ตำนานเมืองไชยบุรี
( บ้านไชยบุรี + ท่าอุเทน )
ตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ตั้งอยู่ที่ NE ๔๘-๑๐ ๑: ๒๕๐,๐๐๐ ละติจูด ที่ ๑๐๔ องศา ๒๗ ลิปดา ๐๐ ฟิลิปดา ตะวันออก, ลองติจูดที่ ๑๗ องศา ๓๘ ลิปดา ๐๐ ฟิลิปดา เหนือ
ไชยบุรี มีตำนานเล่าขานว่าไม่ได้เป็นเมืองของผู้ไทยโดยแท้ แต่มีตำนานสอดคล้องกับชาวผู้ไทยไชยบุรี เดิมเป็นเมืองปากน้ำศรีสงครามตามพงศาวดารรัชกาลที่ ๓ พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ เล่ม ๒ หน้า ๑๗๙ ว่าได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมยกขึ้นเป็นเมืองในสมัยรัชการที่ ๓ การยกขึ้นเป็นเมืองคราวนี้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเล่าว่า มีเรื่องประหลาดที่หม่อมฉันไปทราบความในท้องถิ่นว่า ดั้งเดิมราษฎรเมืองท่าอุเทนกับเมืองไชยบุรี ซึ่งอยู่ในแนวลำน้ำโขงติดต่อกันอพยพหนีไปอยู่ทางฝั่งซ้ายใกล้แดนญวน พวกชาวเมืองไชยบุรีกลับมาก่อนเห็นว่าที่นาเมืองท่าอุเทนดีจึงพากันไปตั้งอยู่ที่เมืองท่าอุเทน เมื่อชาวเมืองท่าอุเทนกลับมาพบเห็นว่าบ้านเดิมของตนกลับเป็นของคนอื่นแล้ว จึงพากันไปตั้งอยู่เมืองไชยบุรี ราษฎรก็ไขว้เมืองกันมาตั้งแต่นั้น (สาส์นสมเด็จโรงพิมพ์คุรุสภา พ.ศ. ๒๕๐๔ เล่ม ๖ หน้า ๒๙๗)
ตามหนังสือฝั่งขวาแม่น้ำโขงกล่าวว่าได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ยกบ้านปากน้ำสงครามขึ้นเป็นเมืองไชยบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๓ ในสมัยรัชกาลที่ ๓
สมัยเมื่อมีการปราบกบฏเจ้าอนุเวียงจันทร์ (พ.ศ.๒๓๖๙-๒๓๗๑) เมื่อปราบปรามกบฏจบลงแล้ว ได้กวาดต้อนผู้คนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงตามแนวบริเวณใกล้กับแดนญวน เข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔ โดยมีพระมหาสงครามเป็นแม่ทัพ ได้เกณฑ์กองทัพจากเมืองท่าอุเทน เมืองไชยบุรี เมืองสกลนคร เมืองแสน รวมกำลังพล ๓,๓๐๐ คน พงศาวดาร รัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๐๕ เล่ม ๒ หน้า ๖๐ ซึ่งพอจะสันนิษฐานได้ว่าเมืองไชยบุรีได้ตั้งเป็นเมืองอย่างมั่นคงแล้ว จากสาส์นตราเจ้าพระยาจักรีสมัยรัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๘๑ ได้กล่าวถึงเมืองไชยบุรีว่า อนึ่ง หลวงศรีโยธา หมื่นภิรมย์รักษา ข้าหลวง หลวงประสิทธิ์สงครามกองนอกเมืองนครราชสีมา พระสุนทรราชวงษา พระยาไชยสุนทรเมืองกาฬสินธุ์ บอกไว้แต่ก่อนว่าครอบครัวเมืองคำเกิด บ้านนาอาว นาซอง ชาย หญิง ใหญ่น้อย ๒๐๐ คน ได้ข้ามมาทางเมืองไชยบุรี เจ้าเมืองกรมการเมืองไชยบุรีว่าครอบครัวนี้เป็นครอบครัวเวียงจันทร์ อุปฮาดราชวงศ์เมืองคำเกิด คำม่วน ว่าเป็นครอบครัวเมืองคำเกิด เมืองคำม่วน เวียงจันทร์ชักเอาไป ครั้นเจ้าอนุเวียงจันทร์แตกไปอยู่เมืองมหาชัย เจ้าอนุเวียงจันทร์มอบครอบครัวนี้ให้เมืองคำเกิด คำม่วนตามเดิม เจ้าเมืองไชยบุรีก็ส่งครอบครัวคืนให้ไป ๖๗ คน ชักเอาไว้ที่เมืองไชยบุรี ๑๓๓ คน ครอบครัวเมือง คำเกิด คำม่วน ข้ามมาทางเมืองท่าอุเทน ชาย หญิง ผู้ใหญ่ ๑๕๓ คน พระศรีวรราชเจ้าเมือง ท่าอุเทน ชักเอาไว้ ๓๐ คน และส่งไปอยู่ที่บ้านแซงกระดาน ๑๒๓ คน นั้นพระสุนทรราชวงษากับพระไชยวงษาเจ้าเมืองไชยบุรีราชบุตรเมืองท่าอุเทน เจ้าเมืองท้าวเพี้ยเมืองคำเกิด เมืองคำม่วนลงไปพร้อม ณ กรุงเทพมหานคร ก็ได้ว่ากล่าวด้วยครัวรายเมือง (รายงาน) เมืองคำเกิด คำมวน (คำม่วน) ซึ่งเกี่ยวข้องกับ เมืองไชยบุรี เมืองท่าอุเทน
พระไชยวงษา ราชบุตร เมืองท่าอุเทนว่าครอบครัวเมืองไชยบุรีกับเมืองท่าอุเทนมีความสมัครใจ เจ้าเมือง ราชบุตร ท้าวเพี้ยเมืองคำเกิด เมืองคำมวน(คำม่วน) ก็ยอมให้ครอบครัวอยู่ตามใจสมัครนั้น ครอบครัวฟากตะวันออกเข้าสวามิภักดิ์ว่าพากันข้ามมาแต่โดยดีมีตราขึ้นมาแต่ก่อนว่าครัวจะสมัครใจอยู่เมืองไหนก็ให้อยู่ตามใจสมัครที่แจ้งอยู่ในท้องตราแต่ก่อนแล้วนั้น และครัวเมืองคำเกิด เมืองคำมวน(คำม่วน) ซึ่งสมัครใจอยู่เมืองไชยบุรี ๑๓๓ คน สมัครใจอยู่เมืองท่าอุเทน ๓๐ คน เจ้าเพี้ยเมืองคำเกิด เมืองคำมวน(คำม่วน) ก็ยอมให้ครัวอยู่ตามใจสมัครชอบอยู่แล้ว ( นายถวิล เกสรราช สันนิษฐานว่าจากหลักฐานก็เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่า เจ้าเมืองไชยบุรีนั้น มีบรรดาศักดิ์เป็นพระไชยวงษาแต่ไม่ปรากฏชื่อตัว สำหรับอุปฮาดราชวงศ์และราชบุตรก็ค้นหาไม่พบว่ามีชื่อว่าอย่างไรบ้าง)
พ.ศ. ๒๔๕๗ มีประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๕๗ ปรับปรุงเขตอำเภอสำหรับการปกครองในมณฑลอุดรได้กล่าวถึง อำเภอไชยบุรี(เมือง) ท้องที่อำเภอโพนพิสัยนั้น ตามลำน้ำของ(โขง) ไปทางใต้ราว ๔,๐๐๐ เส้น กรมการอำเภอโพนพิสัย ดูงานไม่ทั่วถึงและอำเภอ(เมือง) ไชยบุรี ก็ตั้งอยู่บัดนี้ก็ใกล้อำเภอท่าอุเทนเกินไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตัดท้องที่อำเภอโพนพิสัยตอนใต้ ไปรวมกับท้องที่อำเภอ(เมือง)ไชยบุรี และให้ย้ายที่ว่าการอำเภอ(เมือง) ไชยบุรีมาตั้งที่บ้านบึงกาฬจรดริมแม่น้ำของ(โขง) เพราะเป็นศูนย์กลางเหมาะแก่การปกครองท้องที่อำเภอ(เมือง) และอำเภอ(เมือง) ไชยบุรีก็ยังคงขึ้นเมืองนครพนมตามเดิม(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๑ หน้า ๔๘ ลงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๔๕๗)
ครั้นในปีต่อมา พ.ศ.๒๔๕๙ มีประกาศพระบรมราชโองการเรื่อง โอนอำเภอ(เมือง)ไชยบุรีไปขึ้นจังหวัดหนองคาย ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๔๕๙ มีความว่าทรงทราบฝ่าละอองธุรีพระบาทว่าอำเภอ(เมือง) ไชยบุรี ซึ่งเป็นอำเภอขึ้นจังหวัดนครพนมเวลานี้ (พ.ศ.๒๔๕๙) มีท้องที่และระยะทางห่างไกลจากจังหวัดนครพนมมาก เป็นการลำบากแก่ราษฎรที่อยู่ในแขวงอำเภอ(เมือง)ไชยบุรี ผู้มีกิจสุขทุกข์จะมายังจังหวัดนครพนมและทั้งไม่เหมาะแก่การปกครอง จึงทรงพระราชดำริว่าสมควรจะโอนอำเภอ(เมือง) ไชยบุรี มาขึ้นจึงหวัดหนองคาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้โอนอำเภอ(เมือง)ไชยบุรีมาขึ้นจังหวัดหนองคาย ตั้งแต่บัดนี้ (พ.ศ.๒๔๕๙) เป็นต้นไป (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๓ หน้า ๓๒๐ – ๓๒๑ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๔๕๙)
