🍀ประวัติส่วนตัว🍁
🍀ประวัติส่วนตัว🍁
ตำแหน่ง ครู ไม่มีวิทยฐานะ
รายวิชาที่สอน เคมี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6
สถานศึกษา โรงเรียนคำยางพิทยา
สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี
🌞ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่ง
📚ภาระงาน จะมีภาระงานเป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567
ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 22 ชั่วโมง 30 นาที/สัปดาห์ ดังนี้
กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
วิชาเคมีเพิ่มเติม จำนวน 9 ชั่วโมง 10 นาที/สัปดาห์
วิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม จำนวน 5 ชั่วโมง /สัปดาห์
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน จำนวน 5 ชั่วโมง /สัปดาห์
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
วิชาการป้องกันการทุจริต จำนวน 50 นาที /สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ลูกเสือ-เนตรนารี จำนวน 50 นาที /สัปดาห์
กิจกรรมสังคมและสาธารณประโยชน์ จำนวน 50 นาที /สัปดาห์
กิจกรรมแนะแนว จำนวน 50 นาที /สัปดาห์
คำสั่งแต่งตั้งครูเข้าสอนภาคเรียนที่ 2/2567
คำสั่งสอนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ปีการศึกษา 2567
งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 ชั่วโมง/สัปดาห์
การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
การสร้างและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
การวัดผลและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
คำสั่งโรงเรียนคำยางพิทยา เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาปฏิบัติหน้าที่ในสถานศึกษา
งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 6 ชั่วโมง/สัปดาห์
งานครูที่ปรึกษา จำนวน 1 ชั่วโมง /สัปดาห์
เจ้าหน้าที่งานบุคคล จำนวน 5 ชั่วโมง/ สัปดาห์
คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเยี่ยมบ้าน ปีการศึกษา 2567
คำสั่งแต่งตั้งครูที่ปรึกษา ปีการศึกษา 2567
📒งานที่จะปฏิบัติตามมาตรฐานตำแหน่ง ครู
📗งานที่ได้รับมอบหมายและการรักษาวินัย
📑ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทาย
ประเด็นท้าทาย
การพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหารายวิชาเคมี เรื่อง โมลและสูตรเคมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้(5E) ร่วมกับเทคนิคการแก้ปัญหาของโพลยา เสริมด้วย AI Chatbots
1. สภาพปัญหาของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้
วิชาเคมี เป็นรายวิชาหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยธรรมชาติของเนื้อหาวิชาเคมี มีทั้งเนื้อหาที่เป็นความรู้ความจำ เช่น สารและสมบัติของสาร อะตอมและตารางธาตุ พันธะเคมี สารชีวโมเลกุล ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรมเคมี เป็นต้น และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณ เช่น ปริมาณสารสัมพันธ์ ของแข็ง ของเหลว แก๊ส สมดุลเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี กรด-เบส เป็นต้น จากการจัดการเรียนการสอนวิชาเคมี พบว่า เนื้อหาในส่วนที่เป็นการคำนวณ ผู้เรียนมีความรู้ประสบการณ์เดิม และแนวคิดที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาเคมี เช่น เรื่องโมเลกุล กรด-เบส การคำนวณหาปริมาณสารจากสมการ ความเข้มข้นของสารละลายและความสัมพันธ์ระหว่างสารต่างๆ ในสมการเคมีซึ่งต้องใช้ความรู้เรื่องโมลในการแก้ปัญหา โดยในเรื่องโมลและสูตรเคมี