วัคซีนไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่คืออะไร?

ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ อาการเบื้องต้นจะคล้ายเป็นไข้หวัดธรรมดา แต่จะค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามร่างกายมากกว่าปกติ เป็นต้น และหากปล่อยเอาไว้นานจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและก่อให้เกิดโรคต่างๆตามมา เช่น ปอดบวม ปอดอักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ และอาจร้ายแรงถึงขั้นหัวใจวายได้

โรคไข้หวัดใหญ่มีกี่สายพันธุ์

โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) ซึ่งมีอยู่ 3 สายพันธุ์ คือ A,B และ C สายพันธุ์แต่ละสายพันธุ์ เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน คือสายพันธุ์ A และ B โดยอาการมักเริ่มขึ้นจากการติดเชื้อในเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบน(จมูกและคอ)และอาจแพร่กระจายไปยังปอดและหลอดลมได้ ในอดีตพบการระบาดของไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ B (Victoria และ Yamagata) สูงขึ้น 13-55%

การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีนเพิ่มภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ให้แก่ร่างกายเพราะสามารถลดความรุนแรงได้ถึง 70-80 % การฉีดวัคซีนจะฉีดที่ต้นแขนหลังฉีดวัคซีนประมาณ 2 สัปดาห์ จึงจะเกิดภูมิคุ้มกันโรคและอยู่ได้นาน 1 ปี องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้เพิ่มไวรัสสายพันธุ์ B เข้าในวัคซีนอีก 1 สายพันธุ์ เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั้นคือ Quadrivalent Influenza Vaccine ซึ่งครอบคลุมไวรัสทั้ง 4 สายพันธุ์ที่ทำให้ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ ดังต่อไปนี้

1.สายพันธุ์ A H1N1

2.สายพันธุ์ A H3N2


3.สายพันธุ์ B ตระกูล Victoria


4.สายพันธุ์ B ตระกูล Yamagata



ในทุกๆปี สายพันธุ์เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอยู่เสมอ นั้นเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำทุกปี โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) จะเป็นผู้กำหนดสายพันธุ์ย่อยของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่เหมาะสมในแต่ละปี

หากไม่ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์จะเป็นอย่างไร

การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้หวัดใหญ่ การไม่รับวัคซีนก็คือปล่อยให้เชื้อไวรัสเข้ามาหาเราได้โดยตรง โดยไม่มีการป้องกันใดๆ นั้นเอง หากเกิดการติดเชื้อไวรัสแล้วเป็นโรคไข้หวัดสายพันธุ์ต่างๆ เราอาจต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษามากกว่าค่าฉีดวัคซีนเสียด้วยซ้ำ

อัปเดตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ 2020

เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ้ในแต่ละสายพันธุ์ จะประกอบไปด้วยสายพันธุ์ย่อยมากมาย ในปี 2020 นี้ WHO ได้กำหนดสายพันธุ์ย่อยของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์สำหรับประเทศซีกโลกใต้(รวมถึงประเทศไทย) ดังนี้

ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A H1N1 สายพันธุ์ย่อย Brisbane

ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A H3N2 สายพันธุ์ย่อย South Australia


ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B Victoria สายพันธุ์ย่อย washington


ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B Yamagataสายพันธุ์ย่อย Phuket



การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยลดความรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ได้มาก


ฉีดวัคซีนป้องกันใหญ่หวัดใหญ่ 2020 ช่วงไหนดี?

แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในช่วงก่อนฤดูฝน(เดือนพฤษภาคม) หรือก่อนฤดูหนาว (เดือนตุลาคม) เพราะเป็นช่วงที่เริ่มมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่อยู่ในก ลุ่มเสี่ยง การฉีดวัคซีนทุกปีจึงเป็นการกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับสูง ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในแต่ละปี วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ แนะนำให้ฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 6 เดือน จนถึงผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ รวมถึงหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้เช่นกัน เด็กอายุต่ำกว่า 9 ปีถ้าไม่เคยฉีดปีแรกต้องฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน

ประโยชน์ของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์

  • สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้มากขึ้น ทั้งสายพันธุ์ A และ B

  • ลดอัตราการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่

  • ลดปัญหาจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรัง

  • ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ จากภาวะแทรกซ้อนในการติดเชื้อแบคทีเรียทีเรียที่อาจเกิดขึ้น

  • ลดค่าใช้จ่ายในการการรักษาตัวในโรงพยาบาล

  • ลดการขาดงานหรือขาดเรียน

  • ลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่

ผู้ที่ไม่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้แก่

  • อายุน้อยกว่า 6 เดือน

  • คนที่แพ้ไข่อย่างรุนแรง หรือสารเคมีอื่นในวัคซีน

  • ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้วมีอาการแพ้อย่างรุนแรง

  • หากมีไข้สูงหรือเจ็บป่วยที่อาการไม่วางใจควรเลื่อนการรับวัคซีนไปก่อน