
ถนัดพระอังสาข้อน ขาดด้าวโดยขวา
อุรารานร้าวแยก ยลสยบ
เอนพระองค์ลงทบ ท่าวดิ้น
เหนือคอคชซอนซบ สังเวช
วายชิวาตม์สุดสิ้น สู่ฟ้าเสวยสวรรค์
คำว่า ตะเลง หมายถึง มอญ พ่าย แปลว่า แพ้ คำว่า ตะเลงพ่าย แปลตามตัวอักษรคือ มอญแพ้ แต่พม่าเป็นผู้ที่ปกครองมอญอยู่ คำว่าตะเลงในที่นี้จึงหมายถึง พม่าและมอญเป็นผู้แพ้สงคราม เนื้อหาในลิลิตตะเลงพ่ายมี ๑๒ ตอน โดยเริ่มต้นเรื่องด้วยร่ายสุภาพและโคลงสี่สุภาพยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งกล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช สมเด็จพระนเรศวรทรงขึ้นครองราชย์โดยมีสมเด็จพระเอกาทศรถเป็นพระมหาอุปราช พระเจ้าหงสาวดีทราบข่าวไทยผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ก็ปรารถว่าจะมาตีไทยเพื่อหยั่งเชิง จึงมีพระราชบัญชาให้พระมหาอุปราชายกทััพมาตีไทย เมื่อลานางสนมแล้วก็ยกทัพเจ้ามาทางเมืองกาญจนบุรี
ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรปรารถจะไปตีเมืองเขมร ครั้นรู้ข่าวก็ทรงเตรียมการสู้ศึกพม่า ทรงตรวจแลัตระเตรียมกองทัพ พระมหาอุปราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกเข้ามาปะทะทัพหน้าของไทย ส่วนสมเด็จพระนเรศวรก็ทรงปรึกษาเพื่อหาทางเอาชนะข้าศึก เมื่อทัพหลวงเคลื่อนพลช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรและช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถกำลังตกมัน ก็เตลิดเข้าไปในวงล้อมของข้าศึก ณ ตำบลตระพังตรุ สมเด็จพระนเรศวรทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา สมเด็จพระเอกาทศรถทรงทำยุทธหัตถีกับมางจาชโร และได้รับชัยชนะทั้งสองพระองค์ เมื่อพระมหาอุปราชาถูกฟันขาดคอช้าง กองทัพหงสาวดีก็แตกพ่ายกลับไป
สมเด็จพระนเศวรทรงปูนบำเหน็จทหารและปรึกษาโทษนายทัพนายกองที่ตามช้างทรงเข้าไปในกองทัพพม่าไม่ทัน สมเด็จพระวันรัตทูลขอพระราชทานอภัยโทษแทนแม่ทัพนายกองทั้งหมด สมเด็จพระนเรศวรก็โปรดพระราชทานอภัยโทษให้ โดยให้ยกทัพไปตีทวายและตะนาวศรีเป็นการแก้ตัว จากนั้ันได้ทรงจัดการทำนุบำรุงหัวเมืองทางเหนือ เจ้าเมืองเชียงใหม่มาสวามิภักดิ์ขอเป็นเมืองขึ้น สมเด็จพระนเรศวรทรงรับทูตเชียงใหม่และจบลงด้วยการยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวร ตอนท้ายกล่าวถึงธรรมะสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน และบอกจุดมุ่งหมายในการแต่งบอกชื่อผู้แต่ง สมัยที่แต่งและตำอธิษฐานของผู้ทรงนิพนธ์ คือ ขอให้บรรลุโลกุตรธรรม แต่ถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็ขอให้ได้เป็นกวีทุกชาติไป
