วัดอัมพวัน
วัดอัมพวัน เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ 1 หมู่ที่ 13 บ้านคลองขวาง ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี รหัสไปรณีย์ 11140
พิกัดทางภูมิศาสตร์ตั้งอยู่ที่ ละติจูด 13.842052 ลองจิจูด 100.422476
ประวัติความเป็นมาของวัดอัมพวัน
วัดอัมพวันสร้างขึ้น พ.ศ. 2175 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เดิมชื่อ วัดบางม่วง ตั้งอยู่ริมคลองแม่น้ำอ้อม ซึ่งเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม การตั้งชื่อวัดแห่งนี้สันนิษฐานว่า ตั้งตามชื่อสภาพการทำสวน "มะม่วง" ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่พื้นที่โดยรอบวัด ทั้งนี้คำว่า อัมพวัน หรือ อัมพวาน หมายถึง ป่า หรือสวนมะม่วง โดยในสมัยพุทธกาล สวนอัมพวันตั้งอยู่ระหว่างกำแพงกรุงราชคฤห์กับภูเขาคิชฌกูฏ แต่เดิมเป็นของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ครั้งหนึ่งหมอชีวกโกมารภัจจ์เคยถวายการรักษาอาการประชวรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงอาพาธให้หายเห็นปกติ แล้วถวายผ้าเนื้อดีจากแคว้นสีพีคู่หนึ่ง พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา ทันทีที่ทรงอนุโมทนาจบลงหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็บรรลุโสดาปัตติผล ปัจจุบันในประเทศไทยมีวัดที่ใช้ชื่อว่า "วัดอัมพวัน"ีอยู่เกือบ ๓๐ แห่ง วัดอัมพวันได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับวัดบางม่วง เล่าว่า เมื่อครั้งที่กรุงศรีอยุธยามีโรคระบาดครั้งใหญ่ ผู้คนจำนวนมากล้มตายด้วยโรคห่า (โรคอหิวาตกโรค) สมัยนั้นการแพทย์ยังไม่สามารรถรักษาได้ โรคห่าได้ระบาดเป็นวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดพระเจ้าปราสาททอง ทรงอพยพไพร่ฟ้าประชาชนหนีมาตั้งมั่นที่วัดอัมพวันแห่งนี้ แล้วใช้สถานที่ของวัดประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ถือศีล บำเพ็ญบุญฟังธรรม วัดอัมพวัน สร้างขึ้นเป็นวัด เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2361 ในสมัยนั้นมีชื่อเรียกว่า 'วัดบางม่วง' เพราะที่ตั้งของวัดอยู่ติดกับคลองบางม่วง ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องของแร่บางม่วง ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์เทียบเคียงกับแร่บางไผ่-แร่บางเดื่อ
ในปี พ.ศ. 2556 มีการพบ "พระขุนแผนเคลือบกรุวัดอัมพวัน" เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556 พระเกษมสันต์ ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการพระครูมงคลกิจจาทร (หลวงปูทองย้อย มังคโล) เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ตำบลบางด้วน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี พูดว่า มีการพบไห 1 ใบ โดยพบพระกว่า 100 องค์เท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานไหที่พบเพิ่มเป็น 2 ใบ มีจำนวนพระเพิ่มขึ้นประมาณ 200 องค์ ส่วนพระขุนแผนเคลือบกรุวัดอัมพวัน ที่หมุนเวียนในวงการพระเครื่องเวลานี้มีราว 400 องค์ ที่เกินมาผู้ครอบครองต่างก็ยืนยันว่าเป็น "พระขุนแผนเคลือบกรุวัดอัมพวัน 100% ทั้งสิ้น"
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า วัดอัมพวัน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี อยู่ห่างไกลจากพระนครศรีอยุธยาค่อนข้างมาก แต่ก็พอสันนิษฐานได้ว่า คลองบางกอกน้อยครั้งโบราณ คือแม่น้ำเจ้าพระยา ใช้เป็นเส้นทางเดินเรือทำมาค้าขายของพ่อค้าวาณิช และขุนศึกนายกองใช้เดินเรือออกรบทัพจับศึก และวัดอัมพวัน หรือวัดม่วงก็เป็นวัดเก่าแก่ สร้างสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา พระเถระจากเมืองหลวงอาจจาริกมาจำพรรษาที่วัดนี้ เป็นไปได้ที่พระคุณเจ้าจะนำพระเครื่องขุนแผนมาบรรจุไว้ภายในเจดีย์ตามประเพณีนิยม
และมีข้อถกเถียงที่หาข้อยุติไม่ได้ คือ จำนวนไหและพระที่พบ ในที่สุดจึงมีการเสวนา "เจาะลึกพระขุนแผนเคลือบกรุวัดอัมพวัน" ที่โรงแรมริชมอนด์ เมื่อวันพุธที่ 22 พฤษภาคม 2556 โดยมีนายพยัพ คำพันธุ์ นายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย นายพิศาล เตชะวิภาค หรือ ต้อย เมืองนนท์ อุปนายกสมาคม พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาตำรวจนครบาล (บิ๊กแจ๊ส) อาจารย์ภุชงค์ จันทวิช นักโบราณคดี เชาวร์ ริเวอร์ ผู้ชำนาญการวัตถุโบราณ อย่างไรก็ตาม เสร็จสิ้นการเสวนามีการตั้งคำถามคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ คือ "พบไหกี่ใบและมีพระกี่องค์" เชาว์ ริเวอร์ ยืนยันพระกรุใหม่วัดอัมพวัน แตกออกมาคราวนี้ต้องมี 3,000 องค์
ความสำคัญของวัดอัมพวัน
วัดบางม่วง หรือวัดอัมพวันเป็นวัดสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประมาณรัชกาลพระเจ้าปราสาททอง ตั้งอยู่ริมคลองแม่น้ำอ้อม ตำบลบางม่วง สิ่งที่น่าสนใจของวัดนี้คือ หอไตรกลางน้ำ เป็น สถาปัตยกรรมไทยที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นเรือนไม้ตั้งอยู่ในสระน้ำขนาดเล็ก ตัวหอเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างโล่งไม่มีพื้นและฝา ชั้นบนเป็นตัวหอขนาด 2 ห้อง ช่วงล่างเป็นลูกฟักกระดานดุน ตอนบนเป็นซี่ลูกกรงไม้กลึงเสากรอบประตูเป็นเสาหัวเม็ด ประตูหูข้าง เครื่องลำยองเป็นไม้จำหลัก หลังคาซ้อน 2 ชั้น มีปีกนก 1 ชั้น มุงกระเบื้องดินเผาใต้เชิงชาย และหน้าบันประดับไม้สลักลายรดน้ำ ฝาผนังด้านนอกทาสีลูกฟักด้วยสีแดง ขอบขาวตัวไม้เครื่องบันอื่นๆ ทาสีขาว ตัดเหลี่ยมสีแดง เสาลงพื้นสีขาวเขียนลายแดง หน้าบาน ประตูเข้าในหอไตรเป็นบานไม้ลงรักปิดทองลายพุ่มข้าว-บิณฑ์ และประจำยามก้านแย่ง อกเลาเป็นไม้จำหลักลายดอกพุดตานลูกฟัก เหนือประตูเป็นภาพนกข้างละตัว เหนือขึ้นไปเป็นภาพพระอาทิตย์ พระจันทร์ ในห้องสะกัดท้ายหอไตรเป็นที่เก็บพานตะลุ่ม และ ฐานพระพุทธรูปไม้จำหลักเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีมณฑปพระพุทธบาท ภายในมีพระพุทธบาทจำลองทำด้วยโลหะประดิษฐานอยู่บนฐานปูน และศาลาท่าน้ำที่งดงามมาก
บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับวัดอัมพวัน
พระครูนนทภัทรประดิษฐ์ (หลวงพ่อดิษฐ์)
พระครูนนทภัทรประดิษฐ์ หรือ หลวงพ่อดิษฐ์ เป็นหนึ่งในพระเกจิอาจารย์ชื่อดังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านมีชื่อเสียงความโด่งดังมากในเรื่องการรักษาโรคด้วยวิทยาคมกับสมุนไพรไทย รุ่นราวคราวเดียวกันกับหลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง หลวงพ่อทองสุข วัดสะพานสูง เป็นต้น เท่าที่ทราบหลวงพ่อดิษฐ์ได้เรียนเรื่องวิชาอาคมมาจากหลวงพ่อเกิด วัดบางเดื่อ ศิษย์ในสายหลวงปู่จัน วัดโมลี และหลวงพ่อโต วัดท่าอิฐ ศิษย์ในสายหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน และเกจิยุคเก่าอื่นๆ อีกหลายองค์
หลวงพ่อดิษฐ์ เป็นชาวจังหวัดสมุทรสาคร ประกอบอาชีพทำสวนผลไม้ ฐานะอยู่ในขั้นมีอันจะกินในวัยเด็ก ท่านเป็นคนขยันขันแข็งและมีความอดทนกับงานหนักทุกอย่าง เมื่อบิดาล่องเรือนำผลไม้มาขายในกรุงเทพฯ ท่านมักจะขอติดตามมาด้วยทุกครั้ง วันหนึ่งบิดาถูกงูพิษกัด ท่านพยายามช่วยเหลือทุกวิถีทางแต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งบิดาเสียชีวิต ยังความเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก ทำให้เกิดความคิดว่าหากท่านมีวิชาความรู้ทางการแพทย์ บิดาก็คงมีโอกาสรอดชีวิตแน่นอน ดังนั้นหลังจากเสร็จงานศพ จึงขออนุญาตมารดาเข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร เพื่อศึกษาหาความรู้วิชาทางการแพทย์ ท่านได้เรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อโต เจ้าอาวาสวัดท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีชื่อเสียงความโด่งดังมากในเรื่องการรักษาโรคด้วยวิทยาคมกับสมุนไพรไทย (หลวงพ่อโต เป็นศิษย์เอกของ 'หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน' ผู้สร้างหนุมานเลื่องลือก้องสะท้านวงการเครื่องรางของขลัง วิทยาคมต่าง ๆ ของหลวงพ่อสุ่นได้ถ่ายทอดให้กับหลวงพ่อโตจนหมดสิ้น) ครั้นหลวงพ่อดิษฐ์ได้ตัวฝากเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโต ด้วยความขยันขันแข็งและมีความตั้งใจจริงที่จะศึกษาหาความรู้ในวิชา ทำให้หลวงพ่อโตตัดสินใจถ่ายทอดวิชาอาคมต่าง ๆ ให้กับท่านจนหมดสิ้น และกล่าวกับหลวงพ่อดิษฐ์ก่อนที่ออกมาจากวัดท่าอิฐ ว่า "จงใช้วิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาให้เกิดประโยชน์กับคนที่กำลังทุกข์เข็ญอย่างสุดฝีมือ อย่าได้ไปมองถึงสิ่งตอบแทน" ด้วยคำสอนของผู้เป็นอาจารย์ ทำให้หลวงพ่อดิษฐ์มองเห็นผู้ตกทุกข์ได้ยาก คือ คนที่ต้องการความช่วยเหลือ แม้ว่าเขาจะไม่ออกปากขอร้องก็ตาม
หลังจากนั้นท่านได้มาจำพรรษาที่วัดอัมพวัน ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ซึ่งขณะนั้นสภาพของวัดอัมพวันทรุดโทรมเป็นอันมาก เนื่องจากเป็นวัดเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี (สมัยของพระเจ้าปราสาททอง) ในสมัยนั้นมีชื่อเรียกว่า 'วัดบางม่วง' เพราะที่ตั้งของวัดอยู่ติดกับคลองบางม่วง ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องของแร่บางม่วง ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์เทียบเคียงกับแร่บางไผ่-แร่บางเดื่อ
การเข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสของหลวงพ่อดิษฐ์ ท่านเริ่มหาปัจจัยเพื่อใช้เป็นทุนรอนในการสร้างวัดบางม่วง ท่านไม่เคยเรียกร้องปัจจัยจากพวกชาวบ้าน แต่เพราะท่านเป็นพระที่มีแต่ให้ จึงทำให้คนทั่วไปสรรเสริญ และยกย่องในตัวของท่าน การสร้างวัตถุมงคล ของหลวงพ่อดิษฐ์ในแต่ละครั้ง จะนำปัจจัยเข้ามาสู่วัดเป็นจำนวนมาก แม้แต่การรักษาโรคของท่าน หลวงพ่อดิษฐ์ก็ไม่เคยเรียกร้องค่ายา แต่ชาวบ้านสมัครใจจะบริจาคปัจจัยให้กับท่าน ในเวลาเพียงไม่นาน หลวงพ่อดิษฐ์สามารถบูรณะซ่อมแซมวัดบางม่วงให้กลับคืนสู่ดังเดิมได้อย่างสมบูรณ์
หลวงพ่อดิษฐ์ เคยสร้างพระปิดตาเนื้อโลหะ ที่ได้จากแร่แถวบางม่วง ในวงการจะเรียกพระปิดตาบางม่วง หรือเรียกอีกอย่างว่า”แร่เศษฐีไม่มีจน” 1 ใน 3 ของแร่ที่วิเศษมากของจังหวัดนนทบุรี ซึ่งหลวงพ่อดิษฐ์สร้างพระปิดตามาตั้งแต่ช่วงสงครามอินโดจีน เพื่อแจกประชาชนไว้ป้องกันตัว พระปิดตารุ่นนี้หายากมากเป็นสุดยอดพระปิดตาเนื้อโลหะอันดับสามของนนทบุรีอันประกอบด้วย พระปิดตาแร่บางไผ่ พระปิดตาบางเดื่อ เป็นต้น เนื่องจากพระเครื่องที่หลวงพ่อดิษฐ์ สร้างออกมาจำนวนน้อยและไม่กี่รุ่น ดังนั้นในวงการจะรู้จักชื่อเสียงท่านไม่มาก
นอกจากนี้ หลวงพ่อดิษฐ์ เป็นเจ้าตำรับสุดยอดแห่งเครื่องรางของขลัง ในรูปแบบของปลาเงิน-ปลาทอง หรือปลาตะเพียนคู่ ปลาตะเพียนคู่ของหลวงพ่อดิษฐ์นั้นเป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอด รูปแบบของปลาตะเพียนจะเป็นพวง มีปลาด้วยกันทั้งสิ้น 9 ตัว ทำด้วยแผ่นทองเหลืองขัดมันมีรูแขวนตรงกลีบบัวโลหะฉลุ 8 แฉก มีความสวยงาม เปี่ยมด้วยพุทธคุณ หลวงพ่อดิษฐ์ท่านเป็นพระสันโดษ มักน้อย เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เป็นพระเถระอีกรูปหนึ่งในจังหวัดนนทบุรีที่น่ากราบไหว้เคารพบูชา
พระครูมงคลกิจจาทร (หลวงพ่อทองย้อย มังคโล)
พระครูมงคลกิจจาทร หลวงปู่ทองย้อย มังคโล เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี หรือที่ชาวบ้านเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่าเทพเจ้าแห่งคลองบางม่วง อายุ 73ปี 53 พรรษา ท่านเป็นศิษย์หลานสมเด็จพระวันรัต (เผื่อน) วัดโพธิ์ท่าเตียน ที่ทรงนั่งปรกเสกแทนสมเด็จพระสังฆราช (แพ) อย่างเอกอุ หลวงพ่อทองย้อยท่านได้เรียนกรรมฐานจากสมเด็จ (เผื่อน) ตั้งแต่เป็นเณรจนสำเร็จพระกรรมฐานที่ดี มีพลังจิตที่เข้มแข็ง และ ท่านก็ได้เรียนวิชาคาถาอาคมจากหลวงปู่ดิษฐ์ วัดอัมพวัน อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดนนทบุรี ผู้สร้างพระปิดตาแร่บางม่วง หลวงพ่อดิษฐ์วัดอัมพวัน ท่านได้สอนหลวงพ่อทองย้อยเล่นแร่แปรธาตุ เอาขี้เลนคลองบางม่วงมาสุมกันแล้วกลายเป็นทองคำได้ ซึ่งหลวงพ่อทองย้อยได้สำเร็จวิชานี้ แต่หลวงพ่อดิษฐ์กลับเททองคำลงคลองหมดแล้วบอกว่า”นี้มันคือกิเลส ทำให้เราหลงได้”
จากนั้นหลวงพ่อทองย้อยได้ฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อดิษฐ์ วัดอัมพวัน จนสำเร็จต่อมาได้เรียนวิชาที่โด่งดังมากของหลวงพ่อดิษฐ์ คือ วิชาโสฬสมงคล และวิชานะปัดตลอด จนเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และได้เรียนวิชาอาคมแขนงต่าง ๆ อย่างเชี่ยวชาญด้วยความที่หลวงพ่อทองย้อย เป็นพระที่ฝึกกรรมฐานไม่เคยขาดและมีญาณหยิ่งรู้เหตุการ์ณล่วงหน้า เล่าขานกันว่าครั้งหนึ่งเวลาอันดี