แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการหรือแนวดำเนินการของผู้สอนที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยมีการกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและแหล่งการเรียนรู้ ตลอดจนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับหลักสูตร
องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้
1. มาตรฐาน/ตัวชี้วัด
2. สอนเรื่องอะไรบ้าง (บูรณาการ เช่น นโยบายชาติ/ท้องถิ่น)
3. ส่งเสริมสมรรถนะ และคุณลักษณะอย่างไร
4. สอนอย่างไร โดยคำนึงถึง ข้อที่ 1 (มีเทคนิคอย่างไร)
5. ประเมินอย่างไร
6. ปัญหา/อุปสรรค การพัฒนา (นำสู่การวิจัย)
แนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล มุ่งเน้นความถนัดความสนใจ และความสามารถ
2. ความพร้อม (นักเรียน - ครู - ชุมชน - โรงเรียน)
3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา (การเรียนไม่จำเป็นต้องอยู่ในโรงเรียนเท่านั้น)
4. ประสิทธิภาพในการเรียน (พัฒนานวัตกรรมใหม่เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอน)
ประโยชน์ของ “แผนการจัดการเรียนรู้”
1) เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนส าหรับครู
2) เป็นเครื่องมือในการวางแผนการจัดการเรียนรู้
3) เป็นแผนที่การสอน หรือเข็มทิศการจัดการเรียนรู้
4) เป็นความก้าวหน้าในวิชาชีพครู
องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้
1. มาตรฐาน/ตัวชี้วัด
2. จุดประสงค์การเรียนรู้ สิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนตามคำอธิบายรายวิชา
การเขียนแผนการเรียนรู้ในรายวิชาต่างๆจะต้องมีการกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ครอบคลุม KPA ทั้งนี้ผู้สอนจะต้องชัดเจนในเรื่องของความรู้ความเข้าใจ ทักษะทางความคิด และการปฏิบัติงานที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ดังนั้นนอกจาก KPA จะเป็นเครื่องมือประเมินของผู้เรียนแล้ว ยังสามารถใช้ในการตรวจสอบประสิทธิ์ภาพของผู้สอนได้ด้วยเช่นเดียวกัน
KPA ย่อมาจากอะไร
KPA ย่อมาจาก Knowledge Practice Attitude หมายถึง เกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนในแต่ละแบบแผนการเรียนรู้ จะประกอบไปด้วย 3 ด้านด้วยกันคือ
การประเมินด้านความรู้ (K) จะนิยมใช้แบบทดสอบในการประเมิน
การประเมินด้านเจตคติหรือคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)จะใช้การประเมินตามสภาพจริงซึ่งมีความซับซ้อนกว่า K P
การประเมินด้านทักษะและการปฏิบัติ (P) จะใช้ภาระงานหรือชิ้นงานมาประกอบกับเกณฑ์การให้คะแนน (Rubrics) มาประเมิน เพื่อวัด K และ P
จุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรม
จุดประสงค์ที่วิเคราะห์ออกมาจากจุดประสงค์ทั่วไป โดยกำหนดพฤติกรรมสำคัญที่คาดหวังให้เกิดกับผู้เรียนในการเรียนรู้
ลักษณะของ
จุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรม
1. สอดคล้องกับจุดประสงค์ทั่วไป
2. แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของผู้เรียน
ประโยชน์ของ
จุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรม
1. เลือกสื่อที่สอดคล้องกับบทเรียน
2. จัดกิจกรรมการสอนได้อย่างเหมาะสม
3. เตรียมการวัดประเมินผลได้อย่างเหมาะสม
4. ทำการสอนบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
3. สาระการเรียนรู้
สาระการเรียนรู้แกนกลาง
บูรณาการสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น
- ท้องถิ่น หมายถึง บริเวณสถานที่รวทั้งสภาพแวดล้อมและสังคมวัฒนธรรมที่นักเรียนส่วนมากเกี่ยวข้องคุ้นเคย มีขอบข่ายครอบคลุมทั้งหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด กลุ่มจังหวัดและภูมิภาคของท้องถิ่น
- กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น หมายถึง ขอบข่ายเนื้อหาการเรียนรู้ที่สำนักงานเขตพื้นที่ วิเคราะห์ และกำหนดขึ้น เพื่อให้สถานศึกษาใช้เป็นแนวทางในการจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามสภาพความพร้อม ความต้องการของสถานศึกษา
บูรณาการสาระการเรียนรู้อาเซียน
- ความรู้เกี่ยวกับอาเซียน ผลการเรียนรู้ : นโยบายอาเซียนเกี่ยวกับการไม่แทรกแซงนโยบายของประเทศสมาชิก ซึ่งบางครั้งอาจขัดแย้งกับนโยบายขององค์กรในการส่งเสริมความเสมอภาค ความยุติธรรมและกฎหมาย (อะไรคือหลักเหตุผลสำหรับการยึดนโยบายไม่แทรกแซงกิจการภายในแม้ว่าการทำเช่นนั้นจะขัดแย้งกับหลักอื่นๆ ของอาเซียน (แนวคิด ประชาชน)
- การเชื่อมโลกกับท้องถิ่น ผลการเรียนรู้ : ประชาชนเป็นได้ทั้งพลเมืองของชุมชน ประเทศและท้องถิ่น (คนเราสามารถใช้วิธีที่แตกต่างอะไรบ้างเพื่อช่วยในการเชื่อมโยงกับบุคคลอื่น (แนวคิด ประชาชน สถานที่)
- การเห็นคุณค่าอัตลักษณ์และความหลากหลาย ผลการเรียนรู้ : เมื่อประชาชนที่แตกต่างกันด้านวิสัยทัศน์และวัฒนธรรมทำงานร่วมกันได้แลกเปลี่ยนความคิดซึ่งส่งผลต่อการช่วยแก้ไขปัญหา : การเข้าใจในอัตลักษณ์ (ของตนและของผู้อื่น) ช่วยให้ประชาชนแก้ไขความขัดแย้งและปัญหาได้อย่างไร (ประชาชน แนวคิด)
- การส่งเสริมความเสมอภาคและความยุติธรรม ผลการเรียนรู้ ค่านิยมต่าง ๆ จากธรรมเนียมประเพณีจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศาสนาและวัฒนธรรมสามารถช่วยให้คนยุคปัจจุบันสร้างความสมดุลย์ระหว่างความต้องการของกลุ่มกับสิทธิของแต่ละบุคคล : ทำอย่างไรประชาชนจะสามารถปรับใช้ค่านิจมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธรรมเนียมประเพณีให้สอดคล้องกับความรับผิดชอบของพลเมืองและทางด้านการศึกษา (แนวคิด ประชาชน)
- การส่งเสริมความเสมอภาคและความยุติธรรม ผลการเรียนรู้ สังคมในกลุ่มเผยถึงค่านิยมด้วยวิธีปฏิบัติต่อกันในกลุ่มและค่านิยมนั้นจะบอกให้กลุ่มทราบว่าควรปฏิบัติต่อกันอย่างไร : เหตุใดการแบ่งแยกซึ่งเกิดขึ้นกับคนส่วนน้อยจึงส่งผลกระทบต่อความยุติธรรมและความเสมอภาคของประชาชนทั้งหมด (ประชาชน แนวคิด)
- การทำงานร่วมกันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและมั่นคง ผลการเรียนรู้ เราสามารถพัฒนาชุมชนของพวกเราได้ถ้าเรามีน้ำใจให้กันและกัน : เราสามารถเป็น "ตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง" ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีเมตตา และมีใจที่เปิดกว้างได้อย่างไร (ประชาชน แนวคิด)
- การทำงานร่วมกันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและมั่นคง ผลการเรียนรู้ เราสามารถเป็นผู้นำได้หลายวิธี : ผู้นำคืออะไร (ประชาชน แนวคิด)
- การทำงานร่วมกันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและมั่นคง ผลการเรียนรู้ ความทรงจำและหรือสิ่งที่เตือนความทรงจำสามารถเยียวยาคนที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจอันเกิดจากภัยพิบัติได้ : ความทรงจำหรือสิ่งที่เตือนความทรงจำมีบทบาทอย่างไรในการเยียวยาคนที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจอันเกิดจากภัยพิบัติ (ประชาชน สถานที่)
- การทำงานร่วมกันเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและมั่นคง ผลการเรียนรู้ แต่ละประเทศ/ภูมิภาคสามารถกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจการศึกษา การทำงาน การดูแลสุขภาพ การมีส่วนร่วมของผู้หญิงด้านเศรษฐกิจหรือการเมือง รวมถึงการอยู่ดีกินดีของเด็กได้ : การกำหนดเป้าหมายสามารถช่วยให้ประเทศจัดสรรทรัพยากรและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร (ประชาชน วัตถุ)
บูรณาการสาระการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง
บูรณาการทักษะชีวิต
บูรณาการโรงเรียนสุจริต
บูรณาการกลุ่มสาระการเรียนรู้
บูรณาการทักษะดิจิทัลสำหรับเด็ก
อัตลักษณ์ดิจิทัล คือ ความสามารถในการสร้าง และจัดการด้านตนออนไลน์ของผู้ใช้งาน และมีส่วนร่วมในการจัดการผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสื่อออนไลน์ ประกอบด้วยทักษะ การเป็นพลเมืองดิจิทัล การเป็นผู้ประกอบการดิจิทัล เป็นต้น
การใช้ดิจิทัล คือ ความสามารถในการใช้อุปกรณ์อิจิทัลและสื่อดิจิทัล ประกอบด้วยทักษะ เวลาในการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล สุขภาวะดิจิทัล เป็นต้น
ความปลอดภัยดิจิทัล คือ ความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงในโลกออนไลน์ เช่น การถูกกลั่นแกล้งทางอินเตอร์เน็ต การนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น ประกอบด้วยทักษะ พฤติกรรมที่มีความเสี่ยง เนื้อหาที่มีความเสี่ยง และการติดต่อที่มีความเสี่ยง เป็นต้น
การรักษาความปลอดภัยดิจิทัล คือ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลในการปกป้องข้อมูลของตนเอง ประกอบด้วยทักษะ การปกปิดรหัสผ่าน การรักษาความปลอดภัยในโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น
ความฉลาดทางอารมณ์ดิจิทัล คือ ความสามารถในการเอาใจใส่และเห็นอกเห็นใจในการใช้สื่อดิจิทัล ประกอบด้วยทักษะ การควบคุมอารมณ์ และการตระหนักถึงอารมณ์ละสังคม
การสื่อสารดิจิทัล คือ ความสามารถในการสื่อสาร และทำงานร่วมกับผู้อื่นผ่านเทคโนโลยีและสื่อดิจิทัล ประกอบด้วยทักษะ การทิ้งร่องรอยดิจิทัล การสื่อสารออไลน์ เป็นต้น
การรู้เท่าทันดิจิทัล คือ ความสามารถในการค้นหา ใช้ประโยชน์ การประเมิน การสร้างเนื้อหา และการแบ่งปัน รวมถึงการคิดอย่างมีวิจารณญาณในการใช้สื่อดิจิทัล ประกอบด้วยทักษะ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การสร้างเนื้อหา เป็นต้น
สิทธิดิจิทัล คือ ความสามารถในการเข้าใจ การรักษาสิทธิส่วนบุคคลตามสิทธิทางกฎหมาย ประกอบด้วยทักษะ ความเป็นส่วนตัว สิทธิทรัพย์สินทางปัญญา และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
4. สาระสำคัญ (ประเด็นความคิด หรือมโนทัศน์หลัก (Key concept)
1. ควรเขียนให้เป็นหลักการในภาพกว้าง (principle) สาระสำคัญคือประเด็นความคิดหรือมโนทัศน์หลัก (Key concept) ของสิ่งที่เรียน ซึ่งจะต้องมีลักษณะเป็นหลักการ ที่แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลต่าง ๆ โดยที่ไม่ได้เป็นการระบุรายละเอียดปลีกย่อยลงไป
2. เนื้อหาของสาระสำคัญแสดงให้เห็นความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ผู้เรียนจะมีหรือเกิดขึ้น (understanding) สิ่งที่จะนำมาเขียนเป็นสาระสำคัญ คือ ความเข้าใจอันเป็นแก่นสำคัญ (จุดประสงค์การเรียนรู้) ที่ผู้เรียนควรจะเข้าใจจากการที่ได้ศึกษารายละเอียดต่าง ๆ จากข้อมูลในเอกสาร ตำรา ซึ่งผู้เรียนจะต้องนำมากลั่นกรองและหาสิ่งที่เป็นสารสำคัญออกมาให้ได้ ซึ่งสาระสำคัญนี้ จะเป็นความเข้าใจที่จะติดแน่น ฝังอยู่คงทนในความทรงจำของนักเรียน ดังนั้น สาระสำคัญจะไม่เขียนระบุรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ลงไป แต่เรียบเรียงเฉพาะความเข้าใจในเชิงลึก ซึ่งเป็นแก่นของเรื่องที่จะจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างแท้จริง
3. สาระสำคัญมีส่วนที่กล่าวถึงคุณค่าและประโยชน์แห่งการศึกษาเรื่องนั้น (advantage) สิ่งที่จะช่วยให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดการเรียนรู้แก่ผู้เรียนก็คือ การกล่าวถึงคุณค่าและประโยชน์ของเรื่องที่จะเรียน โดยในสาระสำคัญจะต้องระบุถึง คุณค่าของสื่งที่จะเรียน ว่ามีประโยชน์อะไร หรืออย่างไรบ้าง หรืออาจจะกล่าวเชื่อมโยงว่า เมื่อมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว จะช่วยให้เข้าใจหรือต่อยอดไปสู่การเรียนรู้ในระดับสูงในเรื่องใดต่อไป เมื่อผู้สอนได้ระบุความสำคัญลงในสาระสำคัญ ก็จะช่วยให้การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้มีน้ำหนัก และก่อให้เกิดความคุ้มค่าในการจัดการเรียนการสอน