- รูปแบบ ลิลิตตะเลงพ่ายแต่งเป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพ ได้แก่ โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพและโคลงสี่สุภาพสลับกันตามความเหมาะสมของเนื้อหา ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นวรรณคดีแนวประวัติศาสตร์และเป็นวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติที่มุ่งสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช การที่ผู้แต่งเลือกใช้คำประพันธ์ประเภทร่ายสุภาพและโคลงสุภาพในงานประพันธ์ จึงนับว่าเหมาะสมอย่างยิ่งเพราะคำประพันธ์ทั้งสองประเภทนี้นิยมใช้ในการพรรณนาเรื่องราวที่สูงส่ง ศักดิ์สิทธิ์
- สาระ แก่นสำคัญของลิลิตตะเลงพ่าย คือ การยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในด้านพระปรีชาสามารถทางการรบ โดยการกระทำสงครามยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดีและได้รับชัยชนะอย่างงดงาม นอกจากพระปรีชาสามารถทางการรบแล้ว ผู้แต่งยังได้เน้นพระปรีชาสามารถในด้านการปกครองและพระจริยวัตรอันกอปรด้วยทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ สังคหวัตถุ ๔ ประการ และพระจักรวรรดิวัตร ๑๒ ประการ
- โครงเรื่อง ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นวรรณคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงนำมาจากประวัติศาสตร์ ซึ่งมีขอบเขตกำหนดเนื้อกาไว้เพียงเรื่องการทำสงครามยุทธหัตถี แต่เพื่อมิให้เนื้อเรื่องแห้งแล้งขาดชีวิตชีวาจึงทรงเพิ่มเติมเรื่องที่ไม่ใช่การสงครามเข้าไป เนื้อหาที่สำคัญเป็นหลักของเรื่อง “ตะเลงพ่าย” คือ การดำเนินความตามเค้าเรื่องพงศาวดาร ได้แก่ การทำสงคราม การต่อสู้แบบยุทธหัตถี การจัดทัพ และรายละเอียดต่างๆ ซึ่งเป็นไปตามตำราพิชัยสงครามและโบราณราชประเพณีทุกอย่าง สำหรับเนื้อหาที่เป็นส่วนเพิ่มเติมส่วนเสริมเรื่อง คือ บทประพันธ์ที่เป็นลักษณะนิราศ ซึ่งพรรณนาเกี่ยวกับการเดินทางและการคร่ำครวญถึงนางผู้เป็นที่รักโดยผ่านบทบาทของพระมหาอุปราชา
พระองค์มีความเป็นนักปกครองที่ดี ทรงเลือกใช้คนโดยพิจารณาจากคุณวุฒิรวมถึงทรงปรับปรุงตำราพิชัยสงครามจากของเดิมให้เหมาะสม และรัดกุมมากยิ่งขึ้น
มีความเป็นนักรบ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นนักรบที่แท้จริง เพราะทรงรอบรู้เรื่องกระบวนศึก การจัดทัพ การเคลื่อนทัพ การตั้งค่ายตามตำราพิชัยสงครามที่สำคัญคือ พระองค์มีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นเกรงต่อข้าศึก แม้จะอยู่ในลักษณะเสียเปรียบก็ไม่เกรงกลัว แต่กลับใช้บุคลิกภาพอันกล้าหาญของพระองค์เผชิญกับข้าศึกด้วยพระทัยที่มั่นคงเข้มแข็ง ดังตอนที่พระองค์ตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพพม่ามอญ
