🎓 การยื่นคำให้การ ในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ต้องยื่นคำให้การในส่วนแพ่งให้ชัดแจ้ง หากให้กาปฏิเสธลอยๆ จะถือว่าไม่มีประเด็นในส่วนแพ่ง
ฎีกาที่ 8529/2554 โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานยักยอกเนื่องจากจำเลยรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เกินที่โจทก์ขายที่ดินนั้นไว้ในครอบครองแล้วเบียดบังไปเป็นของตนโดยทุจริตสิทธิเรียกร้องทางแพ่งจึงต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาจึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดในคดีอาญาโจทก์ย่อมนำคดีส่วนแพ่งมาฟ้องรวมกับคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 40แม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องในคดีส่วนอาญาก็ไม่ทำให้ฟ้องในส่วนแพ่งที่สมบูรณ์แล้วเสียไป
การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้รับประทับฟ้อง ย่อมแสดงให้เห็นว่าเป็นการสั่งให้รับฟ้องคดีส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่งด้วย หากจำเลยจะต่อสู้คดีส่วนแพ่ง จำเลยจะต้องให้การต่อสู้ตามที่ ป.วิ.พ. ได้บัญญัติไว้พร้อมกับคำให้การต่อสู้คดีส่วนอาญาด้วยกัน โดยคำให้การคดีส่วนแพ่งนั้นจำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง แต่คำให้การของจำเลยให้การต่อสู้คำฟ้องโจทก์ในคดีส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่งรวมกันมาว่า จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นเท่านั้น คำให้การส่วนแพ่งจึงเป็นเพียงการปฏิเสธลอย ๆ หาได้โต้แย้งข้อเท็จจริงฟ้องของโจทก์ในคดีส่วนแพ่งซึ่งจำเลยจะต้องให้การมาโดยแจ้งชัดด้วยว่า คดีในส่วนแพ่งเป็นฟ้องซ้อนและฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้น เพราะเหตุใด เป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ จำเลยเพิ่งยกข้อเท็จจริงขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าคดีในส่วนแพ่งเป็นฟ้องซ้อนและฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นหรือไม่ ถือว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นอุทธรณ์ของจำเลยจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรค 1 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบและถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 5 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรค 1 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
🎓สิทธิขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม
ฎีกาที่ ๕๐๕๕/๒๕๕๙ เหตุคดีนี้เกิดจากการที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์แล่นแซงรถกระบะที่อยู่ด้านหน้าเข้าไปเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายที่แล่นสวนทางมาในช่องเดินรถของผู้ตาย
ซึ่งหากจำเลยไม่ขับรถจักรยานยนต์แล่นเข้าไปในช่องเดินรถของผู้ตายเหตุครั้งนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ผู้ตายขับรถโดยไม่ชิดขอบทางด้านซ้ายและขับรถมาด้วยความเร็ว ก็อาจเป็นเพียงการไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ เท่านั้น ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการกระทำความผิดของจำเลย ประการสำคัญขณะเกิดเหตุผู้ตายขับรถจักรยานยนต์แล่นอยู่ในช่องเดินรถของตนการที่ผู้ตายขับรถโดยไม่ชิดขอบทางด้านซ้ายและขับรถมาด้วยความเร็ว
ดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้รถจักรยานยนต์ของผู้ตายถูกรถจักรยานยนต์ของจำเลยเฉี่ยวชน แต่การที่รถจักรยานยนต์ของผู้ตายถูกรถจักรยานยนต์ของจำเลยเฉี่ยวชน และผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย ผู้ตายหามีส่วนประมาทด้วยไม่ ผู้ตายจึงเป็นเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย โจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาของผู้ตาย ย่อมมีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้
🎓บุกรุกครอบครองที่ดินสาธารณะสมบัติของแผ่นดินจำนวนมากแล้วให้ผู้อื่นเช่าหาประโยชน์อาจผิดกฎหมายฟอกเงิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3849/2562
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษ อ. และ ส. กับพวก ฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เนื้อที่กว่า 3,000 ไร่ การที่ อ. นำที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินส่วนหนึ่งกว่า 1,000 ไร่ ให้ผู้คัดค้านที่ 2 เช่า และ ส. สามีกับผู้คัดค้านที่ 2 ภริยาได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเนื้อที่กว่า 1,000 ไร่ นั้น โดยการปลูกอ้อยและส่งขายให้แก่โรงงานน้ำตาล พฤติการณ์จึงเป็นการใช้ ยึดถือ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ หรือกระบวนการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการค้า การกระทำของ อ. และ ส. จึงเข้าลักษณะเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมอันเป็นความผิดมูลฐานตาม มาตรา 3 (15) ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 แล้ว
🎓นายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย ลูกจ้างสามารถใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานหรือฟ้องศาลแรงงานต้องเลือกทางใดอย่างหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3871/2561
แม้จะไม่มีบทกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรงว่าเมื่อลูกจ้างได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานแล้วจะไม่มีสิทธิยื่นฟ้องนายจ้างต่อศาลแรงงานอีก แต่ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 123 ถึง มาตรา 125 เป็นกระบวนการทางเลือกซึ่งเมื่อลูกจ้างเลือกดำเนินการโดยยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานแล้วจะต้องดำเนินการไปจนเสร็จสิ้น บทบัญญัติดังกล่าวมีลักษณะกำหนดให้ลูกจ้างเลือกใช้สิทธิทางใดทางหนึ่งแต่เพียงทางเดียว ดังนั้น เมื่อโจทก์ในฐานะลูกจ้างเลือกใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน พนักงานตรวจแรงงานสอบสวนข้อเท็จจริงและมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ย หากโจทก์ไม่พอใจคำสั่ง โจทก์ต้องนำคดีไปสู่ศาลเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน แต่โจทก์ยื่นฟ้องนายจ้างเป็นจำเลยคดีนี้โดยอ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งแม้จะอ้างคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานมาด้วย แต่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ามากกว่าที่ได้รับตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน แสดงว่าโจทก์ไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน คำฟ้องโจทก์จึงมิใช่การฟ้องเพื่อขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน และมิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 125 เช่นนี้ สภาพคำฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องโดยอาศัยสิทธิเดิม ทั้งจำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเพื่อจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าโดยอาศัยสิทธิเดียวกับที่ไปยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานและพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งในเงินดังกล่าวอีก
🎓ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4928/2562
โจทก์บรรยายคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขอยืมที่ดินพิพาทเพื่อไปกู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาหรือบันทึกข้อตกลงถือสิทธิครอบครองที่ดินแทนโจทก์ กับทำหนังสือมอบอำนาจให้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนขายคืนแก่โจทก์ภายใน 1 ปี นับแต่วันจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 2 ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ 1 โอนขายที่ดิน และจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 จำนองที่ดินตามที่ตกลงกันไว้ โดยโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาจะซื้อขายที่ดินกันจริง แต่เพื่อนำที่ดินพิพาทไปจำนองแก่จำเลยที่ 2 เท่านั้น ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวถือว่าโจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 จะนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการกู้ยืมเงินแก่จำเลยที่ 2 และโจทก์เบิกความตอบทนายความจำเลยที่ 1 ถามค้านรับว่า เงินที่ได้จากการจำนอง 4,500,000 บาท โจทก์นำไปซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายธนาคาร ก. จำนวน 3,000,000 บาท ชำระค่าที่ดินที่ร่วมกับจำเลยที่ 1 ซื้อจาก