งานวาดเส้นลายไทย

และจิตกรรมไทย เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยที่มีความเด่นชัด ทางศิลปะสืบทอดมายาวนานอย่างมีที่มาของการสร้างสรรค์ ซึ่งเกิดจากสังเกตความเป็นไปต่าง ๆ ทางธรรมชาติ แล้วถ่ายทอดเป็นงานวาดเส้นที่ ลงตัว สวยงาม นำมาใช้ตกแต่งทั้งงาน สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรมและงานประดับในพิธีการต่าง ๆ ซึ่งโดยความรู้สึก ลายไทย จะเป็นลวดลายที่เป็นมงคล เป็นของสูง เพราะส่วนใหญ่จะเห็น ประดับ ตกแต่งอยู่ในวัด และพระราชวัง ซึ่งเป็น สิ่งที่ชาวไทยให้ความเคารพ ศรัทธา และเป็นที่ยกย่องว่าสวยงาม และมีคุณค่า

การได้นำมาศึกษา และ ฝึกปฏิบัติวาดเส้นนับเป็นสิ่งที่ดี นอกจากนำมาประยุกต์ใช้งาน เกิดผลงานทางด้านการออกแบบสร้างสรรค์ในสาขาต่าง ๆ แล้วยังเป็นการดำรงคุณค่าทางศิลป วัฒนธรรมของไทยให้ปรากฏแก่ผู้พบเห็นทั้งชาวไทยด้วยกัน และชาวต่างชาติในการศึกษาการวาดเส้นในงานเอกลักษณ์ไทย จะแยกเป็นสองรูปแบบใหญ่ ๆ คือ ลายไทย และจิตรกรรมไทย

ลายไทย เป็นแขนงหนึ่งของวิชาศิลปะซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย ลวดลายต่างๆที่ถูกรังสรรค์เป็นส่วนหนึ่งของประติมากรรมและสถาปัตยกรรมที่ตั้งตระหง่านอยู่ในแต่ละภูมิภาคของไทย ซึ่งลวดลายต่างๆ จะให้ความรู้สึกอ่อนช้อย งดงาม นุ่มนวล เป็นลักษณะนิสัยของคนไทย จึงมีการสืบสานและวางแผนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

“ลาย” ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายว่า รูปแบบทางทัศนศิลป์ประเภทหนึ่ง ประกอบขึ้นด้วยเส้นเป็นสำคัญ ลักษณะเป็นแบบซ้ำๆ เป็นหมู่ๆ หรือต่อเนื่องกันไป มีทั้งลายแบบธรรมชาติและลายแบบประดิษฐ์ใช้เขียน ปั้น หรือแกะสลัก จึงแบ่งความหมายของลายไทยตามลักษณะวิธีการสร้างสรรค์ได้ 3 รูปแบบ

๑. ลายไทยในเชิงจิตรกรรม หมายถึง ลักษณะของลายที่เขียนลงไปบนพื้นเรียบๆ เป็นการเขียนลวดลายที่มีลักษณะ 2 มิติ

๒. ลายไทยในเชิงประติมากรรม หมายถึง ลายที่มีลักษณะยกจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อย โดยจะมีความตื้นลึกมากกว่าลวดลายในงานจิตรกรรม อาจเป็นลายนูนต่ำ ลายนูนสูง หรือลอยตัวก็ได้

๓. ลายไทยในเชิงสถาปัตยกรรม หมายถึง ลายที่ประกอบอยู่ในงานสถาปัตยกรรมมีทั้งแบบ 2 และ 3 มิติ

ความเป็นมาของ “ลายไทย”

มีข้อสันนิษฐานว่า ลวดลายไทยเกิดขึ้นจากอิทธิพลทางพระพุทธศาสนาที่เผยแพร่เข้าสู่ดินแดนในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์

เห็นได้จากลวดลายที่ถูกรังสรรค์จากช่างฝีมือเป็นรูปทรงต่างๆ ซึ่งได้แนวคิดมาจาก ดอกบัว พวงมาลัย ควันธูป และเปลวเทียน

เกิดการพัฒนาเป็นลวดลายที่สำคัญ ที่ปรากฏอยู่ในประติมากรรมและสถาปัตยกรรมในส่วนต่างๆของภูมิภาคในประเทศไทย

ลวดลายเหล่านี้ได้รับการพัฒนามาอย่างยาวนานภายใต้การอุปถัมภ์ของราชสำนักเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว

วิวัฒนาการของลายไทยสืบเนื่องตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12-16 ช่วงสมัยศิลปะทวารวดีตั้งอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย

ได้แก่ จังหวัดนครปฐม อู่ทอง ราชบุรี ลพบุรีและปราจีนบุรี งานลวดลายแบบทวารวดีได้รับการผสานสาน

กับลวดลายประดับร่วมสมัยของภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ลวดลายที่มีชื่อเสียงในสมัยทวารวดีมีชื่อเรียกในหมู่ช่างปัจจุบันว่า

กระหนกผักกูด มีลักษณะใกล้เคียงกับใบผักกูดที่มีขอบใบหยักคดโค้งคล้ายคลึงกัน

หากนำลายกระหนกผักกูดมาประกอบร่างรวมกันกับลายอื่นๆ จะได้ลวดลาย ที่มีลักษณะคล้ายเถาพรรณไม้ เรียกว่า ลายกระหนกเครือเถา


ลวดลายไทยได้รับพัฒนามาจนถึงศตวรรษที่ 19 สมัยอยุธยา ช่างหลวงของกรุงศรีอยุธยาซึ่งมีพื้นฐานเดิมอันเกิดจาก

วัฒนธรรมการสั่งสมประกอบกับการปรุงแต่งด้วยการผสมผสานของวัฒนธรรมขอมและวัฒนธรรมต่างชาติที่เข้ามาค้าขายทำให้เพิ่มเติมความหลากหลายในงานช่างเช่นกัน แม้ราชธานีกรุงศรีอยุธยาผ่านช่วงระยะเวลากว่า 400 ปี

หลักฐานทางด้านงานช่างได้แสดงว่าลวดลายไทยเป็นศิลปะที่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีวัฒนธรรมในพระพุทธศาสนา

ภายใต้พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงนำในการสร้างหรือบูรณปฏิสังขรณ์วัด ศิลปะของช่างหลวง

จึงสืบทอดเป็นแบบแผนประเพณีที่แพร่หลายสู่สังคมระดับล่างทั้งในราชธานีและเมืองต่างๆในพระราชอาณาจักร

ลายไทยได้รับการรักษาและบูรณะจนพัฒนามาเป็นแนวประเพณีร่วมสมัยอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน

ลายไทยธำรงอยู่ควบคู่กับศาสนาและสถาบันกษัตริย์ มีการสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัดที่เปลี่ยนไปตามความนิยมใหม่ๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ จนมาถึงรัชกาล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว บทบาทของเอกชนได้เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ ทำให้เพิ่มความหลากหลายให้แก่งานช่างไทย ช่างโบราณ หรือที่เรียกกันว่า งานช่าง แนวแบบแผนประเพณี ก็ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะภายในวัด หรือในปราสาทราชวัง ดังเช่นอดีตที่ผ่านมา แต่ได้แพร่ขยายเข้ามามีอิทธิพลในหน่วยงานทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน หรือตามห้องแสดงภาพและมีการประยุกต์กับศิลปะร่วมสมัยของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกเกิดการเลือกวัสดุสำหรับการสร้างลวดลายและพื้นที่การแสดงออกที่แยกประเด็นออกไปจากเดิม