มีพระปรีชาญาณ คือ ความฉลาด รอบรู้ มีไหวพริบ สมเด็จพระนเรศวรทรงมีพระปรีชาญาณในหลายๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการทำศึกสงครามพระองค์ทรงสุขุม รอบคอบ ทำการศึกโดยไม่วู่วามขาดสติ ทรงพิจารณาอุบายกลศึกด้วยความรู้และประสบการณ์อย่างแท้จริง ตอนที่แสดงให้เห็นความมีพระปรีชาญาณของพระองค์ เช่น ตอนที่พระองค์ตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก พระองค์ทรงเห็นนายทัพฝั่งตรงข้ามที่ขี่ช้างมีฉัตรกั้นถึงสิบหกเชือก ยากที่จะแยกแยะได้ว่าใครเป็นใคร แต่ด้วยพระปรีชาญาณและช่างสังเกตก็เห็นนายทัพคนหนึ่งขี่ช้างมีฉัตรกั้นอยู่ใต้ร่มไม้ข่อย มีพลทหารสี่เหล่าเรียงรายอยู่จำนวนมากจึงคาดว่านายทัพคนนั้นคือ พระมหาอุปราชาแน่นอน จึงตรงเข้าไปทรงท้าพระมหาอุปราชากระทำยุทธหัตถีด้วยวาจาสุภาพ อ่อนโยนและให้เกียรติ ซึ่งแสดงถึงพระปรีชาญาณและไหวพริบของ
มีความกตัญญู พระมหาอุปราชาทรงเกรงสมเด็จพระนเรศวรในเรื่องฝีมือและความอาจหาญ แต่จำเป็นต้องยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา เพราะขัดพระบรมราชโองการไม่ได้ ในระหว่างเดินทัพมาได้เกิดลางร้ายต่างๆ พระมหาอุปราชาเกิดความโศกเศร้าเสียพระทัพเพราะไม่มั่นพระทัพว่าจะได้รับชัยชนะ ทำให้ทรงห่วงใยพระราชบิดายิ่งนัก ข้อความที่แสดงให้เห็นความกตัญญูของพระมหาอุปราชา คือ ตอนที่คร่ำครวญถึงพระราชบิดาว่าจะว้าเหว่และขาดคู่คิดในการทำสงคราม และพระองค์เองก็ไม่สามารถทดแทนบุญคุณของพระบิดาได้
มีพระทัยอ่อนไหว พระมหาอุปราชาทรงพระทมทุกข์มาก ไม่ต้องการออกรบ เพราะเสียขวัญกำลังใจจากการที่โหรทำนายว่าจะถึงฆาต สูญเสียความภูมิใจในฐานะพระโอรสแห่งกษัตริย์หงสาวดี เพราะถูกเยาะเย้ยให้อับอายในที่ประชุมขุนนาง พระองค์ทรงมีแต่ความเศร้าโศกเสียพระทัยที่ต้องจากบ้านเมือง จากความสุขสบายที่เคยได้รับ เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในวังพรั่งพร้อมด้วยพระสนม เพราะเป็นคนที่อ่อนไหวในอารมณ์ ทำให้ระทมทุกข์ ขณะเดินทางก็คิดถึงนางอันเป็นที่รักด้วยความอาลัยอาวรณ์ตลอดเวลา พบเห็นสิ่งใดก็อดไม่ได้ที่จะนำมาเปรียบเทียบกับความรัก ความคิดถึงที่พระองค์มีให้แก่พระสนม
