เนื้อหาเรียนประจำหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มีผลต่อโลกปัจจุบัน
เริ่มตั้งแต่การสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตกใน ค.ศ. 476 เมื่อถูกพวกอนารยชนเยอรมันเผ่าวิสิกอธ (Visigoth) โจมตี ซึ่งเหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตก เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลงสภาพทั่วไปของกรุงโรมเต็มไปด้วยความวุ่นวาย การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอ่อนแอประชาชนอดอยาก ขาดที่พึ่ง มีปัญหาเรื่องโจรผู้ร้าย เนื่องจากช่วงเวลานี้ยุโรปตะวันตกไม่มีจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ปกครองดังเช่นจักรวรรดิโรมัน นอกจากนี้ยังถูกพวกอนารยชนเผ่าต่างๆ เข้ามารุกราน ส่งผลให้อารยธรรมกรีกและโรมันอันเจริญรุ่งเรืองในยุโรปตะวันตกได้หยุดชะงักลง นักประวัติศาสตร์สมัยก่อนจึงเรียกช่วงสมัยนี้อีกชื่อหนึ่งว่า ยุคมืด (Dark Ages) หลังจากนั้นศูนย์กลางของอำนาจยุโรปได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองไบแซนติอุม (Byzantium) ซึ่งอยู่ในประเทศตุรกีปัจจุบัน โดยจักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantion) เป็นผู้สถาปนาจักรวรรดิแห่งใหม่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ คอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) ตามชื่อของจักรพรรดิคอนสแตนติน
ประวัติศาสตร์สมัยกลางนี้เป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงอารยธรรมตะวันตกจากอารยธรรมโรมันไปสู่อารยธรรมคริสต์ศาสนา เป็นสมัยที่ตะวันตกได้รับอิทธิพลอย่างมากจากคริสต์ศาสนา ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม นอกจากนี้สังคมสมัยกลางยังมีลักษณะเป็นสังคมในระบบฟิวดัล (Feudalism) หรือสังคมระบบศักดินาสวามิภักดิ์ ที่ขุนนางมีอำนาจครอบครองพื้นที่ โดยประชาชนส่วนใหญ่มีฐานะเป็นข้าติดที่ดิน (sert) และดำรงชีวิตอยู่ในเขตแมเนอร์ (Manor) ของขุนนาง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของสังคมสมัยกลาง นอกจากนี้ในสมัยกลางนี้ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญ คือ สงครามครูเสด ซึ่งเป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างคริสต์ศาสนากับศาสนาอิสลาม ที่กินเวลาเกือบ 200 ปี เป็นผลให้เกิดการค้นหาเส้นทางการค้าทางทะเลและวิทยาการด้านอื่นๆ ตามมา สมัยกลางสิ้นสุดใน ค.ศ. 1453 เมื่อพวกออตโตมันเตอร์กสามารถยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลของจักรวรรดิโรมันตะวันตกได้
1 การสำรวจทางทะเล
ยุคแห่งการสำรวจ หรือ ยุคแห่งการค้นพบเป็นช่วงระยะเวลาในประวัติศาสตร์โลกที่เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ไปจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ชาวยุโรปออกเดินทางไปสำรวจทางทะเลในโลกที่กว้างออกไปจากตัวทวีปยุโรปเองโดยมีจุดประสงค์เพื่อหาคู่ค้าขายใหม่ และโดยเฉพาะเพื่อการแสวงหาสินค้าเพื่อสนองความต้องการของตลาดตามต้องการ สินค้าที่เป็นที่ต้องการกันมากในยุโรปในขณะนั้นคือทอง เงิน และ เครื่องเทศ
ยุคแห่งการสำรวจประจวบกับช่วงที่ชาวยุโรปตะวันตกเริ่มใช้เข็มทิศในการกำหนดและระบุเส้นทาง, การใช้วิธีการเดินเรือเดินทะเลแบบใหม่, การมีแผนที่ใหม่ และความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ความก้าวหน้าเหล่านี้ช่วยในการแสวงหาเส้นทางการค้าขายใหม่ไปยังเอเชียโดยเลี่ยงอุปสรรคถ้าการใช้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมหาอำนาจที่เป็นปฏิปักษ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่วิวัฒนาการขึ้นสำหรับการเดินทางทางทะเลคือเรือชนิดใหม่สองแบบที่ออกแบบโดยโปรตุเกส--เรือคาร์แร็ค (Carrack) และ เรือคาราเวล (Caravel) ที่วิวัฒนาการมาจากการออกแบบเรือในยุคกลางที่ใช้ในการเดินเรือในทะเลเหนือและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เรือสองชนิดนี้เป็นเรือสองชนิดแรกที่ให้ความปลอดภัยพอที่จะฝ่าคลื่นฝ่าลมในมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อเทียบกับเรือรุ่นก่อนหน้านั้นที่ใช้กันเฉพาะในบริเวณที่คลื่นลมไม่รุนแรงเทียบเท่ากับการเดินทางกลางมหาสมุทร
ก่อนหน้าที่จะถึงยุคแห่งการสำรวจก็ได้มีชาวยุโรปที่ได้ทำการเดินทางโดยทางบกจากยุโรปไปยังเอเชียหลายครั้งในสมัยยุคกลางตอนปลาย ขณะที่การรุกรานของมองโกลในยุโรปเป็นปัญหาต่อเสถียรภาพของความมั่นคงในยุโรปโดยการปล้นสดมและการทำลายต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของรัฐมองโกลต่างๆ ในบริเวณส่วนใหญ่ของยูเรเชียเป็นการทำให้เกิดเส้นทางการค้าขายและการคมนาคมที่ติดต่อกันตั้งแต่จากตะวันออกกลางไปจนถึงเมืองจีน ชาวยุโรปหลายกลุ่มก็ถือโอกาสใช้เส้นทางเหล่านี้ในการเดินทางไปสำรวจทางตะวันออก ผู้เดินทางเกือบทั้งหมดในช่วงแรกเป็นชาวอิตาลีเพราะการค้าขายระหว่างยุโรปและตะวันออกกลางแทบทั้งหมดตกอยู่ในมือของพ่อค้าจากนครรัฐต่างๆ ในอิตาลี นอกจากนั้นการที่อิตาลีมีความสัมพันธ์ทางการค้าขายกับบริเวณลว้านก็ยิ่งเป็นการทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นและความสนใจทางด้านการค้าในดินแดนที่ไกลออกไปจากนั้น การสำรวจนอกจากจะมีเหตุผลมาจากความต้องการทางการค้าแล้วก็ยังมีเหตุผลอื่นๆ เช่นการสำรวจของผู้นำคริสเตียนเช่นเจ้าชายเฮนรีนักเดินเรือก็เริ่มนำคณะสำรวจเพื่อหวังที่จะหาผู้ที่จะหันมานับถือคริสต์ศาสนาเพิ่มขึ้น ฉะนั้นสาเหตุของการออกทำการสำรวจจึงมีด้วยกันหลายประการ
นักเดินทางคนแรกในกลุ่มนี้ก็ได้แก่จิโอวานนิ ดา ปาน เดล คาร์ปิเน (Giovanni da Pian del Carpine) จากอุมเบรียผู้เดินทางไปยังมองโกเลียระหว่างปี ค.ศ. 1241 ถึงปี ค.ศ. 1247 แต่นักเดินทางคนสำคัญที่สุดและมีชื่อที่สุดก็เห็นจะเป็นมาร์โค โปโลผู้บันทึกการเดินทางของการสำรวจไปทั่วเอเชียตั้งแต่ ค.ศ. 1271 จนถึง ค.ศ. 1295 และบรรยายว่าได้มีโอกาสเข้าไปในราชสำนักของราชวงศ์หยวนของกุบไล ข่าน การเดินทางของมาร์โค โปโลบันทึกในหนังสือชื่อ “บันทึกการเดินทาง” ซึ่งเป็นหนังสือที่แพร่หลายและอ่านกันไปทั่วยุโรป ในปี ค.ศ. 1439 นิคโคโล เด คอนติ (Niccolò de' Conti) ก็พิมพ์บันทึกการเดินทางไปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างปี ค.ศ. 1466 ถึงปี ค.ศ. 1472 พ่อค้าชาวรัสเซียอฟานาซิ นิคิติน (Afanasy Nikitin) ก็เดินทางไปอินเดียและเขียนบรรยายไว้ในหนังสือ “การเดินทางเลยไปจากสามทะเล” (A Journey Beyond the Three Seas) แต่การเดินทางเหล่านี้ก็มีได้มีผลทันที จักรวรรดิมองโกลล่มสลายอย่างรวดเร็วเกือบทันทีที่ก่อตั้งเสร็จ ไม่นานหลังจากนั้นเส้นทางการเดินทางไปยังตะวันออกก็ทำได้ยากขึ้นและเสี่ยงต่ออันตรายมากขึ้น นอกจากนั้นกาฬโรคระบาดในยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเดินทางและการค้าต้องมาหยุดชะงักลง เส้นทางไปยังตะวันออกทางบกควบคุมโดยการค้าขายในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและจักรวรรดิอิสลามผู้ควบคุมทั้งการขนย้ายและการตั้งราคาสินค้า การขยายอำนาจของจักรวรรดิออตโตมันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จำกัดการเดินทางค้าขายทางบกข้ามทวีปโดยชาวยุโรป