ดังนั้น หากจะเขียนสรุปหลักการเขียนสาระสำคัญในแผนการจัดการเรียนการสอน ก็สามารถที่จะสรุปได้ว่า สาระสำคัญ คือ ความคิดอันเป็นแก่นของความเข้าใจในภาพรวมของเรื่องที่จะจัดการเรียนการสอน
ในการเขียนสาระสำคัญ จะต้องเขียนในเชิงหลักการที่ครอบคลุมประเด็นย่อย ๆ ต่าง ๆ โดยไม่ต้องระบุรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านั้นลงไป มีเนื้อหาที่แสดงความรู้ความเข้าใจและคุณค่าหรือประโยชน์ของการศึกษาเรื่องนั้น ๆ อันจะเป็นแนวทางสำคัญในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในสาระสำคัญดังกล่าว
5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
. ความสามารถในการสื่อสาร
เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม
1.1 มีความสามารถในการรับ – ส่งสาร
1.2 มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความเข้าใจของตนเอง โดยใช้ภาษาอย่างเหมาะสม
1.3 ใช้วิธีการสื่อสารที่เหมาะสม
1.4 วิเคราะห์แสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล
1.5 เขียนบันทึกเหตุการณ์ประจำวันแล้วเล่าให้เพื่อนฟังได้
2. ความสามารถในการคิด
เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
2.1 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์
2.2 มีทักษะในการคิดนอกกรอบอย่างสร้างสรรค์
2.3 สามารถคิดอย่างมีวิจารณญาณ
2.4 มีความสามารถในการคิดอย่างมีระบบ
2.5 ตัดสินใจแก้ปัญหาเกี่ยวกับตนเองได้
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาและมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม
3.1 สามารถแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้
3.2 ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา
3.3 เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงในสังคม
3.4 แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา
3.5 สามารถตัดสินใจได้เหมาะสมตามวัย
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น
4.1 เรียนรู้ด้วยตนเองได้เหมาะสมตามวัย
4.2 สามารถทำงานกลุ่มร่วมกับผู้อื่นได้
4.3 นำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
4.4 จัดการปัญหาและความขัดแย้งได้เหมาะสม
4.5 หลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเอง
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม
5.1 เลือกและใช้เทคโนโลยีได้เหมาะสมตามวัย
5.2 มีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี
5.3 สามารถนำเทคโนโลยีไปใช้พัฒนาตนเอง
5.4 ใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
5.5 มีคุณธรรม จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2. ซื่อสัตย์สุจริต
3. มีวินัย
4. ใฝ่เรียนรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง
6. มุ่งมั่นในการทำงาน
7. รักความเป็นไทย
8. มีจิตสาธารณะ
7. ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
ทักษะการเรียนรู้ที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21
3R ทักษะด้านความรู้ (Hard Skills)
R1 Reading คือ สามารถอ่านออก
R2 (W)Riteing คือ สามารถเขียนได้
R3 (A)Rithmatic คือ มีทักษะในการคำนวณ
8C ทักษะทางด้านอารมณ์ หรือ Soft skills
C1 Critical thinking and problem solving คือ มีทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณและสามารถแก้ไขปัญหาได้
C2 Creativity and innovation คือ การคิดอย่างสร้างสรรค์และคิดเชิงนวัตกรรม
C3 Cross-cultural understanding คือ ความเข้าใจในความแตกต่างของวัฒนธรรมและกระบวนการคิดข้ามวัฒนธรรม
C4 Collaboration teamwork and leadership คือ ความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะความเป็นผู้นำ
C5 Communication information and media literacy คือ มีทักษะในการสื่อสารและการรู้เท่าทันสื่อ
C6 Computing and IT literacy คือ มีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และรู้เท่าทันเทคโนโลยี
C7 Career and learning skills คือ มีทักษะอาชีพและการเรียนรู้
C8 Compassion คือ มีความเมตตากรุณา มีคุณธรรม และมีระเบียบวินัย
8. ทักษะทางดิจิทัลสำหรับเด็ก
1. อัตลักษณ์ดิจิท้ล คือ ความสามารถในการสร้าง และจัดการตัวตนออนไลน์ของผู้ใช้งาน มีส่วนร่วมในการจัดการผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสื่อออนไลน์) ได้แก่ การพลเมืองดิจิทัล, การเป็นผู้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ดิจิทัล
2. การใช้ดิจิทัล คือ ความสามารถในการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลและสื่อดิจิทัล รวมทั้งควบคุมการใช้งานเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างชีวิตออนไลน์และออฟไลน์ และมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นผ่านชุมชนออนไลน์ ได้แก่ เวลาที่ใช้อุปกรณ์ดิจิทัล สุขภาวะดิจิท้ล และการมีส่วนร่วมในชุมชน
3. ความปลอดภัยดิจิท้ล คือ ความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงในโลกออนไลน์ เพื่อหลีกเลี่ยงในการใช้งานสื่อติจิทัล เช่น การถูกกลั่นแกล้งทางอินเตอร์เนน็ต การนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือมีควยามรุนแรง การเผยแพร่ภาพอนาจาร ไ้ด้แก่ พฤติกรรมที่มีความเสี่ยง เนื้อหาที่มีคยวามเสี่ยง และติดต่อที่มีความเสี่ยง
4. การรักษาความปลอดภัยดิจิทัล คือ ความสามารถใช้เทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลในการักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมสำปรับการปกป้องข้อมูลของตนเอง และการตรวจสอบการคุกคามในโลกออนไลน์ เช่น การโจรกรรมข้อมูล และกลอกลวง เป็นต้น ได้แก่ การปกป้องรหัสผ่าน การรักษาความปลอดภัยในอินเตอร์เน็ต และการรักษาความปบลอดภัยในโทรศัพท์เคลื่อนที่
5. ความฉลาดทางอารมณ์ดิจิทัล คือ ความสามาถในการเอาใจใส่และเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในการใช้สื่อดิจิทัล รวมถึงการสน้างความสัมพันธ์ที่ดีทางด้านอารมณ์และสังคมกับผู้ใช้งานออนไลน์อื่นๆ ได้แก่ การเอาใจใส่ การควบคุมอารมณ์ และการตระหนักถึงอารมณ์และสังคม
6. การสื่อสารดิจิทัล คือ ความสามารถในการสื่อสาร และการทำงานร่วมกับผู้อื่น และการทำงานร่วมกับผู้อื่นผ่านเทคโนโลยีและสื่อดิจิทัล รวมไปถือการไม่ทิ้งร่องรอยการกระทำต่าง ๆ ของตนเองในสื่อดิจิทัล ได้แก่ การทิ้งร่องลอยดิจิทัล การสื่อสารออนไลน์ และการร่วมมือออนไลน์
7. การรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล คือ ความสามารถในการค้นหา การใช้ประโชน์ การประมินการสร้างเนื้อหา และการแบ่งปัน รวมถึงการคิดอย่างมีวิจารณญาณในการใช้สื่อดิจิทัล ได้แก่ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การสร้างเนื้อหา และการคิดเชิงคำนวณอย่างมีระบบ
8. สิทธิดิจิทัล คือ ความสามารถในการเข้าใจ การรักษาสิทธิส่วนบุคคลตามสิทธิทางกฎหมายรวมทั้งทรัพย์สินทางปัญญา และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อดิจิทัล ได้แก่ สิทธิทรัพย์สินทางปัญญา และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
9. ภาระงาน / ชิ้นงาน
ชิ้นงาน คือ ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม (นักเรียนได้ลงมือสร้างสรรค์ในการเขียน ประดิษฐ์)
ภาระงาน คือ การแสดงออกทางร่างกาย เช่น การนำเสนอ การโต้วาที การแสดงความรับผิดชอบตามหน้าที่
10. การวัดผล/ประเมินผล
การวัดผลและประเมินผลก่อนเรียน
การวัดผลและประเมินผลระหว่างเรียน
การวัดผลและประเมินผลเมื่อสิ้นสุดการเรียนรู้
เครื่องมือวัดผลการเรียนรู้
การสังเกตพฤติกรรม
การทดสอบ
การสอบปากเปล่า
การสอบถาม
การสัมภาษณ์
การใช้คำถาม
การเรียนสะท้อนการเรียนรู้
การประเมินตนเอง
การประเมินโดยเพื่อน
เกณฑ์การให้คะแนนคำถามรายข้อ (K) (0) ไม่ถูกต้อง (1) ไม่ชัดเจน (2) ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน (3) ถูกต้อง ครบถ้วน
เกณฑ์การให้คะแนนวัดพฤติกรรม (P) (0) ไม่ปฏิบัติ (1) บางครั้ง/บางคน (2) ส่วนใหญ่ (3) สม่ำเสมอ/ทุกคน (ส่งผลดีต่อ...)
หัวข้อแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานเป็นกลุ่ม (P)
การทำงานอย่างเป็นระบบ
มีการวางแผนทำงานร่วมกันให้บรรลุเป้าหมาย
มีการแบ่งงานและทำงานร่วมกัน
มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแสดงถึงการยอมรับความคิดเห็นของสมาชิกร่วมกัน
มีความกระตือรือร้นในการทำงาน
ทำงานเสร็จตามเวลา
หัวข้อแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานเป็นรายบุคคล (P)
มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้
มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
มีส่วนร่วมในกิจกรรม
11. กระบวนการเรียนรู้
เทคนิคการตั้งคำถามโดยใช้วิธี RCA เพื่อพัฒนทักษชีวิต
R = Reflect (การสะท้อน)
คือคําถามเพื่อให้ลูก/นักเรียนสะท้อนความรู้สึกหรือมุมมองของตนที่เกิดขึ้นในขณะร่วมกิจกรรม หรือการเล่นต่างๆ
C = Connect (การเชื่อมโยง)
คือคำถามเพื่อให้ลูก/นักเรียนได้คิดเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์ที่เจอมาในอดีตกับสิ่งที่พบเจอในกิจกรรมที่พึ่งสิ้นสุดลง
A = Apply (การปรับใช้)
คือคำถามเพื่อการปรับใช้ เป็นคำถามเพื่อนําไปปรับใช้ในการเผชิญสถานการณ์ต่างๆ ในอนาคต
การสร้างความประทับใจแรกพบ หรือ First impression
1. อุ่นเครื่องด้วยเรื่องเล่า
2. เร่ิมด้วยคำถามขวนคิด
3. โชว์ตัวเลขจากสถิติ
4. คำคม - ประโยคเด็ด
5. เริ่มต้นด้วยรูปภาพที่น่าสนใจ
6. จัดเต็มด้วยพร์อพ และเครื่องแต่งกาย
7. เริ่มต้นด้วยวีดีโอสั้นๆ
เทคนิคการสอน
1. เทคนิคการใช้คำถาม
2. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ
3. เทคนิคการใช้ฝังกราฟฟิค
4. เทคนิคการเสริมแรง
5. เทคนิคเพื่อนช่วยเพื่อน
6. เทคนิค LT (แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันเอกสาร)
7. เทคนิคการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี
8. เทคนิคการจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์
9. เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
10. เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบที่เน้นกระบวนการคิด
11. เทคนิคการสอน ”ห้องเรียนกลับด้าน (เรียนที่บ้าน-ทำกิจกรรมที่โรงเรียน)”
12. เทคนิคร่วมกันคิด (Numbered Heads Together)
13. เทคนิคคู่คิด (Think Pair Share)
14. เล่าเรื่องรอบวง (Round Robin)
เครื่องมือการจัดการเรียนการสอน
เติมคำ
โยงเส้น เติมตัวอักษร
ถูก ผิด
ต่อคำ
หาตำตอบจากสถานการณ์
นักเรียนหาสถานการณ์อธิบายตำตอบ
เกมใบ้ตำศัพท์
แอฟพิเคชั่น
เกมขโมยตะแนน
เกมไพ่ เกทับ
ปิงโก
ค้นหา เออเลอร์
กรณีศึกษา
มี 24 เทคนิค
1. เทคนิคการพูดเป็นคู่ (Rally robin) นักเรียนแบ่งเป็นกลุ่มย่อย แล้วพูด ตอบ แสดงความคิดเห็นเป็นคู่ ๆ แต่ละคู่จะผลัดกันพูด และฟังโดยใช้เวลาเท่าๆ กัน (Kagan. 1995 : 35)
2. เทคนิคการเขียนเป็นคู่ (Rally table) นักเรียนแบ่งเป็นกลุ่มย่อย แต่ละคู่ผลัดกันเขียนหรือวาดแทนการพูด (Kagan. 1995 : 35)
3. เทคนิคการพูดรอบวง (Round robin) นักเรียนในกลุ่มจะผลัดกันพูด ตอบ อธิบาย โดยผลัดกันทีละคนตามเวลาที่กำหนดจนครบ 4 คน (Kagan. 1995 : 32-33)
4. เทคนิคการเขียนรอบวง (Round table) นักเรียนในกลุ่มแสดงความคิดเห็นเมื่อครูถามปัญหา นักเรียนจะผลัดกันเขียนลงในกระดาษที่เตรียมไว้ทีละคนตามเวลาที่กำหนด (Kagan. 1995 : 34-35)
5. เทคนิคการเขียนพร้อมกันรอบวง (Simultaneous round table) นักเรียนในกลุ่มแสดงความคิดเห็นเมื่อครูถามปัญหา นักเรียนทุกคนในกลุ่มเขียนคำตอบพร้อมกัน (Kagan. 1995 : 35)
6. เทคนิคคู่ตรวจสอบ (Pairs check) สมาชิกในกลุ่มจับคู่กันทำงาน เมื่อได้รับคำถามหรือปัญหาจากครู นักเรียนคนหนึ่งจะเป็นคนทำและอีกคนหนึ่งทำหน้าที่เสนอแนะแล้วผลัดกัน เมื่อทำเสร็จครบ2 ข้อ แต่ละคู่จะนำคำตอบมาแลกเปลี่ยนและตรวจสอบคำตอบของคู่อื่น (Kagan. 1995 : 32-33)
7. เทคนิคร่วมกันคิด (Numbered heads together) แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มด้วยกลุ่มละ 4 คน ทีมีความสามารถคละกัน แต่ละคนมีหมายเลขประจำตัว แล้วครูถามคำถาม หรือมอบหมายงานให้ทำ แล้วให้นักเรียนได้อภิปรายในกลุ่มย่อยจนมั่นใจว่าสมาชิกในกลุ่มทุกคนเข้าใจคำตอบ ครูจึงเรียนหมายเลขประจำตัวผู้เรียน หมายเลขที่ครูเรียกจะเป็นผู้ตอบคำถามดังกล่าว (Kagan. 1995 : 28-29)
8. เทคนิคการเรียงแถว (Line-ups) นักเรียนยืนแถวเรียงลำดับภาพ คำ หรือสิ่งที่ครูกำหนดให้ เช่น ครูให้ภาพตัวเลขแก่นักเรียน นักเรียนเข้ามายืนเรียงลำดับตามหมายเลข เป็นต้น (Kagan. 1995 : 25)
9. เทคนิคการแก้ปัญหาด้วยจิ๊กซอ (Jigsaw problem solving) นักเรียนแต่ละคนคิดคำตอบของตนไว้ แล้วนำมารวมกัน เพื่อแก้ปัญหาให้ได้คำตอบที่สมบูรณ์เหมาะสมที่สุด (Kagan. 1995 : 32-33)
10. เทคนิควงกลมซ้อน (Inside–outside circle) นักเรียนนั่งหรือยืนเป็นวงกลมซ้อนกัน 2 วง จำนวนเท่ากัน วงในหันหน้าออกและวงนอกหันหน้าเข้า นักเรียนที่อยู่ตรงกับจับคู่กันเพื่อสัมภาษณ์หรืออภิปรายปัญหาร่วมกัน จากนั้นจะหมุนเวียนเพื่อเปลี่ยนคู่ใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่ซ้ำคู่กัน โดยนักเรียนวงนอกและวงในเคลื่อนไปในทิศทางตรงข้ามกัน ( Kagan. 1995 : 10)
11. เทคนิคแบบมุมสนทนา (Corners) ครูเสนอปัญหาและประกาศมุมต่าง ๆ ภายในห้องเรียนแทนแต่ละข้อ แล้วนักเรียนแต่ละกลุ่มย่อยเขียนหมายเลขข้อที่ชอบมากกว่า แล้วเคลื่อนเข้าสู่มุมที่เลือกไว้ นักเรียนร่วมกันอภิปรายภายในกลุ่มตามมุมต่างๆ หลังจากนั้นจะเปิดโอกาสให้นักเรียนในมุมใดมุมหนึ่งอภิปรายเรื่องราวที่ได้ศึกษาให้เพื่อนในมุมอื่นฟัง (Kagan. 1995 : 20-21)
12. เทคนิคการอภิปรายเป็นคู่ (Pair discussion) ครูกำหนดหัวข้อหรือคำถาม นักเรียนทีนั่งใกล้กันร่วมกันคิดและอภิปรายเป็นคู่ (Kagan. 1995 : 35 อ้างถึงใน พิมพันธ์ เดชะคุปต์. 2541 : 45)
13. เทคนิคเพื่อนเรียน (Partners) นักเรียนในกลุ่มจับคู่เพื่อช่วยเหลือกัน คู่หนึ่งอาจไปขอคำแนะนำหรือคำอธิบายจากคู่อื่นๆ ที่คาดว่าจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และเช่นเดียวกันเมื่อคู่นั้นเกิดความเข้าใจที่แจ่มชัดแล้ว ก็จะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้คู่อื่นๆ ต่อไป (อรพรรณ พรสีมา. 2540 : 17)
14. เทคนิคการคิดเดี่ยว คิดคู่ ร่วมกันคิด (Think – pair – share) ครูกำหนดนัปัญหา นักเรียนแต่ละคนคิดหาคำตอบด้วยตนเองก่อนแล้วนำคำตอบไปอภิปรายกับเพื่อนที่เป็นคู่ จากนั้นจึงนำคำตอบของแต่ละคู่มาอภิปรายพร้อมกัน 4 คน เมื่อมั่นใจว่าคำตอบของตนถูกต้องหรือดีทีสุด จึงนำคำตอบเล่าให้เพื่อนทั้งชั้นฟัง (Kagan. 1995 : 46-47 อ้างถึงใน พิมพันธ์ เดชะคุปต์. 2541 : 41-44)
15. เทคนิคการทำเป็นกลุ่ม ทำเป็นคู่ และทำคนเดียว (Team – pair – solo) ครูกำหนดปัญหาหรืองาน นักเรียนทำงานร่วมกันทั้งกลุ่มจนงานสำเร็จแล้วแยกทำงานเป็นคู่จนงานสำเร็จ สุดท้ายนักเรียนแต่ละคนแยกมาทำเองจนสำเร็จได้ด้วยตนเอง (Kagan. 1995 : 10 อ้างถึงใน พิมพันธ์ เดชะคุปต์. 2541 : 41-45)
16. เทคนิคการอภิปรายเป็นทีม (Team discussion) ครูกำหนดหัวข้อหรือคำถาม นักเรียนทุกคนในกลุ่มร่วมกันระดมความคิด และพูดอภิปรายพร้อมกัน (Kagan. 1995 : 38 อ้างถึงใน พิมพันธ์ เดชะคุปต์. 2541 : 45)
17. เทคนิคโครงงานเป็นทีม (Team project) ครูอธิบายโครงงานให้นักเรียนเข้าใจก่อน กำหนดเวลา บทบาทของสมาชิกในกลุ่ม การหมุนเวียนบทบาท แจกอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันทำโครงงานที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นจะมีการนำเสนอโครงงานของแต่ละกลุ่ม (Kagan. 1995 : 42-43)
18. เทคนิคสัมภาษณ์เป็นทีม (Team – interview) กำหนดหมายเลขของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม ครูผู้สอนกำหนดหัวข้อให้นักเรียนอภิปรายทั้งชั้น สุ่มหมายเลขของนักเรียนในกลุ่มยืนขึ้นแล้วให้เพื่อนๆ ร่วมทีมเป็นผู้สัมภาษณ์และผลัดกันถาม โดยเรียงลำดับเพื่อนให้ทุกคนมีส่วนร่วมเท่า ๆ กัน เมื่อหมดเวลาตามที่กำหนด คนที่ถูกสัมภาษณ์นั่งลง และนักเรียนหมายเลขต่อไปนี้และถูกสัมภาษณ์หมุนเวียนเช่นนี้เรื่อยไปจนครบทุกคน (Kagan. 1995 : 40-41)
19. เทคนิคบัตรคำช่วยจำ (Color-coded co-op cards) เป็นเทคนิคที่ฝึกให้นักเรียนจดจำข้อมูลจากการเล่นเกมที่ใช้บัตรคำถาม บัตรคำตอบ นักเรียนแต่ละกลุ่มที่เตรียมบัตรมาเป็นผู้ถาม และมีการให้คะแนนกับกลุ่มที่ตอบได้ถูกต้อง (Kagan. 1995 : 38)
20. เทคนิคการสร้างแบบ (Formations) ครูผู้สอนกำหนดวัตถุประสงค์หรือสิ่งที่ต้องการให้นักเรียนสร้าง นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายและทำงานร่วมกันเพื่อสร้างชิ้นงาน หรือสาธิตงานที่ได้รับมอบหมาย (Kagan. 1995 : 22 )
21. เทคนิคเกมส่งปัญหา (Send- a-problem) นักเรียนทุกคนในกลุ่มตั้งปัญหาด้วยตัวเองคนละ 1 คำถามไว้ด้านหน้าของบัตรและคำตอบซ่อนอยู่หลังบัตร แต่ละคนในกลุ่มกำหนดหมายเลขประจำตัว 1-4 เริ่มแรกนักเรียนหมายเลข 4 ส่งปัญหาของกลุ่มให้หมายเลข 1 ในกลุ่มถัดไป ซึ่งจะเป็นผู้อ่านคำถามและตรวจสอบคำตอบส่วนสมาชิกคนอื่นในกลุ่มตอบคำถามในข้อถัดไปจะหมุนเวียนให้สมาชิกหมายเลขอื่นตามลำดับ คือ นักเรียนหมายเลข 2 เป็นผู้อ่านคำถาม และตรวจคำตอบจนครบทุกคนในกลุ่ม แล้วเริ่มใหม่ในลักษณะเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในรอบต่อๆ ไป (Kagan. 1995 : 36-37)
22. เทคนิคแลกเปลี่ยนปัญหา (Trade-a-problem) นักเรียนแต่ละคู่ตั้งคำถามเกี่ยวกับหัวข้อที่เรียนและเขียนคำตอบเก็บไว้ จากนั้นให้นักเรียนแต่ละคู่แลกเปลี่ยนคำถามกับเพื่อนคู่อื่น แต่ละคู่จะช่วยกันแก้ปัญหาจนเสร็จ แล้วนำมาเปรียบเทียบกับวิธีการแก้ปัญหาของเพื่อนเจ้าของปัญหานั้น (Kagan. 1995 : 59)
23. เทคนิคแบบเล่นเลียนแบบ (Match mine) นักเรียนกลุ่มหนึ่งเรียงวัตถุที่กำหนดให้เหมือนกัน โดยผลัดกันบอกซึ่งแต่ละคนจะทำตามคำบอกเท่านั้นห้ามไม่ให้ ดูกัน วิธีนี้ใช้ประโยชน์ในการฝึกทักษะด้านการสื่อสารให้แก่นักเรียนได้ (Kagan. 1996 : 16)
24. เทคนิคเครือข่ายความคิด(Team word – webbing) นักเรียนเขียนแนวคิดหลัก และองค์ประกอบย่อยของความคิดหลักพร้อมกับแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความคิดหลักกับองค์ประกอบย่อยบนแผ่นกระดาษลักษณะของแผนภูมิความรู้ (Kagan. 1995 : 36)
อ้างอิง
Kagan, S. Cooperative Learning & Wee Science. San Clemento : Kagan Cooperative Learning, 1995.
________. Cooperative Learning and Mathematics. San Juan Capistrano : Kagan Cooperative Learning, 1996 a.
http://www.sahavicha.com
http://kruvoice.com
12. สื่อการเรียนรู้ / แหล่งเรียนรู้
1. สื่อประเภทคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
2. สื่อประเภทอุปกรณ์/สิ่งประดิษฐ์/ของจริง/หุ่นจำลอง
3. สื่อประเภทเทคนิควิธีการ
4. สื่อประเภทวัสดุ/ตำรา/สิ่งพิมพ์
13. กิจกรรมเสนอแนะ
14. ภาคผนวก