มีขัตติยมานะ คือ การถือตัวว่าเป็นกษัตริย์ ถึงแม้พระมหาอุปราชาจะมีความประหวั่นพรั่นพรึงว่าจะต้องสูญเสียชีวิตในการทำศึกสงคราม และมีความโศกเศร้าสักเพียงใด แต่ด้วยขัตติยมานะ พระองค์ก็เดินทัพไปด้วยความหยิ่งทะนงในพระองค์เอง ขัตติยมานะของพระองค์ทำให้เมื่อพระองค์ทราบแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นจอมทัพฝ่ายไทย ก็วางแผนทำศึกทันทีทั้งๆที่ยังมีความหวาดหวั่นในพระทัยอยู่
ฉากที่ปรากฏในเรื่องตอนที่เรียน คือ เหตุการณ์ภายในเมืองมอญและบรรยากาศระหว่างการเดินทัพของพระมหาอุปราชาจากเมืองมอญสู่กาญจนบุรี ผู้แต่งได้บรรยายฉากและบรรยากาศได้สมจริงสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงดำเนินเรื่องตามธรรมเนียมนิยมในการแต่ง กล่าวคือ เริ่มด้วยบทสดุดี มีเนื้อเรื่องและตอนท้ายกล่าวสดุดีสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและจบด้วยการกล่าวถึงจุดมุ่งหมายของกวี บอกชื่อความเป็นมาและคำอธิษฐานของพระองค์ท่าน การนำเสนอเรื่อง พระองค์ไม่ได้สอดแทรกคพวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ลงไป คือ ไม่นำตัวตนของกวีไปแทรกในเรื่อง
ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีมรดกล้ำค่าที่คนไทยควรศึกษาเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในวีรกรรมของนักรบไทยและภูมิใจในภาษาไทยที่กวีใช้ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างมีคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ ด้วยการเลือกใช้ถ้อยคำได้อย่างไพเราะ ดังนี้
การใช้คำที่เหมาะแก่เนื้อเรื่องและฐานะของบุคคล กวีเลือกใช้คำที่แสดงฐานะของบุคคล ดังนี้
เบื้องนั้นนฤนาถผู้ สยามินทร์
เบี่ยงพระมาลาผิน ห่อนพ้อง
ศัสตราวุธอรินทร์ ฤาถูก องค์เอย
เพราะพระหัตถ์หากป้อง ปัดด้วยขอทรง
ความไพเราะของถ้อยคำหรือความงามของถ้อยคำนั้น พิจารณาที่การใช้สัมผัส การเล่นคำ เล่นความ การเลียนเสียงธรรมชาติ เป็นต้น
กวีเลือกใช้ถ้อยคำในการบรรยาย พรรณนาและเปรียบเทียบได้อย่างเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง ทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพชัดเจน ดังนี้
- การใช้คำให้เกิดจินตภาพ เช่น การใช้คำที่แสดงให้เห็นภาพการต่อสู้อย่างห้าวหาญของพลทหารทั้งสองฝ่ายที่ผลัดกันรุกรับขับเคี่ยวกันด้วยอาวุธหลากหลายทั้งขอ ง้าว ทวน หอก ธนู จนต่างฝ่ายล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
- การใช้โวหารโดยการเปรียบเทียบ ว่าสมเด็จพระนเรศวรมีฤทธิ์เหมือนพระรามยามต่อสู้กับทศกัณฐ์ ข้าศึกศัตรูที่พ่ายแพ้ไปเหมือนพลยักษ์ สมเด็จพระนเรศวรก็เหมือนองค์พระนารายณ์อวตารลงมา
- การใช้ถ้อยคำสร้างอารมณ์และความรู้สึก แม้ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และยอพระเกียรติพระมหากษัตริย์ แต่ด้วยความปรีชาในด้านภาษาอย่างลึกซึ้งของกวี กวีสามารถใช้ถ้อยคำ ทำให้ผู้อ่านเกิดความสะเทือนอารมณ์ เกิดความรู้สึกเห็นใจ เศร้าใจ ดีใจ ภูมิใจ
เช่น พระเจ้าหงสาวดีตรัสประชดพระมหาอุปราชาว่า กษัตริย์กรุงศรีอยุธยามีพระโอรสที่กล้าหาญไม่ครั่นคร้ามจ่อการศึกสงคราม แต่พระโอรสของพระองค์เป็นคนขลาด ทำให้พระมหาอุปราชาทรงอับอายและเกรงพระราชอาญา จึงเกิดขัตติยมานะยอมกระทำตามพระราชประสงค์ของพระราชบิดา
ขนบธรรมเนียมในการศึกที่ปรากฏในเรื่อง ได้แก่ เมื่อพระมหาอุปราชาจะออกศึก พระเจ้าหงสาวดีทรงประสาทและให้โอวาทการสร้างขวัญกำลังใจแก่ทหารและความเด็ดขาดในการรบ ความรู้เกี่ยวกับตำราพิชัยสงคราม การจัดทัพ การตั้งทัพ ประเพณี และพิธีกรรมเกี่ยวกับสงคราม เช่น พิธีโขลนทวารตัดไม้ข่มนาม เพื่อการสร้างขวัญกำลังใจแก่ทหาร ดังที่ปรากฏในบทประพันธ์ที่กล่าวถึงพิธีโขลนทวารซึ่งเป็นพิธีบำรุงขวัญทหารก่อนออกศึกเหล่าทหารต่างฮึกเหิมและมีกำลังใจเพราะมีพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์และประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้
ความเชื่อที่ปรากฏในเรื่อง ได้แก่ ความเชื่อของบรรพบุรุษ ความเชื่อเรื่องความฝันบอกเหตุ ความเชื่อเรื่องลางร้ายบอกเหตุล่วงหน้า เชื่อคำทำนายทายทักของโหร เช่น ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรทรงพระสุบินนิมิต จึงตรัสให้หาพระโหราจารย์เพื่อทำนายนิมิต และตอนเกิดลางร้ายของพระมหาอุปราชา เป็นต้น
ลางร้ายของพระมหาอุปราชา
โคลง ๔
๑๖/๑๔๐ ๏ พระฝืนทุกข์เทวษกล้ำ แกล่ครวญ
ขับคชบทจรจวน จักเพล้
บรรลุพนมทวน เถื่อนที่ นั้นนา
เหตุอนาถหนักเอ้ อาจให้ชนเห็น ฯ
๑๗/๑๔๑ ๏ เกิดเป็นหมอกมืดห้อง เวหา หนเฮย
ลมชื่อเวรัมภา พัดคลุ้ม
หวนหอบหักฉัตรา คชขาด ลงแฮ
แลธุลีกลัดกลุ้ม เกลื่อนเพี้ยงจักรผัน ฯ
๑๘/๑๔๒ ๏ พระพลันเห็นเหตุไซร้ เสียงดวง แดเฮย
ถนัดดั่งภูผาหลวง ตกต้อง
กระหม่ากระเหม่นทรวง สั่นซีด พักตร์นา
หนักหฤทัยท่านร้อง เรียกให้โหรทาย ฯ
๑๙/๑๔๓ ๏ ทั้งหลายล้วนจบแจ้ง เจนไสย ศาสตร์แฮ
เห็นตระหนักแน่ใน เหตุห้าว
จักทูลบ่ทูลไท เกรงโทษ ท่านนา
เสนอแต่ดีกลบร้าว เกลื่อนร้ายกลายดี ฯ
๒๐/๑๔๔ ๏ เหตุนี้ผิวเช้าชั่ว ฉุกเข็ญ
เกิดเมื่อยามเย็นดี ดอกไท้
อย่าขุนอย่าลำเค็ญ ใจเจ็บ พระเอย
พระจักลุลาภได้ เผด็จเสี้ยนศึกสยาม ฯ
ถอดความ
