สะพานผ้าแดง :
เชื่อกันว่าหากมีคู่รักคู่ใด ผูกด้ายแดงที่ผ่านการปลุกเสกจากศาลเจ้าเข้าที่ข้อมือของทั้งสองฝ่าย แล้วจูงมือกันเดินข้ามไปจนสุดทางของสะพานได้ โดยที่ด้ายแดงไม่ขาดหรือหลุดจากกันเลยตลอดทาง จะถือว่าเป็นคู่บุพเพสันนิวาส ทั้งสองจะครองรักกันยืนยาวตราบจนแก่เฒ่า ทว่า หากด้ายแดงนั้นขาดกลางทาง หรือหลุดจากข้อมือใครคนหนึ่ง อาจถือว่ายังไม่มีวาสนา หรือยังมีอุปสรรคในชีวิตคู่ อาจครองรักกันได้ไม่จีรัง
ตึกเก่าสำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ :
ว่ากันว่าตึกนี้เคยสร้างทับที่ลานนักโทษในคุกเก่าสมัย ×××× ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีนักโทษเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทั้งจากการโดนทรมาน การทำโทษ และพยายามหลีกหนี ทำให้ที่ดินผืนนี้นองไปด้วยเลือด หลังจากที่ได้สร้างตึกเรียนทับที่ผืนนี้ ผู้ที่ผ่านไปมาในยามวิกาลบ้างก็ว่ามักจะพบเห็นบุคคลรูปร่างผอมกะหร่องกระแหร่ง บ้างก็ว่าเห็นคนร่างสูงใหญ่ เสียงโซ่ตรวนลากอยู่ตามพื้นภายในอาคารกว้าง หรือบางทีก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ความเมตตาจากผู้ที่ผ่านไปมา
ปัจจุบันนี้อาคารได้ถูกปิดลง และปล่อยทิ้งให้เป็นเพียงอาคารเก็บของเก่าเท่านั้น
แท้จริงแล้วเพราะโครงสร้างอาคารไม่แข็งแรงและไม่สามารถรองรับจำนวนนักศึกษาได้มากพอจึงได้ทำการปิดตัวลงและสร้างอาคารใหม่ที่แข็งแรงและรองรับนักศึกษาได้มากกว่าเดิม
ป้ายสำนักวิชา :
เป็นความเชื่อที่เล่าต่อกันปากต่อปากในหมู่นักศึกษาว่า หากผู้ใดอยากมีวาสนาได้แฟนเป็นหนุ่มสาวสำนักวิชาใด ให้ไปลูบป้ายสำนักวิชานั้น ๆ โดยจะต้องทำในเวลาเที่ยงคืนและใช้แค่มือซ้ายเท่านั้น ห้ามใช้มือขวาโดยเด็ดขาด สำนักวิชาที่นักศึกษาลงความเห็นกันว่าได้ผลมากที่สุดคือสามสำนักวิชาเก่าแก่ ได้แก่สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์
ห้องเก็บเครื่องดนตรีไทย :
ว่ากันว่าช่วงเวลาตี 3:33 มักจะมีเสียงเครื่องดนตรีไทยบรรเลงดังขึ้นมาจากในห้อง แม้จะไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องก็ตาม บ้างก็ว่าเห็นเงาคนอยู่ด้านในห้อง แต่พอเข้าไปใกล้ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ
ศาลเจ้าพ่อศรีตรัยชย :
ศาลเจ้าพ่อเก่าแก่ที่มีการบูชากราบไหว้ตลอดปีไม่ขาดสาย ทั้งมีคนมากราบไหว้ขอให้ช่วยเรื่องเรียน เรื่องสอบ หรือแม้กระทั่งความรัก ขอให้สมหวังในเรื่องใดก็ได้ตามที่ใจต้องการ หากแต่ต้องเป็นเรื่องบริสุทธิ์ ไม่ประสงค์ร้ายต่อผู้อื่น หากว่าได้มาบนบานศาลกล่าวว่าจะทำสิ่งใดเมื่อสมหวัง ก็ต้องมาแก้บนด้วยสิ่งนั้น
คำเตือน: คิดให้ดีก่อนจะว่ากล่าวสิ่งใด ไม่งั้นอาจเกิดภัยต่อตัว
คำแนะนำ: หากต้องการกราบไหว้บูชาในเรื่องต่าง ๆ ให้จุดธูป 9 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกไม้มงคล 9 ชนิด และว่าตามนี้
(ตั้งนะโม 3 จบ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
นะโมเม องค์เจ้าพ่อศรีตรัยชย ผู้ทรงเดชานุภาพ ขอเชิญองค์เจ้าพ่อศรีตรัยชย ได้โปรดรับเครื่องสังเวย โปรดรับรู้ถึงคำอธิษฐาน แลโปรดเมตตาดลบันดาลให้ข้าสมปรารถนาทุกประการ
นะโม นะมะ สะขัง โกธะมัง ใจจะคุ (3 จบ)
คำแนะนำ: หากต้องการขอในเรื่องความรัก ให้จุดธูป 9 ดอก นำดอกบัวถวาย 4 คู่ มาลัยกลม 1 พวง และว่าตามนี้
(ตั้งนะโม 3 จบ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
นะโมเม องค์เจ้าพ่อศรีตรัยชย ผู้ทรงเดชานุภาพ ขอเชิญองค์เจ้าพ่อศรีตรัยชย ได้โปรดรับเครื่องสังเวย โปรดรับรู้ถึงคำอธิษฐาน แลโปรดเมตตาดลบันดาลให้ข้าสมปรารถนาทุกประการ
ปุพเพวะ สันนิวา เสนะ ปัจจะบันนะ หิเตนะ วา เอวันตัง ชะยะเต เปมัง อุปะลัง วะ ยะโส ธะเก.
( คำเตือนจากสตาฟ: บทสวดบูชาที่ตัวอักษรเอียงเป็นบทจริง เป็นบทเมตตามหานิยม และบทขอเรื่องความรัก&เนื้อคู่ )
ศาลากลางสระบัว :
แม้จะเป็นสถานที่ที่มีแต่เรื่องมงคลเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสมหวังในรัก ขอแต่งงาน ขอหมั้น หรือแม้แต่สารภาพรัก ก็ล้วนเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ แต่กับผู้ที่ผิดหวังในรักมาซ้ำ ๆ สถานที่นี้ถือเป็นที่ขอพรชั้นดีเช่นกัน แต่อาจไม่ช่วยให้สมหวังในรักได้มากเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับความศรัทธาของผู้ขอ ให้ลองเด็ดดอกบัวในสระแล้วนำมาพับกลีบดอกให้สวยงามพร้อมอธิษฐานในเวลาเดียวกัน อาจพาให้ท่านได้พบรักแท้ที่ตามหาสักวัน
ไม่แน่ว่าผู้ที่มาด้วยกัน อาจเป็นรักแท้ที่ท่านตามหามาตลอดก็เป็นได้ :)
กุหลาบหลังตึกสำนักวิชาศิลปกรรมศาสตร์ :
ก่อนที่จะกลายมาเป็นหนึ่งในตึกเรียนของมหาวิทยาลัย หรือกล่าวคือก่อนที่จะเริ่มก่อสร้างมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่เดิมเคยเป็นวัดร้างและรวมของอาถรรพ์ไม่ว่าจะเป็นบาตรแตก พระพุทธรูปแตกหัก หรือของเสื่อม ของอัปมงคลมากสิ่ง ผู้เฒ่าผู้แก่เรียกที่นี่ว่า “ดินป่าช้า” เพราะว่าเป็นดินที่เคยรับเถ้ากระดูกนับไม่ถ้วน ดินที่ซึมซับคำสาป และความอาฆาตไว้อย่างแน่นหนา แต่กลับมีเพียงดอกกุหลาบมอญที่อยู่ในที่แห่งนี้ ยังยืนต้นสง่างาม ไม่เหี่ยว ไม่เฉา ไม่ตายไปตามกาลเวลา และตามการบอกเล่า สาเหตุที่ต้นกุหลาบมอญยังคงออกดอกอย่างสง่างามเพราะว่า ใต้ต้นกุหลาบนั้นมีซากศพมากมาย ทั้งศพคน ศพสัตว์ ซึ่งของคาวเหล่านี้คอยหล่อเลี้ยงดูแลต้นกุหลาบมอญต้นนี้อยู่