นั้นผู้เรียนก็มีแนวคิดที่คลาดเคลื่อน เช่น แก๊สจำนวน 1 โมล มี 6.02 x 1023 อะตอม ของแข็งมีปริมาตร 22.4 ลูกบาศก์เดซิเมตร ที่ภาวะอุณหภูมิและความดันมาตรฐาน และแก๊สจำนวน 1 โมล มีปริมาตร 22.4 ลูกบาศก์เดซิเมตร ที่ภาวะอุณหภูมิและความดันใดๆ นอกจากนี้ผู้เรียนไม่สามารถนำความรู้เรื่องโมลมาใช้ในการบอกปริมาณสารได้ ซึ่งจะเห็นว่าในเนื้อหาวิชาเคมี จำเป็นต้องใช้ความรู้เรื่องโมลและสูตรเคมี เป็นพื้นฐานในการเรียน เช่น อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี กรด-เบส ปริมาณสารสัมพันธ์ และสมดุลเคมี เป็นต้น ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนนี้สามารถทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องได้ด้วยการแก้โจทย์ปัญหา เนื่องจาก 1)ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์ตรงเกิดเป็นความกระจ่างชัดเจนจากประสบการณ์การเรียนรู้ 2)เปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกฝนความสามารถในการแก้ปัญหา คิดอย่างเป็นระบบ และตัดสินใจ 3)ผู้เรียนมีโอกาสใช้ความรู้ที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการแก้ปัญหาซึ่งทำให้สามารถจดจำบทเรียนได้ดีด้วย
การแก้โจทย์ปัญหาจึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่จะแสดงถึงความเข้าใจที่ถูกต้องในเนื้อหาได้อย่างชัดเจน และแสดงถึงการเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีและการนำไปใช้อย่างชัดเจน เพื่อแก้ปัญหาในการจัดการเรียนรู้วิชาเคมี ครูจึงควรสอดแทรกกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาเข้าไปสู่กระบวนการเรียนการสอนทุกครั้ง ควรฝึกให้นักเรียนแก้โจทย์ปัญหาอย่างมีขั้นตอนและเป็นระบบอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสอดคล้องกับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (IPST, 2008) ที่ระบุว่า ครูควรส่งเสริมให้นักเรียนคิดและลงมือปฏิบัติแก้โจทย์ปัญหาตามขั้นตอนและกระบวนการแก้ปัญหา โดยขณะดำเนินการจัดการเรียนรู้ ครูต้องให้ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนและกระบวนการแก้ปัญหาแก่นักเรียน เลือกใช้โจทย์ปัญหาที่ส่งเสริมกระบวนการแก้ปัญหาในระหว่างการสอน จากนั้นจึงสนับสนุนให้นักเรียนได้คิดและลงมือปฏิบัติแก้โจทย์ปัญหาด้วยตนเองตามขั้นตอนและกระบวนการแก้ปัญหา เพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับการแก้โจทย์ปัญหาตามขั้นตอนกระบวนการแก้ปัญหาที่ถูกต้องและเป็นการตรวจสอบความเข้าใจที่ถูกต้องของนักเรียน
กระบวนการแก้โจทย์ปัญหานั้นมีรูปแบบและมีวิธีการที่หลายหลาย แต่รูปแบบที่ได้ รับการยอมรับและเหมาะสมต่อการนำมาใช้ในการเรียนรู้ภายในชั้นเรียน (Adegoke, 1990; Han and Kim, 2016; Lee, 2015; Yuan, 2013) คือ กระบวน การแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา (Polya, 1975) ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนการแก้ปัญหา 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นทำความเข้าใจปัญหา นักเรียนต้องวิเคราะห์และเขียนสิ่งที่โจทย์ปัญหากำหนด ให้ ขั้นที่ 2 ขั้นวางแผนแก้ปัญหา นักเรียนกำหนดแนวทางวิธีการในการแก้ปัญหาและนำเสนอภายในกลุ่ม ขั้นที่ 3 ขั้นดำเนินการแก้ปัญหา นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกวิธีการแก้โจทย์ปัญหาและปฏิบัติตามวิธีการที่ได้เลือกไว้เพื่อหาคำตอบของปัญหา และขั้นที่ 4 ขั้นตรวจสอบ นักเรียนตรวจสอบคำตอบของการแก้ปัญหาว่าถูกต้องหรือไม่ ซึ่งขั้นตอนการแก้ปัญหาของโพลยามีความเป็นระบบ มีความต่อเนื่องและเกี่ยวเนื่องกันทุกขั้นตอน