ลายไทยเกิดจากความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา จึงเป็นเหตุสำคัญให้ช่างหรือศิลปินประดิษฐ์ลายไทยโดยได้แนวคิดมาจาก ดอกบัว พวงมาลัย ควันธูป และเปลวเทียน แล้วนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นลวดลายต่างๆ เช่น ลายกนก ลายเปลวเพลิง ลายใบเทศ ลายพฤษชาติ ซึ่งเมื่อศึกษาถึงที่มาของลวดลายเหล่านั้น พบว่าบางส่วนมีการพัฒนาจากรูปดอกบัวหลากหลายชนิด อาทิ บัวหลวง บัวสัตตบงกช บัวสัตตบุษย์ และมีการพัฒนาจากลักษณะการเคลื่อนไหวของเปลวไฟที่มีความพลิ้วไหว จึงนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดลายไทยที่สวยงาม
แม้ว่าศิลปะไทยจะได้รับอิทธิพลจากหลายประเทศ เช่น อินเดีย จีน ขอม เขมร แต่ช่างไทยก็สามารถนำไปพัฒนาลวดลายจนมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่มีความแตกต่างไปจากชาติตะวันตก คือ ศิลปะไทยแตกต่างไปจากศิลปะตะวันตกตรงที่ศิลปะตะวันตกนั้นเป็นแบบธรรมชาตินิยม แต่ศิลปะไทยจะดัดแปลงธรรมชาติไปตามคตินิยมที่คิดสร้างสรรค์จากปรัชญา (ความเชื่อในเรื่องสวรรค์นรก) ดังภาพพระแม่ธรณีบิดมวยผม
ลายไทย เป็นแขนงหนึ่งของวิชาศิลปะซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย ลวดลายต่างๆที่ถูกรังสรรค์เป็นส่วนหนึ่งของประติมากรรมและสถาปัตยกรรมที่ตั้งตระหง่านอยู่ในแต่ละภูมิภาคของไทย ซึ่งลวดลายต่างๆ จะให้ความรู้สึกอ่อนช้อย งดงาม นุ่มนวล เป็นลักษณะนิสัยของคนไทย จึงมีการสืบสานและวางแผนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
“ลาย” ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายว่า รูปแบบทางทัศนศิลป์ประเภทหนึ่ง ประกอบขึ้นด้วยเส้นเป็นสำคัญ ลักษณะเป็นแบบซ้ำๆ เป็นหมู่ๆ หรือต่อเนื่องกันไป มีทั้งลายแบบธรรมชาติและลายแบบประดิษฐ์ใช้เขียน ปั้น หรือแกะสลัก จึงแบ่งความหมายของลายไทยตามลักษณะวิธีการสร้างสรรค์ได้ 3 รูปแบบ
1. ลายไทยในเชิงจิตรกรรม หมายถึง ลักษณะของลายที่เขียนลงไปบนพื้นเรียบๆ เป็นการเขียนลวดลายที่มีลักษณะ 2 มิติ
2. ลายไทยในเชิงประติมากรรม หมายถึง ลายที่มีลักษณะยกจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อย โดยจะมีความตื้นลึกมากกว่าลวดลายในงานจิตรกรรม อาจเป็นลายนูนต่ำ ลายนูนสูง หรือลอยตัวก็ได้
3. ลายไทยในเชิงสถาปัตยกรรม หมายถึง ลายที่ประกอบอยู่ในงานสถาปัตยกรรมมีทั้งแบบ 2 และ 3 มิติ
ความเป็นมาของ “ลายไทย”
มีข้อสันนิษฐานว่า ลวดลายไทยเกิดขึ้นจากอิทธิพลทางพระพุทธศาสนาที่เผยแพร่เข้าสู่ดินแดนในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ เห็นได้จากลวดลายที่ถูกรังสรรค์จากช่างฝีมือเป็นรูปทรงต่างๆ ซึ่งได้แนวคิดมาจาก ดอกบัว พวงมาลัย ควันธูป และเปลวเทียน เกิดการพัฒนาเป็นลวดลายที่สำคัญ ที่ปรากฏอยู่ในประติมากรรมและสถาปัตยกรรมในส่วนต่างๆของภูมิภาคในประเทศไทย ลวดลายเหล่านี้ได้รับการพัฒนามาอย่างยาวนานภายใต้การอุปถัมภ์ของราชสำนักเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว
วิวัฒนาการของลายไทยสืบเนื่องตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12-16 ช่วงสมัยศิลปะทวารวดีตั้งอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดนครปฐม อู่ทอง ราชบุรี ลพบุรีและปราจีนบุรี งานลวดลายแบบทวารวดีได้รับการผสานสานกับลวดลายประดับร่วมสมัยของภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ลวดลายที่มีชื่อเสียงในสมัยทวารวดีมีชื่อเรียกในหมู่ช่างปัจจุบันว่า กระหนกผักกูด มีลักษณะใกล้เคียงกับใบผักกูดที่มีขอบใบหยักคดโค้งคล้ายคลึงกัน หากนำลายกระหนกผักกูดมาประกอบร่างรวมกันกับลายอื่นๆ จะได้ลวดลาย ที่มีลักษณะคล้ายเถาพรรณไม้ เรียกว่า ลายกระหนกเครือเถา
ลวดลายไทยได้รับพัฒนามาจนถึงศตวรรษที่ 19 สมัยอยุธยา ช่างหลวงของกรุงศรีอยุธยาซึ่งมีพื้นฐานเดิมอันเกิดจากวัฒนธรรมการสั่งสมประกอบกับการปรุงแต่งด้วยการผสมผสานของวัฒนธรรมขอมและวัฒนธรรมต่างชาติที่เข้ามาค้าขายทำให้เพิ่มเติมความหลากหลายในงานช่างเช่นกัน
แม้ราชธานีกรุงศรีอยุธยาผ่านช่วงระยะเวลากว่า 400 ปี หลักฐานทางด้านงานช่างได้แสดงว่าลวดลายไทยเป็นศิลปะที่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีวัฒนธรรมในพระพุทธศาสนา ภายใต้พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงนำในการสร้างหรือบูรณปฏิสังขรณ์วัด ศิลปะของช่างหลวง จึงสืบทอดเป็นแบบแผนประเพณีที่แพร่หลายสู่สังคมระดับล่างทั้งในราชธานีและเมืองต่างๆในพระราชอาณาจักร ลายไทยได้รับการรักษาและบูรณะจนพัฒนามาเป็นแนวประเพณีร่วมสมัยอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน
ลายไทยธำรงอยู่ควบคู่กับศาสนาและสถาบันกษัตริย์ มีการสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัดที่เปลี่ยนไปตามความนิยมใหม่ๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ จนมาถึงรัชกาล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว บทบาทของเอกชนได้เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ ทำให้เพิ่มความหลากหลายให้แก่งานช่างไทย ช่างโบราณ หรือที่เรียกกันว่า งานช่าง แนวแบบแผนประเพณี ก็ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะภายในวัด หรือในปราสาทราชวัง ดังเช่นอดีตที่ผ่านมา แต่ได้แพร่ขยายเข้ามามีอิทธิพลในหน่วยงานทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน หรือตามห้องแสดงภาพและมีการประยุกต์กับศิลปะร่วมสมัยของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกเกิดการเลือกวัสดุสำหรับการสร้างลวดลายและพื้นที่การแสดงออกที่แยกประเด็นออกไปจากเดิม