ซึ่งตามนัยเนื้อหาของพระบรมราชโองการแสดงให้เห็นและเข้าใจว่า หมายถึงการโอนเมืองไชยบุรีที่ตั้งที่ว่าการอยู่ที่บ้านบังกาฬจนกระทั่งมีการไปขึ้นกับจังหวัดหนองคาย แล้วต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบึงกาฬ ขึ้นกับจังหวัดหนองคาย ส่วนบ้านปากน้ำสงครามที่เป็นเมืองไชยบุรีนั้นก็ยังคงมีชื่ออยู่ มิได้โอนไปขึ้นกับจังหวัดหนองคายแต่อย่างใด ยังคงมีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดนครพนมอยู่เหมือนเดิม ดังปรากฏ หลักฐานในประกาศเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่รับพระราชโองการให้เรียกชื่ออำเภอทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๔๖๐ มีความว่า อำเภอไชยบุรี ในจังหวัดนครพนมนั้นคงให้เรียกชื่ออำเภอไชยบุรีตามเดิม ( ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๔ หน้า ๖๐ ลงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๔๖๐ ) ซึ่งเวลาต่อ ๆ มา เมืองไชยบุรีได้ถูกยุบลงให้เป็น ตำบลไชยบุรีขึ้นอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
ยังมีราชบัณฑิตยสถานกล่าวถึงไชยบุรี และท่าอุเทน ว่า “ ตำบลไชยบุรีขึ้นอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม” เคยเป็นเมืองไชยบุรี ท่าอุเทน ตำบลและอำเภอขึ้นจังหวัดนครพนม โดยตั้งที่ว่าการอำเภอที่ตำบลท่าอุเทนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง
ตำนาน เล่าขานกันมาว่าอำเภอท่าอุเทนเป็นเมืองเก่า แต่ไม่ปรากฏชื่อว่าเมืองอะไร ตำนานกล่าวว่าชาวเมืองท่าอุเทนเกิดความรังเกียจว่าเป็นเมืองที่อยู่ตรงกันข้ามกับปากน้ำหินบูร ไหลพุ่งตรงมายังเมืองเป็นเมืองถูกแทงตลอดเวลา จึงพากันอพยพไปตั้งอยู่เมืองใหม่ที่ลำแม่น้ำสงคราม เรียกว่าชัยบุรีปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๕๓) เป็นตำบลไชยบุรี ขึ้นอำเภอท่าอุเทน และ
ต่อมาภายหลังได้มีชาวเมือง ป่าลิง อยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงอพยพมาทางฝั่งขวา เมื่อมาถึงเมืองเก่า (ท่าอุเทน) เห็นว่าสภาพพื้นที่ทำอยู่ทำกินอุดมสมบูรณ์จึงพากันตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยจนปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๕๓) จึงได้ขนานนามว่าท่าอุเทน ตั้งแต่นั้นมาและได้มีพระบรมราชโองการให้ตั้งเป็น เมืองท่าอุเทน ในรัชกาลที่ ๓ ต่อมาได้ยุบลงเป็นอำเภอท่าอุเทนในสมัย รัชกาลที่ ๕ อำเภอท่าอุเทน มีอาณาเขตกว้างขวางมาก มีพลเมืองมาก มีโบราณวัตถุสำคัญคือ องค์พระธาตุท่าอุเทน ที่จำลองมาจาก องค์พระธาตุพนม สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ และมีเมืองโบราณชื่อ เมืองศรีเวินไชย เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๒ มี ๙ ตำบล คือ ๑. ตำบลท่าอุเทน ๒. ตำบลชัยบุรี ๓. ตำบลท่าจำปา ๔. ตำบลนาขมิ้น ๕. ตำบลบ้านค้อ ๖. ตำบลพนอม ๗. ตำบลพะทาย ๘. ตำบลโพนสวรรค์ ๙. ตำบลรามราช (อักรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย พ.ศ. ๒๕๐๗ เล่ม ๒ หน้า ๒๘๖ และ ๔๙๖)
แหล่งที่มา: หนังสือธนาคารสมอง จังหวัดนครพนม ปรับปรุงครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๔
NAKHONPANOM BRAIN BANK SOCIETY ๒๐๑๑