2 การปฏิรูปศาสนา
การปฏิรูปศาสนา เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยมีผู้นำการปฏิรูปหลายคนและใช้ชื่อแตกต่างกันการปฏิรูปคริสต์ศาสนา หมายถึง ขบวนการในยุโรปตะวันตกที่ปัจเจกชนและสถาบันต่างๆ แสดงความเห็นคัดค้านการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามหลักในคัมภีร์ไบเบิล การปฏิรูปเป็นไปอย่าง ต่อเนื่อง จนในที่สุดคริสต์ศาสนาในยุโรปได้แตกแยกเป็น 2 นิกาย คือโรมันคาทอลิกและ โปรเตสแตนต์
สาเหตุของการปฏิรูปศาสนา
1. สันตะปาปาทรงใช้อำนาจมากเกินไป ทรงครอบงำการเมือง สร้างความไม่พอใจให้ผู้ปกครองแคว้นต่างๆ
2. ความเป็นอยู่ของสันตะปาปาและพระชั้นสูงบางองค์มีความฟุ่มเฟือย
ขัดต่อความรู้สึกที่ว่าพระควรจะมีความรู้สึกที่เรียบง่าย ตลอดจนมีการซื้อขายตำแหน่งกัน
3. ศาสนจักรมุ่งพิธีกรรมมากเกินไป จึงทำให้ประชาชนบางส่วนต้องการที่จะเข้าใจหลักธรรมมากขึ้น จึงมีนักคิด
เสนอว่าควรเข้าถึงพระเจ้า และทำความเข้าใจคัมภีร์ด้วยตัวเอง
4. สันตะปาปาทรงต้องการสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ จึงทรงนำใบยกโทษบาปไปขายในดินแดนเยอรมัน ทำให้
ผลจากการปฏิรูปศาสนา
1) คริสตจักรแตกแยกออกเป็น2นิกาย คือ นิกายโรมันคาทอลิก และ นิกายโปรเตสแตนต์
2) นิกายต่างๆ แข่งขันกันปรับปรุงข้อบกพร่องเพื่อเรียกศรัทธา
3) นิกายโปรแตสแตนต์สนับสนุนการประกอบอาชีพด้านการค้าและอุตสาหกรรม ทำให้ระบบทุนนิยมในยุโรปเจริญเติบโต
4) เกิดกระแสชาตินิยม เช่น มีการแปลคัมภีร์เป็นภาษาท้องถิ่น
5) ส่งเสริมอำนาจผู้ปกครองในการปกครองประเทศ
6) เกิดสงครามศาสนาขึ้นในยุโรปหลายครั้ง เช่น
- สงครามศาสนาในเยอรมนี (ค.ศ. 1546-1555)
- สงครามศาสนาในประเทศฝรั่งเศส (ค.ศ. 1562-1589)
3 การปฏิรูปวิทยาศาสตร์
ความหมายของการ “การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์” การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ คือ การพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการขอโลกตะวันตก ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีการค้นคว้างแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติ โลก และจักรวาล ทำให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เจริญรุ่งเรือง เป็นผลให้ชาติตะวันตกพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในความสามารถของตน มีอิสระทางความคิด หลุดพ้นจากอิทธิพลการครอบงำของคริสต์จักร และมุ่งมั่นที่จะเอาชนะธรรมชาติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้น
การพัฒนาเทคโนโลยีในดินแดนเยอรมันตอนใต้ โดยเฉพาะการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบใช้วิธีเรียงตัวอักษรขอกูเตนเบิร์ก ในปี ค.ศ.1448 ทำให้สามารถพิมพ์หนังสือเผยแพร่ความรู้ต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง
การสำรวจทางทะเลและการติดต่อกับโลกตะวันออก ตั้งแต่คริสต์สตวรรษที่ 16 เป็นต้นมาทำให้อารยธรรมความรู้ต่าง ๆ จากจีน อินเดีย อาหรับ และเปอร์เชีย เผยแพร่เข้ามาในสังคมตะวันตกมากขึ้น
ความสำคัญของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในสติปัญญาและความสามารถของตน เชื่อมั่นในความมีเหตุผล และนำไปสู่การแสวงหาความรู้โดยไม่มีสิ้นสุด
ก่อให้เกิดความรู้และความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการด้านต่าง ๆ และทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญ โดยเน้นศึกษาเรื่องราวของธรรมชาติ
ทำให้เกิดการค้นคว้าทดลองและแสวงหาความรู้ด้านต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และเป็นพื้นฐานของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในสมัยต่อมา
ทำให้ชาวตะวันตกมีทัศนคติเป็นนักคิด ชอบสังเกต ชอบซักถาม ชอบค้นคว้าทดลอง เพื่อหาคำตอบ และนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
การจัดตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
การเสนอทฤษฏีการศึกษาค้นคว้าด้วย “ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ” ทำให้เกิดความตื่นตัวในหมู่ปัญญาชนของยุโรป มีการจัดตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นในประเทศต่าง ๆ หลายแห่ง ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อสนับสนุนงานวิจัย การประดิษฐ์อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ และแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าโดยลำดับ
ความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักประดิษฐ์นำไปสู่การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นรากฐานของความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ จึงมีผู้กล่าวว่ากรปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นยุคแห่งอัจฉริยะ (The Age of Genius) เพราะมีการค้นพบความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
4 การปฏิรูปอุตสาหกรรม
การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในอังกฤษ แล้วจึงขยายไปสู่ประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันตก สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น โดยที่เงื่อนไขและปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมในแต่ละประเทศแตกต่างกันไป ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ คือ การเพิ่มขึ้นของการใช้ถ่านหินและเหล็ก บทบาทของรัฐและเอกชน การสร้างทางรถไฟ การสะสมทุน และการเพิ่มขึ้นของประชากร
การปฏิวัติอุตสาหกรรมมีผลกระทบที่สำคัญคือ การเพิ่มของจำนวนประชากรและการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นเมือง การเกิดชนชั้นกระฎุมพีอุตสาหกรรมและชนชั้นกรรมาชีพ
การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในอังกฤษแห่งแรกในโลก โดยแบ่งระยะเวลาออกเป็น 2 ช่วงคือ ประมาณทศวรรษ 1780 จนถึง ค.ศ. 1830 และจาก ค.ศ. 1830 จนถึงประมาณ 5.ศ. 1910 การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากภาคเกษตรมาเป็นภาคอุตสาหกรรมและจากชนบทสู่เมือง
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ คือ การเพิ่มขึ้นของการใช้ถ่านหินและเหล็ก การที่รัฐสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่สนับสนุนให้เอกชนประกอบวิสาหกิจโดยใช้ระบบตลาด ในขณะที่การล่าอาณานิคมสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศของอังกฤษ การสร้างทางรถไปเชื่อมโยงส่วนต่างๆ ของประเทศสนับสนุนการพัฒนา อุตสาหกรรมเพราะต้นทุนการขนส่งต่อหน่วยต่ำลง เพราะขนได้ทีละมากๆ อังกฤษมีระดับการสะสมทุนอยู่ในระดับสูงเพราะการขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศ และ การเพิ่มขึ้นของประชากรมีผลให้จำนวนอุปทานแรงงานเพิ่มขึ้นและตลาดใหญ่ขึ้น
ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เป็นระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบอุตสาหกรรมเจริญก้าวหน้าและขยายเข้าไปในยุโรปและส่วนอื่นๆของโลก ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมในเยอรมนีคือ ความต้องการใช้ถ่านหินและเหล็กกล้า การพัฒนาคมนาคมภายในประเทศ รวมทั้งบทบาทของทุนและผู้ประกอบการ
การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษเริ่มขึ้นประมาณ ศตวรรษที่ 1780 โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงที่ 1 ระหว่าง ค.ศ.1780-1830 และ ในช่วงที่ 2 ระหว่าง ค.ศ. 1830-1910 การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษมีผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากภาคเกษตรกรรมมาสู่ภาคอุตสาหกรรมและจากชนบทสู่เมือง ซึ่งมีผลอย่างชัดเจนหลัง ค.ศ. 1850
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษคือ
1. การขยายตัวของการใช้ถ่านหินและเหล็ก
2. รัฐมีบทบาทน้อยในกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่มีบทบาทมากในกิจการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการค้าระหว่างประเทศ การล่าอาณานิคมและการเดินเรือ
3. การพัฒนาการขนส่งในประเทศโดยสร้างทางรถไฟเชื่อมเมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่าต่าง ๆ
4. การสะสมทุนเนื่องจากการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
5. การเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศซึ่งมีผลต่อตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่และการเพิ่มขึ้นของอุปทานและแรงงาน
5 แนวคิดเสรีนิยม
เสรีนิยม เป็นปรัชญาการเมืองหรือมุมมองทางโลกซึ่งตั้งอยู่บนความคิดเสรีภาพและความเสมอภาค นักเสรีนิยมยอมรับมุมมองหลากหลายขึ้นอยู่กับความเข้าใจหลักการเหล่านั้นแต่โดยทั่วไปสนับสนุนความคิดอย่างการเลือกตั้งเสรีและยุติธรรม สิทธิพลเมือง เสรีภาพสื่อ เสรีภาพทางศาสนา การค้าเสรีและทรัพย์สินส่วนบุคคล ทีแรกเสรีนิยมเป็นขบวนการทางการเมืองต่างหากระหว่างยุคเรืองปัญญาเมื่อได้รับความนิยมในหมู่นักปรัชญาและนักเศรษฐศาสตร์ในโลกตะวันตก เสรีนิยมปฏิเสธความคิดซึ่งสามัญในเวลานั้น เช่น เอกสิทธิ์แบบสืบเชื้อสาย ศาสนาประจำชาติ สมบูรณาญาสิทธิราชและเทวสิทธิ์ของกษัตริย์ มักยกย่องจอห์น ล็อก นักปรัชญาสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 ว่าเป็นผู้ก่อตั้งเสรีนิยมเป็นประเพณีปรัชญาต่างหาก ล็อกแย้งว่ามนุษย์มีสิทธิธรรมชาติในชีวิต เสรีภาพและทรัพย์สิน และตามสัญญาสังคม รัฐบาลต้องไม่ละเมิดสิทธิเหล่านี้ นักเสรีนิยมคัดค้านอนุรักษนิยมประเพณีและมุ่งเปลี่ยนสมบูรณาญาสิทธิ์ในการปกครองเป็นประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนและหลักนิติธรรม
6 แนวคิดจักรวรรดินิยม
ลัทธิจักรวรรดินิยม ( Imperialism ) เป็นแนวความคิดของชาติมหาอำนาจในยุโรปที่จะขยายอำนาจ และอิทธิพลของตนเข้าครอบครองดินแดนที่ล้าหลังและด้อยความเจริญในทวีปต่างๆ เพื่อแสวงผลประโยชน์ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น แหล่งวัตถุดิบ และตลาดระบายสินค้า ชาวยุโรปเข้ายึดครองดินแดนของชนชาติต่างๆในรูปของ การล่าอาณานิคม ( Colonization )
จักรวรรดินิยมยุคแรก เริ่มต้นตั้งแต่การสำรวจทางทะเล เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการค้นพบทวีปอเมริกา และการค้นพบเส้นทางเดินเรือไปทวีปเอเชียเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 สเปน และโปรตุเกสเป็นชาติผู้นำการสำรวจและค้นพบดินแดนใหม่ และได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่ชาติทั้งสองเป็นอันมาก สเปนเข้ายึดครองดินแดนในอเมริกาใต้ แล้วบรรทุกแร่เงินและทองคำจากโลกใหม่จำนวนมหาศาล ส่วนโปรตุเกสมั่งคั่งจากการผูกขาดการค้าขายกับอินเดียและหมู่เกาะเครื่องเทศ ต่อมาการผูกขาดเส้นทางเดินเรือของสเปนและโปรตุเกสก็ถูกแข่งขันโดยอังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอลันดา ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 สเปนและโปรตุเกสก็สูญเสียความยิ่งใหญ่ด้านการค้าและอาณานิคมให้แก่ อังกฤษ ฮอลันดา และฝรั่งเศส และเกิดการขัดผลประโยชน์ระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส
จักรวรรดินิยมยุคใหม่ ในระยะแรกเมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรม เริ่มขึ้นในอังกฤษตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษเป็นชาติผู้นำการผลิตอุตสาหกรรมผ้าและเหล็กแต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่ประเทศในภาคพื้นยุโรปและสหรัฐอเมริกายังมีอาชีพทางกสิกรรมเป็นส่วนใหญ่ จึงจำต้องพึ่งสินค้าอุตสาหกรรมจากอังกฤษ ต่อมาเมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมแพร่หลายไปทั่วยุโรป ประเทศอุตสาหกรรมหนักเกิดความจำเป็นต้องแสวงหาตลาดสินค้าใหม่ๆ และแหล่งวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 การล่าอาณานิคมในยุคนี้ ชาวยุโรปต้องการเข้าไปควบคุม ทั้งการปกครองและเศรษฐกิจของประเทศอาณานิคมอย่างเต็มที่ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า จักรวรรดินิยมยุคใหม่
ลัทธิจักรวรรดินิยม มีผลกระทบต่อการเมือง การปกครองของประเทศต่างๆ มีดังนี้
1. ทำให้ชาติมหาอำนาจขัดแย้งในผลประโยชน์ซึ่งกันและกันส่งผลให้บรรยากาศทางการเมืองของโลกเข้าสู่ภาวะตึงเครียด และนำไปสู่สงครามในที่สุด
2. ทำให้ชาติตะวันตกมีข้ออ้างอันชอบธรรมในการยึดครองดินแดนต่างๆเป็นอาณานิคมของตน เพราะถือเป็นภาระหน้าที่ของคนผิวขาวที่จะนำอารยธรรมความเจริญไปเผยแพร่ยังดินแดนที่ล้าหลังและห่างไกลความเจริญ ส่งผลให้ประชากรในดินแดนอาณานิคมเกิดการซึมซับในวัฒนธรรม วิถีการดำเนินชีวิต ความคิด และค่านิยมแบบตะวันตก
7 แนวคิดชาตินิยม
ชาตินิยม คืออุดมการณ์ที่สร้างและบำรุงรักษาชาติในลักษณะที่เป็นมโนทัศน์ แสดงอัตลักษณ์ของกลุ่มของมนุษย์ ตามบางทฤษฎี การรักษาลักษณะพิเศษของอัตลักษณ์ การเป็นอิสระในทุก ๆ เรื่อง การกินดีอยู่ดี และการชื่นชมความยิ่งใหญ่ของชาติตนเอง ล้วนจัดว่าเป็นคุณค่าพื้นฐานของความเป็นชาตินิยม
นักชาตินิยมวางพื้นฐานของความเป็นชาติอยู่บนแนวคิดเกี่ยวกับความชอบธรรมทางการเมืองหลายๆ ประการ โดยความชอบธรรมนั้นอาจสร้างขึ้นผ่านทางทฤษฎีโรแมนติกของ "อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม" การให้เหตุผลเชิงเสรีนิยมที่กล่าวว่า ความชอบธรรมทางการเมืองนั้น เกิดจากการยอมรับของประชากรในท้องถิ่นนั้น ๆ หรืออาจจะเป็นการผสมผสานระหว่างสองสิ่งนี้
การใช้คำว่า ชาตินิยม ในสมัยใหม่ มักหมายถึงการใช้อำนาจทางการเมือง (และทหาร) ของกลุ่มชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์ หรือเชิงศาสนา นักรัฐศาสตร์โดยทั่วไปแล้วมีแนวโน้มที่จะวิจัยและมุ่งเป้าไปที่รูปแบบสุดขั้วของชาตินิยม ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับสังคมนิยมเชิงชาตินิยม การแบ่งแยกดินแดน และอื่น ๆ นที่สุด
ทำให้ชาติตะวันตกมีข้ออ้างอันชอบธรรมในการยึดครองดินแดนต่างๆเป็นอาณานิคมของตน เพราะถือเป็นภาระหน้าที่ของคนผิวขาวที่จะนำอารยธรรมความเจริญไปเผยแพร่ยังดินแดนที่ล้าหลังและห่างไกลความเจริญ ส่งผลให้ประชากรในดินแดนอาณานิคมเกิดการซึมซับในวัฒนธรรม วิถีการดำเนินชีวิต ความคิด และค่านิยมแบบตะวันตก
8 แนวคิดสังคมนิยม
สังคมนิยม' เป็นระบบสังคมและเศรษฐกิจซึ่งมีลักษณะคือ สังคมเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและการจัดการเศรษฐกิจแบบร่วมมือ ตลอดจนทฤษฎีและขบวนการทางการเมืองซึ่งมุ่งสถาปนาระบบดังกล่าว "สังคมเป็นเจ้าของ" อาจหมายถึง การประกอบการสหกรณ์ การเป็นเจ้าของร่วม รัฐเป็นเจ้าของ พลเมืองเป็นเจ้าของความเสมอภาค พลเมืองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือที่กล่าวมารวมกัน มีความผันแปรของสังคมนิยมจำนวนมากและไม่มีนิยามใดครอบคลุมทั้งหมด ความผันแปรเหล่านี้แตกต่างกันในประเภทของการเป็นเจ้าของโดยสังคมที่ส่งเสริม ระดับที่พึ่งพาตลาดหรือการวางแผน วิธีการจัดระเบียบการจัดการภายในสถาบันการผลิต และบทบาทของรัฐในการสร้างสังคมนิยม[
ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมอาศัยลัทธิองค์การการผลิตเพื่อใช้ หมายความว่า การผลิตสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองอุปสงค์ทางเศรษฐกิจและความจำเป็นของมนุษย์โดยตรง และระบุคุณค่าวัตถุตามคุณค่าการใช้ประโยชน์หรืออรรถประโยชน์ ซึ่งตรงข้ามกับการผลิตมาเพื่อสะสมทุนและเพื่อกำไร ในแนวคิดดั้งเดิมของเศรษฐกิจสังคมนิยม มีการประสานงาน การทำบัญชีและการประเมินค่าอย่างเดียวกันโดยปริมาณทางกายภาพร่วม (common physical
การปฏิวัติอุตสาหกรรมและความก้าวหน้าทางวิทยาการของโลกในคริสต์สตวรรษที่ 19 ทำให้โลกก้าวหน้ามากขึ้น มนุษย์สามารถประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้และปรับปรุงการคมนาคมที่อำนวยความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต ทำให้เกิดการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม อันมีผลทำให้เกิดลัทธิจักรวรรดินิยมของชาติมหาอำนาจ และเริ่มแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมในดินแดนโพ้นทะเล อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติในฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ. 1789 โดยการล้มล้างสถาบันกษัตริย์แล้วตั้งรัฐบาลที่มาจากประชาชน ตลอดจนการปฏิวัติของชาวอเมริกัน เพื่อแยกตัวเป็นอิสระจากอังกฤษใน ค.ศ. 1776 รวมทั้งความเจริญทางด้านอุตสาหกรรม ด้านพาณิชกรรมและลัทธิจักรวรรดินิยมได้มีส่วนกระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งที่สำคัญในประวัติศาสตร์ที่มีผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 คือ การเกิดสงครามโลก ซึ่งผลของสงครามก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตมนุษย์และทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ความขัดแย้งระหว่างประเทศ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการแข่งขันกันทางเศรษฐกิจและการแย่งชิงทรัพยากรหรือดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ก็ยังมีสาเหตุมาจากการแข่งขันทางการเมืองเพื่อความเป็นใหญ่ในภูมิภาค เช่น นโยบายสร้างฝรั่งเศสในสมัยนโปเลียน นโยบายสร้างเยอรมนีให้ยิ่งใหญ่ เป็นต้น หรืออาจมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางศาสนาและการเมือง ทางด้านศาสนา เช่น สงครามครูเสดระหว่างศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามใน
คริสต์ศตวรรษที่ 13 ทางด้านการเมือง เช่น ความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์ประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้น ทั้งนี้ความขัดแย้งที่สำคัญในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่เกิดขึ้นจากการยึดมั่นในอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน จนทำให้เกิดสงครามขึ้น ได้แก่ สงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็
ในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ความขัดแย้งระหว่างกันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก สำหรับสาเหตุของความขัดแย้งมีทั้งเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง ศาสนาและความเชื่อจะเห็นได้ว่า ตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ จะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่า
จะเป็นความขัดแย้งในระดับที่ไม่รุนแรงนัก ไปจนกระทั่งความขัดแย้งในระดับที่รุนแรงจนก่อให้เกิดสงคราม ตัวอย่างความขัดแย้งที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติ ได้แก่ สงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายทางด้านทรัพย์สินและชีวิตของมนุษย์อย่างมหาศาล ขณะเดียวกันมนุษย์ก็ตระหนักถึงผลเสียของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องคิดหาหนทางที่จะป้องกันและสร้างสันติภาพร่วมกัน จึงเห็นความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง
ประเทศความร่วมมือระหว่างประเทศนั้น นอกจากเป็นหนทางในการสร้างสันติภาพแล้วยังเป็นการประสานผลประโยชน์ร่วมกันทั้งทางด้านการค้า การทหาร ตลอดจนวัฒนธรรม จึงทำให้ประเทศต่างๆ เห็นความสำคัญในการจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศเพื่อประสานผลประโยชน์ใน
เป็นสงครามศาสนาระหว่างชาวคริสต์จากยุโรป และ ชาวมุสลิม เนื่องจากชาวคริสต์ต้องการยึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และ เมืองคอนสแตนติโนเปิลหรือเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกีในปัจจุบัน
เกิดจากประเพณีของชาวโรมันผสมผสานเข้ากับประเพณีคอมิเตตัส ของพวกอนารยชนเผ่ากอทหรือเยอรมัน
การปฏิรูปศาสนา เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีสาเหตุ สำคัญมาจากความเสื่อมความนิยมในผู้นำทางศาสนาและการเกิดแนวคิดใหม่เกี่ยวกับศาสนา เนื่องจากมีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและแปลออกเป็นภาษาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ทำให้คริสต์ศาสนิกชนมีความรู้ความเข้าใจใหม่ การปฏิรูปศาสนาจึงเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างรวดเร็วเริ่มต้นขึ้นในอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางด้านสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ
สงครามแห่งความขัดแย้งระดับโลกที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ.1914 ถึงค.ศ.1918 ระหว่างฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง
สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็น “สงครามเบ็ดเสร็จ” (การทำสงครามที่รัฐที่เกี่ยวข้องมีการใช้ทรัพยากรและอาวุธที่ตนเองมีทุกอย่างโดยไม่มีข้อจำกัดเพื่อทำลายรัฐศัตรู)[2] ครั้งสำคัญครั้งที่ 2 ของโลกถัดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เกิดขึ้นราว 20 ปีก่อนหน้า (ค.ศ. 1914-1918) โดยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการรบระหว่างกลุ่มประเทศอักษะ (เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น) กับกลุ่มประเทศสัมพันธมิตรนำโดย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา