1. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด
บทคัดย่อ
การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพพึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา โดยการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาระดับสภาพปัจจุบันสภาพที่พึงประสงค์ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา จากกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา 14 คน และครู 220 คน รวม 234 คน เครื่องมือที่ใช้ คือแบบสอบถาม คุณภาพเครื่องมือ ได้แก่ค่าดัชนีความสอดคล้อง
0.80 - 1.00 ค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง 0.37 - 0.98 และค่าความเชื่อมั่น 0.90 ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 8 คน และวิเคราะห์เนื้อหาข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์โดยวิธีการตีความแล้วนำเสนอแบบพรรณนาผลการวิจัย พบว่า
1. ระดับสภาพปัจจุบันภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก และมีสภาพที่พึงประสงค์ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ระดับความต้องการจำเป็นโดยรวม PNI Modified = 0.26 ทั้งนี้ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI Modified) จากต่ำสุดไปหามากสุด อยู่ระหว่าง 0.21 ถึง 0.30
2. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี ของผู้บริหารสถานศึกษา คือ ผู้บริหารสถานศึกษาควรศึกษานโยบายของหน่วยงานต้นสังกัด และหลักการบริหารใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาตนเองให้มีความรู้ ความสามารถ และมีทักษะสำหรับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อการบริหารสถานศึกษา กำหนดแผนการดำเนินงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของสถานศึกษาอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนทิศทางการศึกษา และกำหนดแนวทางการพัฒนาระบบเทคโนโลยีของสถานศึกษาพร้อมทั้งส่งเสริมให้บุคลากรในสถานศึกษาพัฒนาตนเองในด้านเทคโนโลยี และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารงานทั้ง 4 ฝ่ายงานของสถานศึกษา รวมทั้งการจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ทางเทคโนโลยีและจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือดิจิทัล ที่เพียงพอต่อการใช้งานของบุคลากรนักเรียน นักศึกษา ให้สามารถสามารถเข้าถึงได้ง่ายในทุกที่ทุกเวลา
จิรวัฒณ์ รักปัญญาสุทธิกุล และ ชยากานต์ เรืองสุวรรณ. (2565). แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ปีที่ 19 ฉบับที่ 85 เมษายน - มิถุนายน 2565 : หน้า 121 - 130
2. การศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา โดยใช้กระบวนการวิจัยจากเอกสาร (Documentary Research) แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน 12 แหล่ง ขั้นตอนที่ 2 ประเมินความเหมาะสมองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสังเคราะห์เอกสาร และแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ประกอบด้วย 1) การมีวิสัยทัศน์ทางเทคโนโลยี 2) การใช้เทคโนโลยีเพื่อจัดการเรียนรู้ 3) การใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาวิชาชีพ 4) การสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี 5) การใช้เทคโนโลยีด้านการวัดและประเมินผล 6) การมีจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี โดยทุกองค์ประกอบมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด
พชร เอ้มะราช ทรัพย์หิรัญ จันทรักษ์ และอภิสิทธิ์ สมศรีสุข. (2567). การศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา. วารสาร มจร.อุบลปริทรรศน์ (มกราคม-เมษายน 2567) ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 : หน้า 305 - 320
3. การศึกษาภาวะผู้นําเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูในจังหวัดอุทัยธานีสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุทัยธานี ชัยนาท
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นําเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูในจังหวัดอุทัยธานี และ2) เปรียบเทียบระดับภาวะผู้นําเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูในจังหวัดอุทัยธานี จําแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์การทํางาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ครู จํานวน 252 คนโดยการคํานวณจากสูตรของทาโร ยามาเน่ และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามภาวะผู้นําเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาซึ่งมีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวผลการศึกษาพบว่า
1) ภาวะผู้นําเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูในจังหวัดอุทัยธานีโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥 = 4.14 , S.D. = 0.41) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการนําเทคโนโลยีไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (𝑥 = 4.25 , S.D. = 0.47) รองลงมา ได้แก่ ด้านการมีจริยธรรมทางกฎหมายในการใช้เทคโนโลยี มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( 𝑥 = 4.20 , S.D. = 0.52) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ําสุด ได้แก่ ด้านการส่งเสริมสนับสนุนในการใช้เทคโนโลยี มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (𝑥 = 4.08 , S.D. = 0.50) ตามลําดับ 2) การเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นําเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูในจังหวัดอุทัยธานี จําแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์การทํางาน พบว่า โดยภาพรวมและรายด้านมีทัศนะต่อภาวะผู้นําเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาไม่แตกต่างกัน
วนัชพร แจ่มสกุล สาธร ทรัพย์รวงทอง และ สุพัฒนาหอมบุปผา. (2567). การศึกษาภาวะผู้นําเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนะของครูในจังหวัดอุทัยธานีสังกัด สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุทัยธานี ชัยนาท. วารสารคณะครุศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ปีที่ 7 ฉบับที่1 (มกราคม - เมษายน2567) : หน้า 43-55.
1.การพัฒนาภาวะผู้นำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
บทคัดย่อ
การพัฒนาภาวะผู้นำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่าผู้เข้ารับการพัฒนามีความรู้หลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีพฤติกรรมระหว่างการพัฒนาอยู่ในระดับดีมากทุกข้อ ความพึงพอใจต่อการพัฒนาอยู่ในระดับ มากที่สุด ( = 4.56, S.D. = 0.41) ผลการติดตามการนำความรู้ไปพัฒนาการปฏิบัติงานหลังการพัฒนา 1 เดือน โดยการสนทนากลุ่มและตอบแบบสอบถามเพื่อสำรวจระดับความสามารถในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า ความรู้ที่ได้จากการพัฒนาส่งผลต่อการพัฒนาความสามารถในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้เข้ารับการพัฒนาในระดับมากที่สุด ( = 4.61, S.D. = 0.21) ซึ่งสูงกว่าก่อนการพัฒนา ( =2.43, S.D. = 0.37)
นางสาวสุธาสินี สว่างศรี . (2553). การพัฒนาภาวะผู้นำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2. เเนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวน 332 คน คัดเลือกโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถามระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษาและระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีค่าความเชื่อมั่น .98 2) แบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำที่ยั่งยืนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวก ในระดับสูง (r = .862**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำที่ยั่งยืนกับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำแห่งการเรียนรู้ พัฒนาบุคลากรให้มีศาสตร์ทางวิชาชีพสร้างวิสัยทัศน์ กระจายอำนาจให้บุคลากรอย่างเหมาะสม คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผลประโยชน์ของทุกภาคส่วน สร้างความสมดุลของทรัพยากรทางการศึกษา และให้ความสำคัญกับความรู้ ประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต3. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ข้าราชการครูโรงเรียนในสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 จำนวน 136 คน จาก 15 โรงเรียน โดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นนำไปสุ่มอย่างง่ายแบบมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขต บ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านวัฒนธรรมขององค์กร รองลงมาด้านการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร ด้านการกำหนดทิศทาง ขององค์กร และด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ ตามลำดับ
2. ข้าราชการครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
3. ข้าราชการครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครูสหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยรวมและรายด้านแตกต่างกัน
ปรียานุช ทับหนองฮี. (2566). ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สหวิทยาเขตบ้านบึง 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1. มหาวิทยาลัย ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยเกริก.
1.การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี และทักษะด้านการเรียนรู้ และนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2
บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี และทักษะการเรียนรู้ด้านนวัตกรรม ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2 โดยสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามอำเภอ จำนวน 180 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูลเป้นแบบสอบถามมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ของเพียร์สัน ( Pearson's Product Moment Correlation coefficient)
ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี ของผู้บริหารสถานศึกษา และครูวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2 นั้นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ทักษะการเรียนรู้ด้านนวัตกรรม ของผู้บริหารสถานศึกษา และครูวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี และทักษะการเรียนรู้ด้านนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2 โดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01
ธีรโชติ หล่ายโท้. (2560). การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยี และทักษะด้านการเรียนรู้ และนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2. มหาวิทยาลัยนเรศวร.
2. ภาวะผู้เชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 และ (2) เปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 จำแนกตามขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 ปีการศึกษา 2562 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเคร็จซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 242 คน จากนั้นใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นและการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยปรากฏว่า (1) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การสนับสนุน การบริหารจัดการ และการดำเนินการด้านเทคโนโลยี รองลงมา ได้แก่ การผลิตและการปฏิบัติทางวิชาชีพในการใช้เทคโนโลยี ความรู้ทางสังคม กฎหมาย จริยธรรมด้านเทคโนโลยีและการปฏิบัติ การเรียนรู้และการเรียนการสอน การใช้เทคโนโลยีในการวัดผลและการประเมินผล และความเป็นผู้นำและ มีวิสัยทัศน์เชิงเทคโนโลยี ตามลำดับ และ (2) การเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครูในสถานศึกษาจำแนกตามขนาดของโรงเรียน พบว่า ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดกลางแตกต่างจากผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยผู้บริหารสถานศึกษาขนาดกลางจะมีภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีมากกว่าผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็กในทุกด้าน
วรัศมี แสงชุ่ม. (2562). ภาวะผู้เชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาตามการรับรู้ของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2. สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
3. การศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย
บทคัดย่อ
การศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย และเพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย จำแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จำนวน 226 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สถิติ (One way ANOVA) ในประสบการณ์เมื่อพบความแตกต่างกันทำการเปรียบเทียบเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของ (Scheffe's Method) จากผลการวิจัยพบว่า 1) การศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการมีจริยธรรมและตรวจสอบได้ รองลงมา คือ ด้านการบริหารความเสี่ยง และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการคิดสร้างสรรค์ 2) การเปรียบเทียบผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีความคิดเห็นต่อการศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย จำแนกตามระดับการศึกษา ภาพรวมแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน ภาพรวมมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
จีระศักดิ์ ชุมภู. (2564). การศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสุดถิ่นไทย จังหวัดเชียงราย. ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา.
1.The Relationship between Principals' Technological Leadership Competence and School Effectiveness
( ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของผู้อำนวยการโรงเรียนและประสิทธิผลของโรงเรียน )
Abstract (บทคัดย่อ)
The study results revealed no statistically significant difference in teachers' perceptions of principals' technological leadership and school effectiveness in terms of teachers' gender, seniority, branch, working time at the current school, technological competence, and daily technology use. However, the findings showed a significant difference in the perceptions of technological leadership by age but not in the perceptions of school effectiveness. The analysis results revealed a strong or very strong correlation between the technological leadership and its sub-dimensions and the school effectiveness sub-dimensions. It was found that a positive increase in any sub-dimension of the technological leadership scale improved school effectiveness, and there was a significantly positive and very high relationship between school effectiveness and technological leadership. As technological leadership increased, so did school effectiveness. Accordingly, technological leadership explained 50.8% of the change in school effectiveness. Principals' technological leadership, mediated by teachers' technological literacy, affected teaching and school effectiveness.
ผลการศึกษาพบว่าไม่มีความแตกต่างทางสถิติที่สำคัญในความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของผู้อำนวยการโรงเรียนและประสิทธิผลของโรงเรียนในแง่ของเพศ อาวุโส สาขา เวลาทำงานที่โรงเรียนปัจจุบัน ความสามารถด้านเทคโนโลยี และการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในความคิดเห็นเกี่ยวกับความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีตามอายุ แต่ไม่รวมถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียน ผลการวิเคราะห์เผยให้เห็นความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งหรือแข็งแกร่งมากระหว่างความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและมิติย่อยของความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีกับมิติย่อยของประสิทธิผลของโรงเรียน พบว่าการเพิ่มขึ้นในเชิงบวกในมิติย่อยใดๆ ของมาตราส่วนความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีช่วยปรับปรุงประสิทธิผลของโรงเรียน และมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญและสูงมากระหว่างประสิทธิผลของโรงเรียนและความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี เมื่อความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ประสิทธิผลของโรงเรียนก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีจึงอธิบายการเปลี่ยนแปลงในประสิทธิผลของโรงเรียนได้ 50.8% ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งผ่านกระบวนการรู้หนังสือด้านเทคโนโลยีของครู ส่งผลต่อการสอนและประสิทธิผลของโรงเรียน
Minaz, Ögr. Üyesi Muhammet Baki; Özel, Yusuf; Ay And Mustafa . (2022). The Relationship Between Principals' Technological Leadership Competence and School Effectiveness. Education Quarterly Reviews, 5(4), p39-57.
2. Investigation of School Administrators' Technological Leadership Behaviors in the Context of Teachers' Professional Development
(การสำรวจพฤติกรรมความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษาในบริบทการพัฒนาวิชาชีพครู )
Abstract (บทคัดย่อ)
The objective of this research is to examine the influence of school principals' technological leadership practices on teachers' professional growth. In the contemporary educational landscape, principals' adeptness in technological leadership holds significant implications for fostering teachers' professional evolution. A mixed-method converging parallel design was employed in this study, facilitating both quantitative and qualitative data collection and analysis. The research sample comprised 418 teachers from various types of schools in Istanbul's districts of Beylikdüzü, Büyükçekmece, Silivri Avcilar, and Esenyurt during the spring term of the 2022-2023 academic year. Quantitative data were procured using the "School Principal Technological Leadership Behavior Scale (SPTLBS)" developed by Durnali (2018). In contrast, qualitative data were gathered using an "Interview Form" curated by the researcher. Throughout the research process, the researcher ensured the participating teachers were fully informed about the measurement tool and their voluntary participation was respected. Descriptive statistical techniques, including arithmetic mean and inferential statistics, including t-tests, were used to analyze the quantitative data. For qualitative data analysis, the MAXQDA program was utilized. The study hypothesizes that school principals' technological leadership practices significantly impact teachers' professional development. Interestingly, the principals' technological leadership practices did not significantly vary according to the teachers' education level, age, tenure, or teaching field. In qualitative findings, participants sugge
วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้คือการตรวจสอบอิทธิพลของแนวทางปฏิบัติด้านความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีต่อการเติบโตทางอาชีพของครู ในภูมิทัศน์การศึกษาในปัจจุบัน ความชำนาญของผู้อำนวยการโรงเรียนด้านความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมวิวัฒนาการทางอาชีพของครู การศึกษาครั้งนี้ใช้การออกแบบแบบคู่ขนานที่บรรจบกันแบบผสมผสานวิธี ซึ่งอำนวยความสะดวกในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ตัวอย่างการวิจัยประกอบด้วยครู 418 คนจากโรงเรียนประเภทต่างๆ ในเขต Beylikdüzü, Büyükçekmece, Silivri Avcilar และ Esenyurt ของอิสตันบูลในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีการศึกษา 2022-2023 ข้อมูลเชิงปริมาณได้รับโดยใช้ "School Principal Technological Leadership Behavior Scale (SPTLBS)" ที่พัฒนาโดย Durnali (2018) ในทางตรงกันข้าม ข้อมูลเชิงคุณภาพรวบรวมโดยใช้ "แบบสัมภาษณ์" ที่จัดทำโดยนักวิจัย ตลอดกระบวนการวิจัย นักวิจัยได้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าครูที่เข้าร่วมได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องมือวัดอย่างครบถ้วน และเคารพการมีส่วนร่วมโดยสมัครใจของพวกเขา เทคนิคสถิติเชิงพรรณนา รวมถึงค่าเฉลี่ยเลขคณิตและสถิติเชิงอนุมาน รวมถึงการทดสอบ t ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ จะใช้โปรแกรม MAXQDA การศึกษานี้ตั้งสมมติฐานว่าแนวทางปฏิบัติด้านความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้อำนวยการโรงเรียนมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาวิชาชีพของครู ที่น่าสนใจคือ แนวทางปฏิบัติด้านความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้อำนวยการโรงเรียนไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญตามระดับการศึกษา อายุ ระยะเวลาการทำงาน หรือสาขาการสอนของครู ในผลการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้เข้าร่วมแนะนำว่าอิทธิพลต่อการพัฒนาวิชาชีพของครูนั้นเกิดจากทั้งครูและผู้อำนวยการโรงเรียนร่วมกัน
Metin Isik . (2023). Investigation of School Administrators' Technological Leadership Behaviors in the Context of Teachers' Professional Development . Malaysian Online Journal of Educational Technology, v11 n4 : p238-257.
3. The Mediating and Moderating Effects of Knowledge Management in the Relationship between Technological Leadership Behaviors of School Principals and Data-Driven Decision-Making
(ผลการไกล่เกลี่ยและการควบคุมของการจัดการความรู้ในความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้อำนวยการโรงเรียนและการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล )
Abstract (บทคัดย่อ)
The objective of this study is to contribute to the increasing database regarding the effects of school leadership on teachers' data usage by investigating the relationship between the technological leadership behaviors of school principals and data-driven decision-making at their schools based on the mediating and moderating effects of the knowledge management variable. 408 teachers from 14 provinces of Turkey in the 2020-2021 academic year were included in the study. The School Principal Technological Leadership Competency Scale, the Knowledge Management Scale, and the Data-Driven Decision-Making in Schools Scale were used as data collection tools in this cross-sectional quantitative study. Descriptive statistics, correlation, and structural equation modeling (SEM) were used in data analysis. The study results demonstrate the school principals' practices of technological leadership, knowledge management at schools, and data-driven decision-making to be high. It has been found out in the study that knowledge management implementations play a mediating role in data-driven decision-making at schools by increasing the technological leadership competency levels of school principals, while not having a moderating effect on the relationship between technological leadership and data-driven decision-making. In addition, technological leadership and knowledge management have been identified to be significant and positive predictors of data-driven decision-making. Based on the study results, suggestions have been made to improve the technological leadership behaviors and knowledge management implementations of school principals at schools.
วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้คือเพื่อสนับสนุนฐานข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของความเป็นผู้นำในโรงเรียนต่อการใช้ข้อมูลของครู โดยการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้อำนวยการโรงเรียนกับการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลในโรงเรียนของตนโดยอิงจากผลกระทบที่ไกล่เกลี่ยและปรับระดับของตัวแปรการจัดการความรู้ ในปีการศึกษา 2020-2021 ครู 408 คนจาก 14 จังหวัดของตุรกีรวมอยู่ในการศึกษานี้ มาตราวัดความสามารถในการเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้อำนวยการโรงเรียน มาตราวัดการจัดการความรู้ และมาตราวัดการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลในโรงเรียน ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลในการศึกษาเชิงปริมาณแบบตัดขวางนี้ สถิติเชิงพรรณนา ความสัมพันธ์ และการสร้างแบบจำลองสมการโครงสร้าง (SEM) ถูกใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าแนวทางปฏิบัติของผู้อำนวยการโรงเรียนเกี่ยวกับความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี การจัดการความรู้ในโรงเรียน และการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลนั้นอยู่ในระดับสูง จากการศึกษาพบว่าการนำการจัดการความรู้ไปใช้มีบทบาทเป็นตัวกลางในการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลในโรงเรียน โดยเพิ่มระดับความสามารถในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของผู้อำนวยการโรงเรียน แต่ไม่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล นอกจากนี้ ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและการจัดการความรู้ยังได้รับการระบุว่าเป็นตัวทำนายที่สำคัญและเป็นบวกสำหรับการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล จากผลการศึกษา ได้มีการเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงพฤติกรรมความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและการนำการจัดการความรู้ไปใช้ของผู้อำนวยการโรงเรียนในโรงเรียน
Çevik, Mehmet Sabir Dogan and Emine. (2023). The Mediating and Moderating Effects of Knowledge Management in the Relationship between Technological Leadership Behaviors of School Principals and Data-Driven Decision-Making. Educational Policy Analysis and Strategic Research, v18 n1: p50-76.