พระมหาอุปราชาฝืนความทุกข์ของตนยกทัพมาถึงพนมทวน เมืองกาญจนบุรีเห็นบ้าน เมืองว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดออกสู้รบ จะจับคนไทยมาสอบถามก็ไม่มีเลยสักคน จึงรู้ว่าคนไทยทราบข่าวและหลบหนีไปหมดแล้ว พระมหาอุปราชาจึงให้ยกทัพเข้าไปในเมือง แล้วยกทัพต่อไปถึงตำบลพนมทวนเกิดลมเวรัมภาพัดหอบเอาฉัตรหัก พระมหาอุปราชาตกพระทัย ทรงให้โหรทำนาย โหรทราบถึงลางร้ายแต่ไม่กล้ากราบทูลตามความจริง กลับทำนายว่า เหตุการณ์เช่นนี้ถ้าเกิดในตอนเช้าไม่ดี ถ้าเกิดในตอนเย็นจะได้ลาภ และจะชนะศึกสยามในครั้งนี้
ลิลิตตะเลงพ่ายได้แสดงคุณธรรมด้านต่างๆ ที่มีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิต เช่น ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ความเมตตา ความนอบน้อม การให้อภัย เป็นต้น โดยสอดแทรกอยู่ในบทประพันธ์ ผู้อ่านจะสามารถซึมซับคุณธรรมเหล่านี้ผ่านความงามของภาษา สามารถจรรโลงใจผู้อ่านได้ เช่น ตอนที่พระเจ้านันทบุเรง ทรงสอนการศึกสงครามแก่พระมหาอุปราชา ก็เป็นข้อคิดที่มีคุณค่ายิ่งต่อการดำเนินชีวิตทุกยุคสมัย
(ที่มา : https://teachertonthai.wordpress.com/ )
เส้นทางการเดินทัพของพระมหาอุปราชา
พระมหาอุปราชานำทัพผ่านป่าเขามาอย่างช้าๆ เดินทางเฉพาะเวลาเช้าและเวลาเย็น กลางวันร้อนก็หยุดพักผ่อน เพื่อให้รี้พล ช้าง ม้า ร่าเริงและกล้าหาญ เมืองและตำบลที่ทัพของพระมหาอุปราชาผ่านเรียงลำดับ ดังนี้
๑. เมืองหงสาวดี
๒. ด่านพระเจดีย์สามองค์ ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เจดีย์องค์หนึ่งอยู่ในเขตมอญ อีกสององค์อยู่ในเขตไทย เดิมเป็นเพียงก้อนหินรูปเจดีย์ เพิ่งสร้างเป็นเจดีย์จริงในสมัยรัชกาลที่ ๕ นักวิชาการบางท่านบ้างก็ว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวร
๓. ตำบลไทรโยครับสั่งให้ตั้งค่าย ทรงปรึกษาแผนการที่จะเข้าตีเมืองกาญจนบุรี แล้วเคลื่อนทัพไปตามแผนการ
๔. ลำน้ำกระเพิน พระยาจิดตองคุมพลสร้างสะพานเรือกไม้ไผ่ข้ามลำน้ำ
๕. เมืองกาญจนบุรี ถึงพนมทวนในเย็นวันนั้น เกิดลมเวรัมภาพัดฉัตรหัก โหรแสร้งทำนายว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ถ้าเกิดในช่วงช้าจะไม่มี แต่ถ้าเกิดในช่วงเย็นจะเป็นศุภนิมิตได้ชัยชนะแก่ข้าศึก
๖. ตำบลตระพังตรุ เขตจังหวัดกาญจนบุรี ทรงตั้งทัพเป็นแบบดาวล้อมเดือน
๗. ตำบลโคกเผาข้าว เขตจังหวัดสุพรรณบุรี ได้ปะทะกับทหารไทยเวลา ๐๗.๐๐ น.
เส้นทางการเดินทัพของสมเด็จพระนเรศวร
๑. กรุงศรีอยุธยา
๒. ปากโมก : ทรงสุบินเป็นมงคลนิมิต
๓. บ้านสระแก้ว
๔. บ้านสระเหล้า
๕. หนองสาหร่าย : ตั้งค่ายรูปดอกบัว ตรงชัยภูมิครุฑนาม
โขลนทวาร คือ ประตูป่าที่สร้างขึ้นเพื่อให้ทหารลอดผ่านไปประพรมน้ำมนต์จากพราหมณ์หรือพระภิกษุคู่หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนร้านสูงสองข้างประตู
ละว้าเซ่นไก่ คือ พิธีทางไสยศาสตร์ที่บวงสรวงปีศาจหรือเจ้าป่าเจ้าเขาด้วยไก่
ตัดไม้ข่มหนาม คือ พิธีทางไสยศาสตร์ กระทำเพื่อให้มีชัยชนะแก่ข้าศึก โดยเอาไม้ที่มีชื่อเดียวกันกับข้าศึกมาเข้าพิธีพร้อมกับรูปปั้นและชื่อข้าศึก พอได้ฤกษ์พระเจ้าแผ่นดินจะพระราชทานพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ให้แก่ผู้แทนพระองค์ไปฟันไม้และรูปปั้น ชื่อข้าศึกนั้น แล้วรีบกลับมากราบทูลว่าได้ปราบศัตรูตามพระราชกระแสรับสั่งเรียบร้อยแล้ว
เคลื่อนทัพตามเกล็ดนาค ตามตำราพิชัยสงคราม กำหนดว่าวันใดที่นาคหันหัวและหางไปทิศทางใดต้องไปตั้งทัพตามทิศหัวนาค แล้วเคลื่อนทัพไปตามทิศหางนาค คือ ไม่ให้ทวนเกล็ดนาค จะเป็นสิริมงคลแก่กองทัพ
การตั้งทัพตามตำราภูมิ การตั้งทัพก่อนออกรบก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการตั้งกระบวนทัพ ดังนั้นแม่ทัพจึงจำเป็นต้องทราบว่าภูมิประเทศของศัตรูเป็นแบบใด หรือตั้งทัพในลักษณะภูมิแบบใด ชื่อแม่ทัพต้องข่มนามดังกล่าว หรือตั้งทัพให้สถานที่ข่มนามนั้น เพื่อกองทัพจะได้มีลักษณะที่ดีกว่า และสามารถเอาชนะข้าศึกได้ การสังเกตลักษณะภูมิต่างๆ ดังนี้
ครุฑนาม มีจอมปลวก ต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง
พยัคฆนาม ตั้งอยู่แนวป่าริมทาง
สีหนาม มีต้นไม้สามต้นเรียงกัน มีภูเขาใหญ่ จอมปลวกใหญ่มหึมา
สุนัขนาม ตั้งทัพใกล้ของโบราณ หรือริมทางใกล้หมู่บ้าน
นาคนาม ตั้งรายทางไปใกล้คลอง ห้วย แม่น้ำไหล
มุสิกนาม มีดิน โพรง ปลวก มีรู
อัชนาม ตั้งทัพกลางทุ่ง
คชนาม สถานที่มีหญ้าแกมไม้ไผ่
วิธีการดูแม่ทัพว่าขณะนั้นมีนามอะไรให้ใช้วิธี ดังนี้
หากข้าศึกตั้งภูมิสีหนาม กองทัพก็ต้องตั้งสีหนามเช่นกัน แต่ให้รบก่อน โดยล่อให้ข้าศึกออกมา ให้สูดลมหายใจดูถ้าจมูกข้างซ้ายคล่องจะได้ชัยชนะ
หากข้าศึกตั้งคชนามและพยัคฆนาม ให้ตั้งสีหนามข่ม
หากข้าศึกตั้งนาคนาม ให้ตั้งครุฑนามข่ม
หากข้าศึกตั้งสุนัขนาม ให้ตั้งพยัคฆนามข่ม
หากข้าศึกตั้งอัชนาม ถือว่าเป็นภูมิที่ให้โทษในตัวอยู่แล้ว ตำราดูหัวนาค หางนาค การเคลื่อนพลตามเกล็ดนาค ต้องทราบว่าวันที่ยกทัพ นาคหันหัวไปทางทิศใด ต้องเดินทัพไปทางทิศเดียวกับทิศที่นาคหันหัวไป ถือเป็นการเคลื่อนพลย้อนเกล็ดนาค และเป็นสิริมงคลแก่กองทัพ
การนับโมงยามแบบโบราณ
การนับโมงยามแบบโบราณ แบ่งช่วงเวลาดังนี้
ปฐมยาม ระหว่างเวลา ๑๘.๐๐ – ๒๑.๐๐ น.
ทุติยาม ระหว่างเวลา ๒๑.๐๐ – ๒๔.๐๐ น.
ตติยาม ระหว่างเวลา ๒๔.๐๐ – ๐๓.๐๐ น.
ปัจฉิมยาม ระหว่างเวลา ๐๓.๐๐ – ๐๗.๐๐ น.
หรืออาจแบ่งเป็น ๓ ช่วง ๆ ละ ๔ ชั่วโมง แบ่งเป็น ยามต้น (ปฐมยาม) ยามกลาง (มัชฌิมยาม) และ ยามปลาย (ปัจฉิมยาม)
สุบินนิมิต คำว่า สุบินนิมิต หากเปิดดูพจนานุกรมไทยที่ใช้เป็นมาตรฐาน คือพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน สุบิน เป็นคำนาม หมายถึง ความฝัน ราชาศัพท์ใช้ว่า พระสุบิน มาจากภาษาบาลีว่า สุปิน ส่วนคำว่า มี 2 ความหมาย ความหมายที่หนึ่ง เป็นคำกริยา หมายถึง นิรมิต สร้าง แปลง ทำ มาจากภาษาบาลีว่า นิมฺมิต มาจากภาษาสันสกฤตว่า นิรฺมิต ส่วนความหมายที่สอง เป็นคำนาม หมายถึง เครื่องหมาย ลาง เหตุ เค้ามูล มาจากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตว่า นิมิตฺต ดังนั้น หากสรุปรวมคำว่า สุบินนิมิต จึงน่าจะหมายถึง ความฝันที่เป็นลางบอกเหตุ นั่นเอง
โบราณเชื่อว่าสาเหตุของความฝันหรือสุบินนิมิต มี ๔ ประการ คือ
(๑) บุพนิมิต ฝันบอกลางล่วงหน้า
(๒) จิตนิวรณ์ ฝันเพราะจิตผูกพันเป็นห่วง
(๓) เทพสังหรณ์ ฝันเพราะเทวดาดลใจให้รู้ล่วงหน้า และ
(๔) ธาตุโขภ ฝันเพราะธาตุต่าง ๆ ในร่างกายไม่ปกติ
ดังนั้น เวลาที่เราฝัน เราก็ต้องมาดูสาเหตุว่าฝันเพราะเหตุใด บางทีก็แม่นจริง ๆ อยู่เหมือนกัน
พระสุบินนิมิตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทรงสุบินนิมิตก่อนชนช้างกับพระมหาอุปราชา ซึ่งปรากฏในหนังสือ ลิลิตตะเลงพ่าย
เทวัญแสดงเหตุให้ สังหรณ์ เห็นแฮ
เห็นกระแสสาคร หลั่งล้น
ไหลลบวนาดร แดนตก ทิศนา
พระแต่เพ่งฤาพ้น ที่น้ำนองสาย
พระกรายกรย่างเยื้อง จรลี
ลุยมหาวารี เรี่ยวกว้าง
พอพานพะกุมภีล์ หนึ่งใหญ่ ไสร้นา
โถมปะทะเจ้าช้าง จักเคี้ยวขบองค์
พระทรงแสงดาบแก้ว กับกร
โจมประจัญฟันฟอน เฟื่องน้ำ
ต่างฤทธิ์ต่างรบรอน ราญชีพ กันแฮ
สระท้านทุกถิ่นท่าถ้ำ ท่งท้องชลธี
นฤบดีโถมถีบสู้ ศึกธาร
ฟอนฟาดสุงสุมาร มอดม้วย
สายสินธุ์ซึ่งนองพนานต์ หายเหือด แห้งแฮ
พระเร่งปรีดาด้วย เผด็จเสี้ยนเศิกกษัย
ฯลฯ
พระสุบินนิมิตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชซึ่งฝันว่ามีน้ำท่วมป่า พระองค์เสด็จลุยน้ำและพบกับจระเข้ใหญ่ (กุมภีล์) ได้เข้าต่อสู้กัน ทรงประหารจระเข้นั้นด้วยฝีพระหัตถ์ หลังจากนั้น สายน้ำก็เหือดแห้งไป เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้โหรหลวงทำนาย โหรคือพระยาโหราธิบดีก็ทำนายว่า พระองค์จะได้ต่อสู้กับพระมหาอุปราชา และสามารถเอาชนะพระมหาอุปราชาได้ ซึ่งตามประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่าพระสุบินนิมิตของพระนเรศวรกลายเป็นเหตุการณ์จริง ในสงครามที่เรียกว่า สงครามยุทธหัตถี (พ.ศ. ๒๑๓๕)
ที่มา : รูปเวลาและการเดินทัพ https://writer.dek-d.com/biw18940/writer/viewlongc.php?id=972189&chapter=43
หลังจากพระมหาอุปราชาใช้ง้าวฟันพระนเรศวรเเล้ว พระองค์ก็ทรงเบี่ยงหลบจนถูกง้าวฟันที่พระมาลา หาได้ต้องพระวรกายไม่เพราะพระองค์ปัดด้วยพระเเสงของ้าว เมื่อนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพก็สะบัดหลุดเเละได้ล่างจนสามารถงัดช้างพระมหาอุปราชาจนเเหงนหงายเสียที ฝ่ายพระนเรศวรก็ใช้พระเเสงของ้าว (เจ้าพระยาเเสง(เเสน)พลพ่าย) ฟันต้องพระอังสาขวาพระมหาอุปราชาจนขาดสะพายเเล่ง