วันเสาร์ที่ 5 เดือน 5 ปี 2555 หลวงพ่อทองย้อยได้จัดสร้างตะกรุดโสฬสมงคลที่เป็นวิชาที่หลวงพ่อเชี่ยวชาญ กุมารทองรุ่นแรกที่ผสมกระดูกเด็กตาย ดิน 7 ป่าช้าไคลเสมาโบสถ์ ที่ขณะปลุกเสกกระโดดออกมาจากบาตรจนเป็นที่ฮือฮาของผู้ร่วมพิธี ผ้ายันต์ลายมือรุ่นแรกในขณะที่ปั้มนั้น หมึกได้ติดทะลุไปถึง 5 แผ่น โดยที่แผ่นแรกไม่มีรอยซึมของหมึก จนลูกศิษย์ที่ช่วยทำผ้ายันต์ถึงกลับฮือฮามาก ท่านหัวเราะจนน้ำหมากไหลแล้วบอกว่า”เขาเรียกว่าวิชานะปัดตลอด” พระปิดตาโภคทรัพย์ผสมแร่เศรษฐี ผงหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ผงวัดระฆัง ผงปถมังหลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง เกสาหลวงพ่อทองย้อย และผงอีก 108 ชนิด พระยอดธงปรอท ผสมปรอทเก่า
พระครูวินัยธร ภานุมาศ ภาณุปาโน เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน
กกกกกกก โบราณสถานและโบราณวัตถุของวัดอัมพวัน
กกกกกกกกกวัดอัมพวันมีโบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่ หอไตรกลางน้ำ มณฑปรอยพระพุทธบาท ศาลาท่าน้ำ และเจดีย์ทรงปรางค์
หอไตรกลางน้ำ ตั้งอยู่ภายในสระที่เชื่อมกับคลองบางกอกน้อย เป็นอาคารเรือนไทยยกใต้ถุนสูง ทำจากไม้สักหลังคา 2 ชั้นประดับช่อฟ้าใบระกา มุงกระเบื้องดินเผา ส่วนชั้นบนเป็นอาคาร 2 ห้อง มีระเบียงอยู่ในบริเวณส่วนหน้า ห้องบริเวตรงกลางไว้เก็บพระไตรปิฎก เหนือประตูทางเข้าห้องมีจิตรกรรมสีฝุ่น ผนังโดยรอบทาสีแดง มีลายรดน้ำที่ด้านล่างของหน้าต่างแต่ละบาน ส่วนท้ายเป็นห้องกั้นฝาไม้คาดว่าน่าจะต่อเติมในภายหลัง หอไตรกลางน้ำได้รับการบูรณะมาแล้ว 2 ครั้ง คือ ในปีพ.ศ. 2466 และพ.ศ. 2547
มณฑปรอยพระพุทธบาท ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น บันไดอยู่ทางทิศใต้ ฝาผนังชั้นล่างเจาะเป็นช่องสามเหลี่ยมด้านละ 3 ช่อง ด้านทิศตะวันออกมีช่องประตูเข้าสู่พื้นที่ภายใน ชั้นบนเป็นห้องมณฑปตั้งอยู่ตรงกลาง มีเฉลียงเดินรอบ ภายในประดิษฐาน รอยพระพุทธบาทจำลองสมัยรัตนโกสินทร์ ทำด้วยโลหะเครื่องบนเป็นหลังคามุงกระเบื้องดินเผาทรงฆณฑปซ้อน 4 ชั้น ยอดมณฑปประกอบด้วยชั้นบัลลังก์ เหม 3 ชั้น บัวกลุ่ม 4 ชั้น และปลียอด
ศาลาท่าน้ำ ลักษณะเป็นศาลาโล่ง ตั้งอยู่ริมคลองบางม่วง เป็นอาคารโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กเครื่องบนไม้ มุงกระเบื้องดินเผา มีช่อฟ้าใบระกาคอนกรีต มีประวัติว่าขุนภักดีภูบาลสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5
เจดีย์ทรงปรางค์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของมณฑปรอยพระพุทธบาท บริเวณริมคลองบางม่วง สมเด็จพระวันรัต (เผื่อน ดิสฺสทตโต) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม องค์ที่ 10 (บุตรของขุนภักดีภูบาล) เป็นผู้ดำริให้สร้างขึ้น ลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นเจดีย์ทรงปรางค์สมัยรัตนโกสินทร์ ฐานประทักษิณตั้งอยู่ในผังแปดเหลี่ยม ซ้อนกันสามชั้น องค์เจดีย์ตั้งแต่ฐานถึงยอดประดับด้วยลวดลายปูนปั้นเครื่องถ้วยลายคราม และเครื่องถ้วยเบญจรงค์ ลวดลายต่างๆ ฐานเจดีย์มีจารึกว่า “พระพุทธปรางค์คงธรรม 2474”