จึงช่วยให้นักเรียนสามารถแก้โจทย์ปัญหาได้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน มีการปรับขยายแนวคิดในการแก้ปัญหา และมีการตรวจสอบผลที่ได้ทำให้นักเรียนสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาและคำตอบที่ได้รับ และสามารถพัฒนาความคิดของนักเรียนอย่างเป็นกระบวนการ และจากการที่ Bilgin (2006) ทดลองใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาในรายวิชาเคมีนั้น พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้นจากเดิมที่เรียนแบบปกติด้วย
จากปัญหาดังกล่าว การพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหารายวิชาเคมี เรื่อง โมลและสูตรเคมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้(5E) ร่วมกับเทคนิคการแก้ปัญหาของโพลยา เสริมด้วย AI Chatbots จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่เหมาะสมต่อการพัฒนาทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาเคมีด้วยตนเองของนักเรียน ซึ่งนักเรียนสามารถเสริมสร้างการเรียนรู้ เรื่อง โมลและสูตรเคมี ได้ด้วยตนเองอีกทั้งเป็นการสร้างพื้นฐานที่มั่นคงในการเรียนวิชาเคมีในหัวข้ออื่น ๆ ต่อไป
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
2.1 ผู้สอนวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนคำยางพิทยา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) เกี่ยวกับสาระเคมีและผลการเรียนรู้ เรื่อง โมลและสูตรเคมี
2.2 ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) การสอนโดยการใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา และการใช้ AI Chatbots
2.3 วิเคราะห์ผู้เรียนรายบุคคลเพื่อจัดการเรียนรู้ตามความแตกต่างของผู้เรียน
2.4 ผู้สอนจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง โมลและสูตรเคมี จำนวน 6 แผน
2.5 ทำความเข้าใจโจทย์ปัญหา : นักเรียนต้องร่วมกันพิจารณาและทำความเข้าใจปัญหาเพื่อบอกได้ว่าโจทย์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร โจทย์กำหนดอะไรมา และโจทย์ต้อง การทราบอะไร
2.6 วางแผนแก้ปัญหา : นักเรียนต้องร่วมกันพิจารณาและเลือกวิธีในการแก้โจทย์ปัญหาว่าจะแก้ด้วยวิธีใดจึงจะเหมาะสมที่สุด
2.7 ดำเนินการตามแผน: นักเรียนดำเนินการแก้โจทย์ปัญหาตามแผนที่วางไว้
2.8 ตรวจสอบผล: นักเรียนตรวจสอบความถูกต้องและเหมาะสมของคำตอบที่ได้และโจทย์ปัญหา รวมถึงพิจารณาคำตอบที่ได้ว่าถูกต้องหรือไม่ มีคำตอบอื่นนอกเหนือจากนี้หรือไม่
โดยการเริ่มการจัดการเรียนรู้ในแต่ละแผน ครูจะดำเนินการสาธิตกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาให้นักเรียนดูเป็นตัวอย่าง จากนั้นจึงให้นักเรียนได้ดำเนินการแก้โจทย์ปัญหาตามกระบวนการของโพลยาด้วยตนเอง โดยมีครูคอยแนะนำและให้ความช่วยเหลือนักเรียนอย่างใกล้ชิด
3. ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง
3.1 เชิงปริมาณ
3.1.1 นักเรียนร้อยละ 80 เข้าใจเกี่ยวกับวิธีการแก้โจทย์ปัญหาวิชาเคมี เรื่อง โมลและสูตรเคมี เคมี โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) ร่วมกับเทคนิคการแก้ปัญหาของโพลยา เสริมด้วย AI Chatbots
3.1.2 นักเรียนร้อยละ 80 ผ่านการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ตั้งไว้
3.2 เชิงคุณภาพ
3.2.1 นักเรียนร้อยละ 80 มีทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาเคมี เรื่อง โมลและสูตรเคมี โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) ร่วมกับเทคนิคการแก้ปัญหาของโพลยา เสริมด้วย AI Chatbots หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน