ให้ส่งงานภายในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม 2566
ผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
กุหลาบเป็นดอกไม้ที่อยู่เคียงคู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน จากหลักฐานฟอสซิล กุหลาบอาจปรากฏขึ้นบนโลกตั้งแต่ ๓๕ ล้านปีก่อน ด้วยความที่อยู่มานาน เรื่องราวของดอกกุหลาบจึงแทรกซึมอยู่ในเรื่องเล่าและตำนานของชนชาติต่าง ๆ มากมาย ส่วนตำนานดอกกุหลาบแบบไทย ๆ นั้นมีจุดเริ่มต้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖)
ตำนานดอกกุหลาบที่ว่านั้นคือ ‘มัทนะพาธา’ บทละครพูดที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง ‘คิดพล็อต’ ขึ้นเองทั้งหมด รัชกาลที่ ๖ ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์มัทนะพาธาเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ถึง ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ใช้เวลาแต่งรวมแค่ ๑ เดือนกับ ๑๗ วันก็เสร็จสมบูรณ์ หลังจากได้เค้าโครงเรื่องของตำนาน ขั้นตอนต่อมาคือการหาชื่อดอกกุหลาบที่จะมาเป็นชื่อของนางเอกในภาษาบาลีสันสกฤต เบื้องต้นพระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) ได้เสนอชื่อ ‘กุพฺชก’ ซึ่งหากจะให้เป็นชื่อนางเอกต้องเปลี่ยนเสียงเป็นคำว่า ‘กุพฺชกา’ ให้ฟังดูไพเราะ แต่ความหมายของคำว่ากุพฺชกานั้นแปลว่านางค่อม สุดท้ายจึงได้ชื่อ ‘มัทนา’ ที่มาจากคำว่า ‘มทน’ อันมีความหมายว่า ‘ความลุ่มหลงหรือความรัก’ มาแทน
ในส่วนของชื่อเรื่อง เมื่อคำว่า ‘มทน’ รวมกับคำว่า ‘พาธา’ ที่แปลว่าความทุกข์ ความหมายของ ‘มัทนะพาธา’ ในพจนานุกรมสันสกฤตจึงหมายถึง ‘ความเจ็บหรือเดือดร้อนแห่งความรัก’ ซึ่งตรงกับแกนเรื่องหลักของตำนานดอกกุหลาบไทย ๆ ฉบับนี้พอดี โดยวัตถุประสงค์ในการแต่งบทละครพูดคำฉันท์ เรื่องมัทนะพาธานี้ ก็เพื่อความบันเทิง และเพื่อชี้ให้เห็นถึงอานุภาพแห่งความรักที่สร้างความทุกข์ความเจ็บปวดได้หากไม่สมหวังในรัก
หากเพื่อน ๆ สังเกตดี ๆ ก็จะพบว่าวรรณคดีไทยหลาย ๆ เรื่องที่เราได้ศึกษากันในระดับชั้นมัธยมนั้นมีผลงานพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๖ อยู่มากมายทีเดียว และจากการที่ได้ไปศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ ทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดละครพูดตามแบบตะวันตกมาก และได้พระราชนิพนธ์บทละครพูดเองอยู่หลายเรื่อง เช่น บทละครเรื่องเห็นแก่ลูก ตามใจท่าน เวนิสวาณิช วิวาห์พระสมุทร และอื่น ๆ โดยบทละครเหล่านี้มักเป็นร้อยแก้วหรือคำกลอน แต่มัทนะพาธาเป็นบทละครพูดเรื่องเดียวที่แต่งเป็นฉันท์ ประกอบด้วยฉันท์ทั้งหมด ๒๑ ประเภทภายในเรื่องเดียว ได้แก่ อินทวงศ์ฉันท์ ๑๒ วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ อุปชาติฉันท์ ๑๑ จิตรปทาฉันท์ ๘ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ อุเปนทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ สาลินีฉันท์ ๑๑ อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑ สวางคตาฉันท์ ๑๑ รโธทธตาฉันท์ ๑๑ โตฏกฉันท์ ๑๒ กมลฉันท์ ๑๒ ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ ปิยังวทาฉันท์ ๑๒ วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ มันทักกันตาฉันท์ ๑๗ กุสุมิตลดาเวลิตาฉันท์ ๑๘ สัททุลวิกีฬิตฉันท์ ๑๙ เมฆวิปผุชชิตาฉันท์ ๑๙ อิทิสังฉันท์ ๒๐ สัทธราฉันท์ ๒๑
ฉันท์เป็นร้อยกรองชนิดหนึ่งที่มีความไพเราะและโดดเด่นแตกต่างกันไปแต่ละชนิด โดยลักษณะเด่นของฉันท์คือมีการกำหนดครุและลหุ และมีสัมผัสกำหนดเป็นมาตรฐาน ซึ่ง ‘ครุ’ คือคำที่ประสมด้วยสระเสียงยาว และคำที่มีตัวสะกดทั้งหมด ส่วน ‘ลหุ’ คือคำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นและไม่มีตัวสะกด
ยกตัวอย่างเช่น อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ เป็นฉันท์ที่มีลีลางดงามประดุจสายฟ้าที่เป็นอาวุธของพระอินทร์ นิยมแต่งในบทชม หรือบทโศกที่มีการคร่ำครวญ
ในองก์ที่ ๑ เรื่องราวจะเกิดขึ้นบนสวรรค์ทั้งหมด ตัวละครที่สำคัญได้แก่
มัทนา: มัทนาเป็นเทพธิดาที่สุเทษณ์หมายปอง มีรูปโฉมงดงามและมีจิตใจซื่อตรง ในอดีตชาติเคยเกิดเป็นธิดาของท้าวสุราษฎร์ แห่งแคว้นสุราษฎร์
สุเทษณ์: ในอดีตชาติ สุเทษณ์นั้นเกิดเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นปัญจาละ ได้ทำพลีกรรม (การบูชาเทพเจ้า) จนได้มาเกิดในสวรรค์ สุเทษณ์เป็นเทพผู้มีฤทธิ์ มีนิสัยเอาแต่ใจ และหลงใหลนางมัทนาเป็นที่สุด
มายาวิน: เป็นวิทยาธรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ สุเทษณ์ใช้มายาวินให้ใช้เวทมนตร์เรียกมัทนามาที่วิมานของตน
ท้าวชัยเสน: กษัตริย์หนุ่มรูปงามผู้ครองเมืองหัสตินาปุระ เมื่อได้ไปท่องเที่ยวล่าสัตว์ในป่าก็ได้พบมัทนาและตกหลุมรักนางทันที
ฤาษีกาละทรรศิน: ฤาษีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิมวันต์ และคอยดูแลนางมัทนาเสมือนบุตรสาวของตน