พ. โดยมีชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และเลขที่บัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ในใบคำขอซื้อเช็ค ตรงกับบันทึกท้ายหนังสือสัญญาขายที่ดินที่จำเลยที่ 1 เขียนด้วยลายมือตนเองให้โจทก์ มีข้อความว่า "นำเงินที่ได้จากการจำนองที่ดิน 3,000,000 บาท ไปชำระค่าซื้อที่ดิน เนื้อที่ 58 ไร่ 3 งาน 67 ตารางวา ที่ลงทุนร่วมกัน" และในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงเขียนด้วยลายมือตนเองให้โจทก์มีข้อความว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของโจทก์ในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจาก พ. และ ด. โดยโจทก์เป็นผู้ชำระเงินให้แก่ผู้จะขาย 2,750,000 บาท และชำระด้วยแคชเชียร์เช็คให้แก่ธนาคาร ก. จำนวนเงิน 3,000,000 บาท สนับสนุนให้เห็นว่าการจำนองที่ดินพิพาทนั้นเป็นความประสงค์ของโจทก์ที่ต้องการเงินไปชำระค่าที่ดินที่ซื้อร่วมกับจำเลยที่ 1 นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองธนาคาร ส. สาขาแหลมฉบัง จำนวนเงิน 4,500,000 บาท ระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินเพื่อให้โจทก์นำเช็คไปชำระหนี้จำนองแก่จำเลยที่ 2 ดังนี้ โจทก์ย่อมทราบดีว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้จำนอง โจทก์อาจนำหนังสือมอบอำนาจและเช็คดังกล่าวไปชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ 2 ได้เอง ทั้งตามคำฟ้องของโจทก์ก็ยอมรับว่าประสงค์จะชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 ด้วย พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวบ่งชี้ชัดแจ้งว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 2 นิติกรรมจำนองที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 จึงมีผลผูกพันโจทก์เสมือนหนึ่งว่าโจทก์เป็นผู้จำนองเอง การที่โจทก์มาฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือสัญญาจำนองที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เพื่อที่โจทก์ไม่ต้องชำระหนี้จำนองแก่จำเลยที่ 2 นั้น ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2
🎓การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3390/2562
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสบคบกันหลอกลวงโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาเสนอขายฝากโจทก์ โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปทำสัญญาขายฝากในราคา 1,500,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองกลับทำสัญญาและจดทะเบียนขายฝากในราคาเพียง 500,000 บาท แล้วหลอกลวงโจทก์ว่าทำสัญญาและจดทะเบียนขายฝากในราคา 1,500,000 บาท โจทก์หลงเชื่อมอบเงินให้จำเลยทั้งสองไป 1,500,000 บาท โจทก์ร้องทุกข์ดำเนินคดีจำเลยทั้งสองในความผิดฐานฉ้อโกง พนักงานอัยการฟ้องจำเลยทั้งสองและมีคำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินที่ฉ้อโกง โจทก์เข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญา ต่อมาคดีอาญาดังกล่าวศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดจริงหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยทั้งสองและพิพากษายกฟ้อง เท่ากับว่าได้มีการวินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดีแล้วว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้อง และในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งซึ่งศาลต้องถือข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญา จึงเท่ากับยกฟ้องคดีในส่วนแพ่งไปแล้วด้วย ข้อเท็จจริงในคดีอาญานั้นจึงผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้กล่าวอ้างถึงคดีอาญาดังกล่าวไว้ชัดเจน และขอติดตามเอาทรัพย์คืน 1,000,000 บาท ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ได้รับเงิน 1,000,000 บาท ไปจากโจทก์หรือไม่ จึงเป็นประเด็นเดียวกับคดีอาญาดังกล่าว ที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องจำเลยทั้งสองในประเด็นที่ศาลในคดีอาญาได้วินิจฉัยมาแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
🎓วางของขายสินค้าบนทางเท้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5157/2539