ในระหว่างการจุดธูปขอรื้อถอน และสร้างสถานศึกษาขึ้นใหม่ มีความจำเป็นต้องตัดต้นกุหลาบมอญทิ้งไป ตามคำบอกเล่ามาว่าที่แห่งนี้มีผู้เป็นเจ้าของ แม้เขาจะยินยอมในการให้รื้อถอนและก่อสร้างสถาบันทับที่ แต่เขาไม่ยินยอมให้ต้นกุหลาบมอญต้องถูกถอนรากออก จึงมีเรื่องเล่าหลอน ๆ มากมายถูกพูดกันปากต่อปาก และหนึ่งในนั้นเรื่องที่ถูกเล่ามากที่สุดคือ ผู้คนที่ทำการก่อสร้างมักจะเห็นสาวงามสวมชุดไทยเต็มยศ พร้อมสวมชฎาทัดด้วยดอกกุหลาบมอญสีแดงสดอยู่ที่นั่น พร้อมชี้นิ้วห้ามมิให้ยุ่งกับต้นดอกกุหลาบมอญ
แต่มีคืนหนึ่ง ในคืนจันทร์ดับ ซึ่งบังเอิญตรงกับวันโกน ราวกับฟ้าดินเป็นลางบอกเหตุแห่งวันอาเพศ หนึ่งในคนงานวัยรุ่นที่อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากลอง และท้าทายสิ่งที่มองไม่เห็น มีความอยากรู้อยากลองว่าทำไมถึงต้องหวงหนักหวงหนากับแค่ต้นกุหลาบต้นเดียว เขาถือว่าคืนนี้เป็นคืนฟ้ามืด ทำอะไรคงไม่มีใครเห็น ในเวลาดึกสงัดชายหนุ่มตรงปรี่ไปที่ต้นกุหลาบมอญอย่างไร้ความกลัว พร้อมกับหักดอกกุหลาบมอญจากต้นออกมาหนึ่ง ทันทีที่หัก...ไม่มีเสียง ไม่มีเงา ไม่มีลม ไม่มีเหตุการณ์ประหลาดใดเกิดขึ้น เขาโยนดอกไม้ทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใยดี ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมพูดว่า “ไร้สาระว่ะ ไม่เห็นมันจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย” จากนั้นจึงกลับแคมป์คนงานไปนอนพักผ่อนอย่างสบายใจ โดยไม่ได้รู้เลยว่าป่าที่เงียบหมายถึงอะไร?
รุ่งเช้า ชายหนุ่มกลับมาทำงานตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เพียงไม่นานร่างของชายหนุ่มก็พลัดตกนั่งร้าน ขาข้างซ้ายหักผิดรูปจากแรงกระแทก และในจังหวะที่ผู้คนกรูเข้าไปช่วย สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนถึงกับชะงัก… คือดอกกุหลาบมอญสีแดงสดที่ไร้ที่มา ไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่กลับตกอยู่ข้างขาที่หักของชายหนุ่ม ราวกับมีคนจงใจวางมันไว้ตรงนั้น เพียงเท่านั้น หัวหน้าคนงานถึงกับหน้าถอดสี เข้าใจได้ทันทีว่ามันต้องไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน ในวันถัดมา จึงได้มีการตั้งโต๊ะขอขมา พร้อมเครื่องสังเวยอย่างครบถ้วนให้กับ “เจ้าของที่” แต่ก็ยังไม่สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ ถึงแม้จะตั้งโต๊ะขอขมาแล้วก็ยังคงมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น อาทิ เสียงกระพรวนข้อเท้าดังกรุ๊งกริ๊งรอบแคมป์คนงานในยามกลางคืน, เสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้หญิง ทั้งที่ในแคมป์ไม่มีคนงานผู้หญิงด้วยซ้ำ และมีหลายคนที่ฝันเห็นหญิงสาวในเรื่องเล่าที่ว่า สวมใส่ชุดไทยเต็มยศ พร้อมสวมชฎาที่ทัดด้วยดอกกุหลาบมอญสีแดงสด มาบังคับจับพวกเขารำทั้งคืน
พวกเขารับรู้ถึงความผิดปกติ หลังจากนั้นจึงได้มีการจัดพิธีรำขอขมา ตามแบบที่คนฝันถึงมาเล่าเป๊ะ ๆ โดยเชิญนางรำ มาสวมชุดไทยเต็มยศ พร้อมสวมชฎาทัดด้วยดอกกุหลาบมอญสีแดงสดตามรูปลักษณ์ของเจ้าของที่ ทั้งยังตั้งโต๊ะขมาที่ลานกว้าง แล้วรำถวายเป็นเวลาสามวันสามคืน
เพราะความศรัทธาและความเคารพต่อ “เจ้าของที่” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นวิญญาณผู้เฝ้ารักษา ทางสำนักวิชาศิลปกรรมศาสตร์จึงได้จัดให้มี พิธีรำบวงสรวงเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในงานใหญ่ของสำนักวิชา หรือช่วงเปิดภาคเรียนใหม่
บุหงารำสุดท้าย :
เส้นทางป่ารกทึบที่อยู่ด้านหลังของทุ่งนามหาวิทยาลัย หากมองลึกเข้าไป หรือกล้าเดินตามทางเล็ก ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ จะพบกับบ้านร้างทรงโคโลเนียลหลังหนึ่งที่เริ่มทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เพราะไม่เหลือผู้เป็นเจ้าของ และไม่ได้รับการทำนุบำรุง ซึ่งบริเวณนั้นจะคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของหมู่ผกานา ๆ พันธุ์ อาทิ กลิ่นหอมเย็นจากดอกมันปลา(กันเกรา) หอมสดชื่นจากดอกมหาหงส์ หวานละมุนจากชมนาด อ่อนละไมจากพิกุล และหอมนวลชวนฝันจากลัดดาวัลย์ที่ส่งกลิ่นหอมตั้งแต่เช้าจรดเย็น
แต่เดิม บริเวณรอบตัวบ้านนั้นยังไม่ได้มีต้นไม้มงคลเท่าไหร่ กระทั่งราวปี พ.ศ. 2476 ก่อนที่มหาวิทยาลัยจะถูกสถาปนาเป็น ‘มหาวิทยาลัยบุหงัน’ ในครั้งนั้น มีนักศึกษาจำนวนมากที่เดินผ่านบ้านหลังนี้ มักพบกับเรื่องราวที่ยากจะใช้วิทยาศาสตร์มาอธิบาย อาทิ เสียงบรรเลงเครื่องดนตรีพม่าที่ไม่ปรากฏแหล่งที่มา เงาในกระจกที่ไม่ใช่เงาของตน กลิ่นสาปลอยวนไม่ทราบสาเหตุ จึงทำให้ต้องนำต้นกันเกราที่เป็นต้นไม้มงคลมาปลูก เพราะด้วยความเชื่อที่ว่า ต้นกันเกรานั้นจะช่วยป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ เนื่องจากชื่อกันเกราแปลว่าการป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามา
เรื่องเล่าที่อยู่เหนือคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ กลับยิ่งถูกตอกย้ำด้วยตำนานของ ‘นางมยิทสุ’ ภรรยาของเจ้าของบ้านหลังนี้ นางเป็นนางรำสาวชาวพม่า ซึ่งครอบครัวฝ่ายนางนั้นเป็นนางในเก่า ในช่วงผลัดแผ่นดินสุดท้าย เขาว่ากันว่าครอบครัวนางได้หยิบฉวยทรัพย์สมบัติมากมาย และสิ่งที่หวงแหนที่สุดคือ ‘ชุดนางรำพม่า’ ซึ่งเป็นชุดที่นางในใส่ในเวลาที่แสดงการฟ้อนรำ ชุดนางรำเก่านั้นได้ถูกส่งต่อมาภายในครอบครัวของเธอจนสุดท้ายก็มาตกอยู่ที่เธอ ผู้ที่เป็นภรรยาของเจ้าของบ้านหลังนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางรู้เมื่อได้รับชุดนั้น ผู้ที่สวมใส่ชุดนี้ในการร่ายรำมักมีอันเป็นไป เขาว่ากันว่า เจ้าของที่แท้จริงของชุดนี้หวงของมาก
และนางมยิทสุเองก็มีอันเป็นไปที่บ้านหลังนี้เพราะชุดนางรำนี้เช่นกัน ในวันสุดท้ายก่อนนางจะสิ้นใจ ไม่มีใครทราบว่าเหตุใดทำไมนางถึงแต่งองค์ทรงเครื่องและออกมาร่ายรำที่หน้ากระจกซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับประตูหน้าบ้าน สามีของนางบอกว่านางร่ายรำได้อย่างสวยงาม แต่ว่านางกลับสิ้นใจก่อนที่จะได้รำจนจบบทเพลง นางตายทั้งที่ดวงตายังคงเปิดโพลง สามีได้แต่ถอดชุดนางรำออกแล้วแขวนเก็บใส่ตู้กระจก จนถึงพิธีศพของนาง บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ต่างพากันกระซิบว่า “นางยังมีห่วง”
เรื่องราวทุกอย่างผ่านไปเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี จนบ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ และที่ผืนดินนี้ถูกทำให้กลายเป็นสถานศึกษา ครั้งหนึ่งมีนักศึกษาผ่านมาเจอบ้านหลังนี้ และเห็นชุดนางรำที่แขวนอยู่ในตู้กระจก จึงนำไปใส่แสดง แต่ก็มีอันเป็นไปเช่นกัน แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ก็เจอเรื่องแปลกประหลาด อาทิ เสียงกระทืบเท้ารอบเตียงนอน เงาในกระจกไม่ใช่เงาตนเอง กลิ่นไม่พึงประสงค์ จนต้องรีบเอาชุดมาคืนไว้ที่เดิม
มีคืนหนึ่ง กลุ่มเพื่อนชายหญิงได้เดินผ่าน ณ บ้านหลังนี้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีพม่าบรรเลงขึ้น และหญิงสาวในกลุ่มก็เริ่มร่ายรำตามแบบฉบับนางรำพม่าอย่างสวยงาม พอเอาเรื่องไปบอกอาจารย์ที่มีอายุมากหน่อย ท่านได้แต่ถอนหายใจเคร่งเครียดและพูดว่า “นางจะมาเอาตัวตายตัวแทน” เพราะตามความเชื่อ หากได้ยินเครื่องดนตรีพม่าบรรเลงแบบไร้ที่มา แล้วผู้หญิงเริ่มร่ายรำนั่นแสดงว่าวิญญาณตรงนี้ต้องการตัวตายตัวแทน
ชมรมที่ถูกยุบ :
ชมรมหุ่นชักโยะเต เป็นหนึ่งในชมรมวัฒนธรรมเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยเตบุหรง ทว่า เมื่อปีการศึกษาที่แล้ว ชมรมหุ่นชักโยะเตกลับถูกยุบไปอย่างปริศนา ไม่มีประกาศชี้แจงเหตุผลชัดเจน มีเพียงเอกสารสรุปว่า “จำนวนสมาชิกไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ”
แต่ก็มีข่าววงในหลุดออกมาจากหมู่นักศึกษาที่เคยอยู่ชมรมนั่นก็คือ มีหุ่นกระบอกตัวหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ที่มา มันชื่อว่า “มยินัต” และไม่เคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนของชมรม ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนทำ หรือใครเอามันมาไว้ในห้องเก็บอุปกรณ์ คืนหนึ่งตอนซ้อม สมาชิกชมรมคนหนึ่งเล่นหุ่นตัวนั้น แล้วหายไปจากมหา’ลัยราวกับล่องหน ไม่มีแม้แต่เงาในกล้องวงจรปิด
เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเท็จจริงอย่างไร แต่สิ่งที่เป็นความจริงก็คือ ชมรมหุ่นชักโยะเตได้ถูกยุบไปแล้ว
รำวิญญาณ 7 บท :
บทรำต้องห้ามประจำมหาวิทยาลัย ถูกประกาศและบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนว่า ห้ามนำกลับมาแสดงโดยเด็ดขาด
เดิมที ชุดการแสดง “รำวิญญาณ 7 บท” เคยถูกใช้ในพิธีการสำคัญต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย ด้วยความที่ท่ารำแต่ละบทมีความงดงามและเสน่ห์เฉพาะตัว ประกอบกับการใช้หมู่ผกามาศเป็นฉากประกอบ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของมหาวิทยาลัย
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเหตุใดจึงมีคำสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด แต่เพราะนี่คือมหาวิทยาลัยเตบุหรง สถานที่ที่อะไรหลายอย่างอธิบายไม่ได้แต่สัมผัสได้ สิ่งที่ใครหลายคนคาดเดา แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมาตรง ๆ ก็คือคำว่า ‘อาถรรพ์’ ว่ากันว่า ทุกครั้งที่มีใครนำ “รำวิญญาณ 7 บท” กลับมาแสดง ย่อมต้องเกิดเรื่องร้ายบางอย่างตามมาเสมอ
「
รำวิญญาณ ๗ บท
สิ่งที่ต้องมีในชุดการแสดง
๑. กลีบผกาบุหงาส่าหรี่
๒. คันฉ่อง
๓. พวงมาลัยข้อมือ
๔. นางรำ 7 คน
บทที่ ๑: รำต้อนรับ
ค่อย ๆ ตั้งวง จับจีบกรีดกรายนิ้ว แล้วออกวาดร่ายรำด้วยท่วงท่าที่ละเมียดละไม พร้อมทั้งยังผายมือเชิญชวนแขกเหรื่อให้เข้ามารับชม
บทที่ ๒: กลิ่นหอมเชื้อเชิญ
นางรำเริ่มเยื้องกายเชื่องช้า ค่อย ๆ โปรยกลีบบุหงาสาหรี่ ให้กลิ่นขจรขจายไปไกล เพื่อล่อลวงให้ติดกับ
บทที่ ๓: รำคำมั่น
เงาสะท้อน ไม่ปรากฏ ข้อมูลขาดหาย
บทที่ ๔: เงาคู่รำ
นางรำเพียงคนเดียวบนเวที ทว่า ต้องร่ายรำในท่าคู่ และกลีบผกาที่โปรยไว้ก่อนหน้า หากท่ารำถูกต้อง กลีบผกาจะปลิวตามท่ารำราวกับมีใครอีกคนขยับพร้อมกัน
บทที่ ๕: รำอธิษฐาน
นางรำต้องนำดอกบุหงาส่าหรี่ทัดที่ใบหูของตนพร้อมหลับตาลง หากมี ‘ผู้ชม’ รออยู่ กลิ่นหอมจะตลบอบอวล แต่หากไม่มี กลิ่นหอมหวานจะถูกเปลี่ยนเป็นกลิ่นไหม้
บทที่ ๖: รำปลดปล่อย
นางรำต้องหมุนตัวในจังหวะช้า ๆ หากหมุนครบ ๗ รอบและไม่มีสิ่งใดผิดปกติถือว่ารอดและได้ทำการปลดปล่อยเรียบร้อย แต่หากว่าเงาในกระจกไม่หมุนตาม อย่าหยดหมนเด็ดขาด
บทที่ ๗: รำบทสุดท้าย (ห้ามรำ)
ไม่มีการบันทึกท่าร่ายรำ รู้เพียงแต่ว่า หลังจบการแสดง นางรำผู้โชคร้ายที่ได้รำบทสุดท้ายจะหายตัวไปและไม่มีวันหวนกลับมา
」
पुष्पछाया (ปุษปชายา) :
หนึ่งในข้อปฏิบัติที่เล่าขานและยึดถือกันมานานในอำเภอศรีตรัยชย คือ ห้ามออกจากบ้านในคืนเดือนดับโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นคืนเดือนดับที่มีฝนตกหนัก ต้องปิดหน้าต่างให้แน่นหนาทุกบาน ห้ามเข้าไปใกล้สะพานผ้าแดงโดยเด็ดขาด และหากเกิดความรู้สึกไม่สบายใจหรือรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ให้น้อมจิตตั้งมั่น และท่องบทสวดบูชาเจ้าพ่อตรัยศรีชย
ว่ากันว่า...สาเหตุที่มีข้อห้ามเหล่านี้ เป็นเพราะในคืนเดือนดับคืนหนึ่งในอดีต ในช่วงเวลา ตี 3 จู่ ๆ ที่สะพานผ้าแดงก็เกิดเหตุอาเพศขึ้น กลิ่นหอมของบุหงาซึ่งไร้ที่มาลอยโชยอบอวลไปทั่วบริเวณ และยังแผ่ขยายคลุมไปทั้งอำเภอ ยิ่งหากเป็นคืนเดือนดับที่มีฝนตกหนัก ในคืนนั้นแม้ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาไม่ได้มีเซนส์ ก็ยังสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ
และยังไม่มีวิทยาศาสตร์ข้อไหนพิสูจน์ได้ว่า ทำไมทุกคืนเดือนดับตรงสะพานผ้าแดงถึงมีกลิ่นหอมของดอกบุหงาโชยมาตลอดทั้งคืน
လွမ်းခြင်း (ลินจวน) :
ในอดีตกาล ตั้งแต่ช่วงสมัยก่อนก่อตั้งมหาวิทยาลัย ในเมืองศรีตรัยชยนี้นั้นมีบุรุษผู้หนึ่ง นามชื่อ ‘อุเทน’ ซึ่งมีความหมายรุ่งอรุณ ท่านเป็นบุรุษรูปงามที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมือง ว่ากันว่า ผู้ใดได้เห็นหน้าพ่อครูอุเทนต่างต้องหยุดมองราวกับมีมนตร์สะกด
และในบรรดาผู้ที่หลงใหลในเสน่ห์ของพ่ออุเทน ก็มีหญิงสาวชาวพม่าคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นสาวชาวบ้านธรรมดาที่รักในเสียงดนตรีและการเย็บปักถักร้อย นางมีชื่อ ‘ซอกา’ เป็นลูกสาวของช่างทำเครื่องดนตรีที่อพยพจากประเทศเมียนมาร์มาอยู่ในอำเภอศรีตรัยชยตั้งแต่ยังเด็ก ซอกานั้นเพราะมาอยู่ต่างถิ่นทำให้เธอมักเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยพูดค่อยจา ในแต่ละวันนางจะไปนั่งปักผ้าที่ชานเรือน เพื่อเฝ้าดูพ่อครูอุเทนที่ออกมาเดินเล่นในเมือง หรือเดินทางไปสอนสั่งเหล่าลูกศิษย์
เรื่องราวผ่านไปจากวันเป็นเดือน โดยไม่มีใครล่วงรู้ว่าทั้งสองเริ่มสนิทสนมกันได้อย่างไร แต่สิ่งที่ผู้คนในเมืองเริ่มสังเกตได้ก็คือ ในทุกครั้งที่พบเห็นพ่อครูอุเทนพักผ่อนอยู่ ณ ที่ใด มักจะเห็นนางซอกานั่งเล่นซองเกาะอยู่เคียงข้างเสมอ
จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง เป็นเวลาที่นางซอกาต้องกลับบ้านตามปกติ แต่เรื่องราวของนางกับพ่อครูอุเทนกลับไปถึงหูบิดาของนางเข้าโดยบังเอิญ ความเข้าใจผิดก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว บิดาของซอกาเข้าใจว่าทั้งสองคบหากัน จึงเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงเมื่อซอกากลับถึงบ้าน
นางซอกาเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะเพียงแค่ยังไม่ได้คบหากันบิดาก็มีแววว่าจะขัดขวางเส้นทางรักครั้งนี้ของนางเสียแล้ว ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความน้อยใจและเศร้าหมอง นางจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านในคืนนั้นเอง นางเดินเท้าเปล่าย่ำเข้าไปในป่าก่อนจะหยุดยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นบุหงาส่าหรี่ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โชยมาทำให้นางพอสงบใจไปได้บ้าง
ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นด้านหลัง พอนางหันกลับไป ปรากฏเป็นพ่อครูอุเทนที่เดินออกมาจากเงามืดนั่นเอง เขาถามนางว่าเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ในเวลาเช่นนี้ แต่นางไม่ได้ปริปากบอกอะไรกลับไป ทำเพียงก้มหน้าลงต่ำเก็บซ่อนความเสียใจ พ่อครูอุเทนที่เห็นดังนั้นก็ไม่ได้รบเร้าอะไรนางซอกาต่อ มือหนาพลันเอื้อมไปเด็ดดอกบุหงาส่าหรี่จากกิ่งเตี้ย ๆ จากนั้นเชยคางนางขึ้น แล้วค่อย ๆ ทัดลงบนใบหูของซอกาด้วยมือที่อ่อนโยน
“ดอกไม้นี้เหมาะกับเธอมาก ซอกา”
ในคืนนั้น ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้ สนทนาเรื่องไร้สาระ หัวเราะอย่างเงียบงัน และเฝ้ามองดวงจันทร์ท่ามกลางกลิ่นบุหงาส่าหรี่ที่ลอยอบอวลจนถึงรุ่งเช้า
เมื่อกลับถึงบ้าน นางซอกามีปากเสียงกับบิดาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาถึงกับขังนางไว้ในห้องอยู่หลายวัน จนคืนหนึ่งนางทนคิดถึงพ่อครูอุเทนไม่ไหว ขอเพียงได้พบหน้าเขาอีกสักครั้ง นางลอบหนีไปทางหน้าต่างของบ้านในคืนเดือนดับที่ดึกสงัด นางตามหาพ่อครูอุเทนไปทั่วแต่ก็ไม่พบ จนไปหมดแรงหยุดอยู่ที่ใต้ต้นบุหงาส่าหรี่ต้นเดิม
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ฝนห่าหนึ่งที่ไม่รู้มาจากแห่งหนใดพลันตกลงมาราวกับพายุเข้า กลางสายฝนนั้น ซอกากอดตัวเองไว้แน่น หลบอยู่ใต้ต้นไม้เพียงลำพัง มือของนางยังกำดอกบุหงาส่าหรี่ที่พ่อครูอุเทนเคยทัดไว้ให้อย่างไม่ยอมปล่อย
และภายใต้พายุฝนนั้นเอง...นางผล็อยหลับไป
รุ่งเช้า ชาวบ้านพบร่างของนางซอกานอนแน่นิ่งอยู่ใต้ต้นบุหงาส่าหรี่ เสื้อผ้าเปียกชุ่ม ร่างกายเย็นเฉียบ และริมฝีปากที่ยังมีรอยยิ้มบางเบาราวกับฝันหวาน บนผมของนางยังคงมีดอกบุหงาส่าหรี่ที่แห้งกรอบทัดไว้อยู่ที่หูข้างเดิม
จากวันนั้นเป็นต้นมา ผู้คนในเมืองเริ่มร่ำลือว่า หากค่ำคืนใดมีสายลมพัดผ่านต้นบุหงาส่าหรี่แรงผิดปกติ และมีกลิ่นดอกไม้หอมโชยแม้ไร้ดอก...นั่นคือคืนที่วิญญาณของซอกาที่ปรากฏตัวขึ้นใต้ต้นบุหงาส่าหรี่ ซึ่งปัจจุบันนั้นถูกรื้อถอนที่แล้วก่อสร้างใหม่เป็นศาลาบุหงา
วิญญาณของนางนั้นไม่ได้ปรากฏมารอด้วยความเคียดแค้น
หากแต่รอด้วยความโหยหา