ที่ดินพิพาทเป็นทางเท้าซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถใช้สัญจรไปมาได้ พฤติการณ์ของโจทก์ที่ครอบครองใช้สอยในที่ดินพิพาทโดยเพียงแต่นำตู้กระจกที่ใส่สินค้าออกไปวางขายในช่วงเช้าแล้วนำเข้าเก็บเมื่อปิดร้าน ครั้นปิดร้านแล้วก็มิได้สงวนบสิทธิในที่ดินพิพาทแต่อย่างใดคงปล่อยให้คนสัญจรไปมาดังเช่นทางเท้าทั่วไป ดังนี้ แม้โจทก์จะวางตู้กระจกขายสินค้าเป็นเวลาช้านานก็คงเป็นเพียงการถือวิสาสะเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทในบางเวลาเป็นการชั่วคราวเท่านั้น จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของอันจะมีลักษณะเป็นการครอบครองอย่างปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒
🎓เมื่อมีเหตุรถชนกันคู่กรณีมีหน้าที่อย่างไร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 126/2531
กรณีรถสองคันแล่นสวนทางกันและเกิดเหตุชนกันได้รับความเสียหาย แม้ว่าความเสียหายนั้นจะมิได้เกิดเพราะความผิดของจำเลยก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่นแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที เมื่อจำเลยมิได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นการไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายบังคับไว้ จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 78 วรรคแรก และมีโทษตามมาตรา 160 วรรคแรก
🎓 การฎีกาต้องโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ใช่โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ฎีกา2950/2564
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยทั้งสิบหกฟ้องเท็จและเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยทั้งสิบหกเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) และยังเป็นฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิดตามบทมาตราที่ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบหกด้วย กรณีมิใช่เรื่องฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลที่จะสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 161 ได้ ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง วางหลักในการฎีกาว่า ฎีกาจะต้องคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นไม่ถูกต้องด้วยข้อเท็จจริง และไม่ชอบด้วยเหตุผลอย่างไร เมื่อพิจารณาฎีกาของโจทก์แล้ว เห็นได้ว่า ฎีกาโจทก์ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงและเหตุผลขึ้นโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่าอุทธรณ์โจทก์มิได้โต้แย้งว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ชอบอย่างไร และโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพราะเหตุใดนั้น ไม่ถูกต้องด้วยข้อเท็จจริงและไม่ชอบด้วยเหตุผลอย่างไร ฎีกาโจทก์จึงไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
🎓 คำพิพากษาของศาลในคดีอาญาที่ยกฟ้องไม่ใช่หลักฐานที่ใช้ในคดีฟ้องเท็จ
ฎีกา4108/2557 การนำความอันเป็นเท็จมาฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลมีความหมายว่าเป็นการนำความอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญาซึ่งเป็นความเท็จมาฟ้องต่อศาลหาใช่ถือเอาผลแพ้ชนะแห่งคดีมาเป็นข้อชี้ขาดไม่ดังนั้นแม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องของจำเลยก็ไม่เป็นหลักฐานที่จะแสดงว่าฟ้องของจำเลยเป็นเท็จ
🎓 ความผิดต่อรัฐ ผู้เสียหายฟ้องเองไม่ได้
ฎีกาที่ 1234/2549 ศาลฎีกาได้ยกประเด็นตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และ 3 ขึ้นพิจารณาก่อนว่าโจทย์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของคณะกรรมการการเลือกตั้งจะเป็นความผิดตามมาตรา 24 ของพรบ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งพ.ศ 2541 ได้นั้นจะต้องเป็นกระทำต่อผู้สมัครหรือพรรคการเมืองแต่ข้อเท็จจริงคดีนี้ได้ความเพียงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในจังหวัดสงขลาเขตเลือกตั้งที่ 6และเป็นสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งไม่ได้ส่งผู้ใดเข้าสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่ดังกล่าวเลยดังนั้นเมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้สมัครรับเลือกตั้งจึงยังถือไม่ได้ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งได้กระทำการที่จะเป็นความผิดต่อโจทก์ตามมาตรา 24 ที่บัญญัติว่าห้ามไม่ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดและอนุกรรมการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งกระทำการอันไม่ชอบด้วยหน้าที่เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดดังนั้นโจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดตามมาตรา 24 ดังกล่าวพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งพ.ศ 2541 ไม่ได้มีบทบัญญัติให้ถือว่าผู้สมัครและพรรคการเมืองเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอย่างเช่นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งวุฒิสภาพ.ศ 2541มาตรา 114 จึงเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งบัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวมเท่านั้นไม่ได้บัญญัติเพื่อคุ้มครองโจทก์ที่เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งโดยตรงเป็นพิเศษเพราะหากถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายแล้วประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเหมือนโจทก์ก็ย่อมเป็นผู้เสียหายเช่นกันและถ้าต่างใช้สิทธิ์ฟ้องร้องก็จะเกิดความไม่เป็นธรรมต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งดังเช่นคดีที่นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กับพวกรวม 9 คนยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่ากระทำความผิดพรบ. ว่าด้วยคณะการเลือกตั้งมาตรา 24 ซึ่งคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่านายแพทย์นิรันดร์พิทักษ์วัชระกับพวกไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงหากการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นความผิดก็จะต้องถือว่าเป็นการกระทำความผิดต่อรัฐไม่ใช่กระทำผิดต่อโจทย์โจทย์จริงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2 (4) และมาตรา 28 (2) ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้ง 2 ฟังขึ้นจึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
ฎีกาที่ 6892/2542 (ประชุมใหญ่) การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยพลการ โดยทุจริตมิใช่ได้ทรัพย์ไปเพราะผู้อื่นยินยอมมอบให้เนื่องจากถูกหลอกลวง การที่จำเลยเปลี่ยนเอาป้ายราคาโคมไฟตั้งโต๊ะของกลางซึ่งติดราคา 1,785 บาท ออกแล้วนำป้ายราคาโคมไฟอื่นซึ่งติดราคา 134 บาทมาติดแทนแล้วมอบให้พวกของจำเลยนำไปชำระราคาแก่เจ้าพนักงานเก็บเงินของผู้เสียหายจึงมิใช่เอาโคมไฟตั้งโต๊ะไปโดยพละการโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ หากแต่เป็นการหลอกลวงพนักงานเก็บเงินของผู้เสียหายโดยทุจริตโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าราคาโคมไฟตั้งโต๊ะมีราคา 134 บาทพนักงานเก็บเงินของผู้เสียหายหลงเชื่อยินยอมมอบโคมไฟตั้งโต๊ะของกลางให้จำเลยโดยรับเงินจากจำเลยไว้เพียง 134 บาทการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
ฎีกาที่ 457/2503 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2503) โจทก์ฟ้องมีใจความว่าจำเลยได้ตกลงเช่าซื้อวิทยุเครื่องหนึ่งไปจากโจทก์โดยจำเลยตกลงชำระค่าเช่าให้โจทก์เป็นรายเดือนทุกเดือน จนกว่าจะครบจำนวนราคาวิทยุที่เช่าซื้อไปเมื่อเช่าซื้อไปแล้วจำเลยได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์เพียง 2 คราวและมิได้ชำระให้โจทก์อีกเลยต่อมาจำเลยได้มีเจตนาทุจริตบังอาจเอาวิทยุของโจทก์ที่จำเลยครอบครองอยู่ในฐานะผู้เช่าซื้อไปจำนำไว้กับผู้มีชื่อและโดยเจตนาทุจริตของจำเลยจำเลยได้เบียดบังเอาเงินค่าจำนำวิทยุนี้เป็นของจำเลยหรือบุคคลที่ 3 เสีย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกเงินค่าจำนำวิทยุหาใช่เป็นฟ้องหาว่ายักยอกเครื่องวิทยุไม่แม้จะถือว่าวิทยุยังเป็นของโจทก์ซึ่งถ้าหากมีกรณีจะต้องคืนวิทยุและจำเลยคืนไม่ได้จำเลยอาจต้องใช้เงินให้โจทก์ก็ดีแต่ก็เป็นการบังคับตัวจำเลยให้เอาเงินมาใช้แทนทรัพย์ ส่วนตัวเงินที่จำเลยเอาเครื่องวิทยุไปจำนำมาได้ไม่ใช่เป็นเงินของโจทก์หรือที่โจทก์จะบังคับเอากับเงินนั้นได้โดยตรง แม้จำเลยจะเอาเงินนี้ไปไม่นำมาให้โจทก์ โจทย์ก็จะว่าจำเลยยักยอกเงินนี้ไม่ได้ ฟ้องของโจทก์จึงไม่มีมูลคดีอาญาดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้ว
ฎีกาที่ 755/2518 (ประชุมใหญ่) จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญาขายที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองที่ดินนั้นและชำระราคาครบถ้วนแล้วเหลือแต่การโอนโฉนดโจทก์ย่อมได้ชื่อว่าอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน โจทก์เป็นเจ้าหนี้แน่นอนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งจำเลยทั้งสองมีหนี้ที่จะต้องโอนที่ดินให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 กลับโอนขายที่ดินนั้นให้จำเลยที่ 3 ไปเสีย โดยจำเลยทั้ง 3 ทราบอยู่แล้วว่าโจทก์กำลังจะฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้มีทรัพย์มากพอที่จะชำระหนี้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้แม้หนี้สินอื่นที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นจำนวนมากจำเลยก็ชำระให้โดยไม่บิดพลิ้วการที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโอนที่ดังกล่าวให้โจทก์นั้นเป็นเพราะโจทก์กับจำเลยแปลความในสัญญากันคนละทางไม่ใช่เพราะมีเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้ให้โจทก์จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่งไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้และจำเลยที่ 3 ผู้รับซื้อที่ดินนั้นไว้ก็ย่อมไม่มีความผิดทางอาญาดุจกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2550
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 1548วรรคสาม 1566 ป.พ.พ. ม.1548วรรคสาม ม.1566
ขณะผู้ร้องอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้คัดค้านโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส แม้ผู้ร้องจะยังไม่มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ตามกฎหมาย แต่การที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องจดทะเบียนผู้เยาว์เป็นบุตรจะมีผลให้ผู้เยาว์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ผู้ร้องย่อมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ตามกฎหมาย แม้จะเป็นเรื่องหน้าที่ที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากการที่ผู้เยาว์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ผู้คัดค้านก็มีอำนาจฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์เข้ามาในคดีที่ผู้ร้องขอจดทะเบียนผู้เยาว์เป็นบุตรได้เสียทีเดียวเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน
คดีนี้ผู้ร้องขอจดทะเบียนเด็กหญิง อ. ผู้เยาว์เป็นบุตรของผู้ร้องโดยผู้คัดค้านยอมรับว่าผู้เยาว์เป็นบุตรของผู้ร้องจริง ทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า ผู้เยาว์อายุประมาณ 3 ขวบเศษ อยู่ในวัยไร้เดียงสาไม่อาจให้ความยินยอมได้ การที่ผู้ร้องมิได้ยื่นคำขอจดทะเบียนผู้เยาว์เป็นบุตรต่อนายทะเบียนก่อน แต่ดำเนินการยื่นคำร้องขอต่อศาลนั้นกระทำได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1548 วรรคสาม ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องจดทะเบียนผู้เยาว์เป็นบุตรจึงมิชอบ
🎓 ทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ต่อมาศาลอนุญาตให้จำเลยกับเด็กหญิงสมรสกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2541 ขณะเกิดเหตุเด็กหญิงม มิอายุไม่ครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ จึงไม่อาจสมรสได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1448 กรณีที่จำเลยต้องการอยู่กินฉันสามีภรรยา กับเด็กหญิงม โดยนางจ มารดาของเด็กหญิงม ยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ขออนุญาติให้เด็กหญิงม จดทะเบียนสมรสกับจำเลยนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังที่เกิดเหตุแล้ว แม้ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง จะอนุญาตตามคำร้องดังกล่าว ก็มิได้ลบล้างความผิดที่จำเลยได้กระทำมา ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าจำเลยกระทำความผิด ฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่ออนาจารจึงชอบแล้ว แต่เมื่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้อนุญาตให้จำเลยกับเด็กหญิงมสมรสกัน การกระทำของจำเลยในข้อหากระทำชำเรา เด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก จึงไม่ต้องรับโทษตามบทบัญญัติในวรรคแรก แม้จำเลยจะมิได้ฎีกามา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้เอง
่่