I. ความชอบพระทัยอันดีงามของพระเจ้า, พระทัยปรารถนาของพระองค์คือการตอบสนองต่อความต้องการของยุคนี้ ซึ่งก็คือความต้องการของพระเจ้าในยุคนี้:
1. ในยุคนี้ พระเจ้าไม่ได้ต้องการ “วีรบุรุษฝ่ายวิญญาณ” อีกต่อไป; สิ่งที่พระองค์ต้องการคือพยานของพระกาย ซึ่งก็คือความเที่ยงแท้แห่งพระกายของพระคริสต์ ซึ่งจะสำเร็จสุดยอดเป็นกรุงเยรูซาเล็มใหม่; นี่คือการทำให้พระทัยปรารถนาขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำเร็จเป็นจริงตามพระคำของพระองค์เกี่ยวกับการก่อสร้างพระกายของพระองค์ — มธ.16:18; อฟ.4:1–16.
2. ข้อ 15–16 กล่าวว่าอวัยวะทั้งหมดของพระกายเติบโตเข้าสู่ศีรษะและมีการใช้งานออกมาจากศีรษะ; ดังนั้น “ทั้งพระกาย” (พร้อมด้วยข้อต่อที่ทำการหล่อเลี้ยงและการใช้งานของแต่ละส่วน) “จึงทำให้พระกายนั้นเจริญเติบโตจนได้ก่อสร้างตนเองขึ้นในความรัก.”
3. ในฐานะผู้ปฏิบัติของยุคปัจจุบันนี้ พี่น้องนีกับพี่น้องลีได้เป็นแบบอย่างแก่เรา เพื่อเราจะได้รับการสำเร็จ “เพื่อการงานแห่งการปฏิบัตินั้น เพื่อการก่อสร้างพระกายของพระคริสต์”; เราได้รับการสำเร็จในยุคปัจจุบันนี้เพื่อกลายเป็นอวัยวะที่มีการใช้งานในพระกายของพระคริสต์ — ข้อ 11–12; 1ตธ.1:16; 4:12; 1กธ.4:16–17.
4. “วีรบุรุษฝ่ายวิญญาณ” เป็นสิ่งที่ขัดขวางการก่อกำเนิดการปฏิบัติของคริสตจักร; เราต้องมองเห็นสิ่งที่คริสตจักรเป็นทางภายใน; คริสตจักรในฐานะพระกายของพระคริสต์นั้นก่อกำเนิดขึ้นเมื่อทุกคนที่มีหนึ่งตะลันต์ล้วนมีการใช้งาน; เงินตะลันต์เป็นเครื่องหมายเล็งถึงของประทานฝ่ายวิญญาณ และแต่ละอวัยวะในพระกายของพระคริสต์ล้วนแต่มีอย่างน้อยหนึ่งตะลันต์ — มธ.25:14–30; รม.12:6; 1กธ.12:4, 12–27; 1ปต.4:10:
(1) เพื่อการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องมีเงินตะลันต์ ซึ่งก็คือของประทานฝ่ายวิญญาณ เพื่อเราจะถูกเสริมสร้างให้เป็นทาสที่ดีมาทำให้แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้าสำเร็จสมบูรณ์; แน่นอนว่าเราต้องทำให้คนที่มีห้าตะลันต์มาปรนนิบัติ และคนที่มีสองตะลันต์มาปรนนิบัติ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังต้องทำให้ทุกคนที่มีหนึ่งตะลันต์มาปรนนิบัติด้วย.
(2) เมื่อคนที่มีหนึ่งตะลันต์ห้าคนถูกวางไว้ด้วยกัน พวกเขาก็มีค่าเท่ากับคนที่มีห้าตะลันต์; ถ้าวันนี้ทุกคนที่มีหนึ่งตะลันต์ในคริสตจักรนำเงินตะลันต์ของพวกเขาออกมา ท่ามกลางเราก็ไม่จำเป็นต้องมีของประทานที่ยิ่งใหญ่มากมาย; ขอเพียงคนที่มีหนึ่งตะลันต์ออกมา ทั้งโลกก็จะถูกพิชิต (เทียบ กจ.17:6ข)!
(3) ถ้าการงานของเราไม่ได้นำคนที่มีหนึ่งตะลันต์ออกมา การงานของเราก็ล้มเหลว; 2 ติโมเธียว 2:2 และ เอเฟโซ 4:11–12 คือหนทางในการทำงานของเราในวันนี้; มีเพียงผู้ที่ได้สอนคนอื่นให้สามารถทำงานเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จในการงาน; วันนี้การก่อสร้างคริสตจักรขึ้นอยู่กับการสำเร็จ, การก่อสร้าง, และการลุกขึ้นมาของผู้ที่มีหนึ่งตะลันต์; สิ่งที่จำเป็นในวันนี้คือคนที่สามารถนำพาผู้อื่นเข้าสู่การใช้งานของเขาในการปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อคริสตจักร ไม่ใช่คนที่มาแทนที่การปรนนิบัติของคนอื่น.
5. พระเจ้าทรงกำลังฟื้นฟูสิ่งที่ยากที่สุดในวันนี้ ซึ่งก็คือการทำให้ อฟ.4:11–16 สำเร็จเป็นจริง; การงานที่สุดยอดของพระเจ้าคือการฟื้นฟูพยานของพระกาย.
6. เราต้องมองเห็นว่าพระกายสามารถถูกทำลายได้เพราะเหตุ “การแสวงหาฝ่ายวิญญาณ” ในทางที่ผิด (ดูคำพยานของพี่น้องลีเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ใน The History and Revelation of the Lord’s Recovery, vol.2, pp. 346–354):
(1) ในศตวรรษที่ 20 เพน ลูอิส (Penn-Lewis) กับ ที. ออสติน สปาร์ค (T. Austin–Sparks) คือผู้ที่มีการบรรลุถึงฝ่ายวิญญาณที่สูงส่ง พวกเขาได้เริ่มทำงานด้วยกัน แต่พวกเขาก็แตกแยกกันและไม่สามารถอยู่ฝ่ายวิญญาณด้วยกันได้; กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า การเป็นบุคคล “ฝ่ายวิญญาณ” นั้นอาจลงเอยด้วยการแตกแยก.
(2) เพน ลูอิส รู้จักประสบการณ์ทางทัศนะภายในต่อการตายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วน ที. ออสติน สปาร์ค มองเห็นถึงการเป็นขึ้นของพระคริสต์และการเป็นขึ้นของชีวิต; แต่เนื่องจากเขามีความรู้ฝ่ายวิญญาณเป็นของตนเองและรู้สึกว่าความรู้ฝ่ายวิญญาณของตนเองนั้นสูงส่งกว่าความรู้ฝ่ายวิญญาณของเพน ลูอิส เขาจึงจากไปและเริ่มต้นการงานของตนเอง; ระหว่างพวกเขายังมีความรู้สึกของการชิงดีชิงเด่นกันด้วย.
(3) แม้ว่า ที. ออสติน สปาร์ค จะ “อยู่ฝ่ายวิญญาณ” แต่เขาก็มีความเข้าใจที่ตื้นเขินในเรื่องของคริสตจักร; เนื่องจากเขาไม่มีความเข้าใจที่เพียงพอต่อคริสตจักร (ความเป็นหนึ่งของคริสตจักรและฐานของคริสตจักร) ในช่วงเวลาที่เขามาเยี่ยนเยียนไต้หวันครั้งที่สองและถือเป็นครั้งสุดท้ายนั้น เขาก็ได้แสดงมุมมองที่เห็นต่างออกมา และความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้ก็มากกว่าสิ่งที่เราได้รับความช่วยเหลือจากเขาถึงสิบเท่า กระทั่งห้าสิบเท่าด้วยซ้ำไป.
(4) ก่อนหน้านั้น เรามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและอยู่ในความกลมเกลียว แต่คนเหล่านั้นที่กล่าวว่าเขาได้รับ “การช่วยเหลือ” จากพี่น้องออสติน สปาร์ค ก็ได้กลายมาเป็นปัจจัยที่ก่อการแตกแยก.
(5) แน่นอนว่าเราต้องการผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง คือผู้ที่ได้รับอำนาจครอบครอง, อำนาจปกครอง, การกำกับ, การเคลื่อนไหว, การปกครอง, การควบคุม, และการนำพาโดยวิญญาณที่ผสมกลมกลืนของเรา; ผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริงซึ่งดำเนินชีวิตตามวิญญาณนั้นจะไม่เพียงกระทำทุกสิ่งและพูดทุกสิ่งในวิญญาณของเขา แต่ยังกระทำทุกสิ่งและพูดทุกสิ่งในพระกาย, โดยพระกาย, และเพื่อพระกายด้วย; ถ้าเราอยู่ฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง เราก็จะเพียรพยายามที่จะ “รักษาความเป็นหนึ่งแห่งพระวิญญาณนั้นด้วยเครื่องผูกพันแห่งสันติสุข” — อฟ.4:3; 1กธ.2:14–15; 3:1, 3.
II. ความชอบพระทัยอันดีงามของพระเจ้า, พระทัยปรารถนาของพระเจ้าคือสิ่งที่ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย:
1. พระเจ้าทรงพอพระทัยการเนรมิตสร้างแผ่นดินโลก; อาณาจักรของพระองค์จะตั้งอยู่บนแผ่นดินโลก — โยบ 38:4, 7; มธ.6:10; วว.5:10; 11:15; 21:1; ซคย.12:1.
2. พระเจ้าทรงพอพระทัยการเนรมิตสร้างมนุษย์; เพราะเมื่อพระเจ้าเนรมิตสร้างแต่ละสิ่ง พระองค์ตรัสว่า “ดี” (ยนซ.1:4, 10, 12, 21, 25) แต่สำหรับการเนรมิตสร้างมนุษย์ พระองค์ตรัสว่า “ดีนัก” เพราะมนุษย์มีพระฉายาของพระเจ้า และได้รับมอบอำนาจครอบครองของพระเจ้าเพื่อสง่าราศีของพระเจ้าและอาณาจักรของพระเจ้า (ข้อ 26, 31; ยซย.43:7; มธ.6:10, 13ข).
3. พระเจ้าทรงพอพระทัยการกลายเป็นเนื้อหนัง (ลก.2:9–14); พระเยซูทรงเป็นที่ปรึกษาองค์อัศจรรย์, พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์, พระบิดาองค์นิรันดร์, และองค์สันติราชเพื่อมาเป็นผู้ปกครองที่มีเพียงหนึ่งเดียว และการปกครองของพระเจ้าตรีเอกภาพก็อยู่บนบ่าของพระองค์ (ยซย.9:6–7); พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยของเราและอิมมานูเอลของเรา ทรงเป็นมนุษย์พระเจ้าที่ได้เข้าสนิท, ผสมกลมกลืน, และผสมรวมกันกับมนุษย์ (มธ.1:21, 23; ยฮ.14:9–11, 16–20).
4. พระเจ้าทรงพอพระทัยการรับบัพติศมาของพระคริสต์; ในขณะที่พระองค์ทรงรับบัพติศมาเพื่อเริ่มการปฏิบัติของพระองค์อย่างเปิดเผยนั้น “สวรรค์ทั้งหลายก็เปิดต่อพระองค์...ดูเถิด มีพระสุรเสียงตรัสจากสวรรค์ทั้งหลายว่า ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”; ถ้าพูดในด้านจุดยืนของมนุษย์โดยทั่วไป องค์พระเยซูเจ้าทรงรับบัพติศมาเพื่อสนองความชอบธรรมทั้งสิ้นและยอมวางพระองค์เองไว้ในการตายและการเป็นขึ้น เพื่อพระองค์จะดำเนินชีวิตและทำการปฏิบัติอยู่ในการเป็นขึ้น — มธ.3:13–17.
5. พระเจ้าทรงพอพระทัยพระคริสต์ผู้เป็นขึ้นและได้รับสง่าราศี; เมื่อพระคริสต์ทรงเปลี่ยนรูปลักษณะ ซึ่งเป็นเงาล่วงหน้าของการเป็นขึ้นของพระองค์นั้น “ดูเถิด มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก. จงฟังท่านเถิด!” (17:5); พระเจ้าทรงพอพระทัยในการเป็นขึ้นและการได้รับสง่าราศีของพระบุตรของพระองค์ (ลก.24:26).
6. พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อบุตรพเนจรกลับไปหาพระองค์; คำอุปมาเรื่องบุตรพเนจรในลูกาบทที่ 15 อาจเรียกได้ว่าเป็นคำอุปมาของบิดาผู้มีความสุข; หลังจากที่บิดา “วิ่ง” ไปหาบุตรที่กลับมานั้น (ข้อ 20) เขาก็บอกคนรับใช้ให้นำลูกโคอ้วนพีไปฆ่า และกล่าวว่า “เราจะได้กินดื่มและยินดีด้วยกัน” (ข้อ 23); ในที่นี้เราจะเห็นถึงความยินดีของพระเจ้า.
7. พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อพระบุตรของพระองค์ถูกเปิดเผยในเรา — “พระเจ้า...ทรงพอพระทัยที่จะเปิดเผยพระบุตรของพระองค์ในข้าพเจ้า” (ฆต.1:15–16) — และเมื่อเราได้ถูกนำเข้าสู่ฐานะแห่งบุตรอย่างครบบริบูรณ์ (4:4–6; อฟ.1:4–5); เรื่องนี้ได้ทำให้ความชอบพระทัยอันดีงามของพระเจ้าสำเร็จเป็นจริง คือการได้มาซึ่งบุตรมากมายเพื่อการสำแดงแห่งกลุ่มชนของพระองค์; การที่พระบุตรถูกเปิดเผยในเรานั้นได้นำเราเข้าสู่ความหมายของแผ่นดินโลก, มนุษย์, และองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้กลายเป็นเนื้อหนัง, ตรึงตาย, และเป็นขึ้น.
8. พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะดำเนินการอยู่ในเรา “จึงทำให้ท่านตั้งใจและกระทำการเพื่อความชอบพระทัยอันดีงามของพระองค์” (ฟป.2:13); ชีวิตคริสเตียนที่มีการหล่อเลี้ยงจากชีวิตแห่งพระกายนั้น (1:19) เป็นชีวิตที่มีความสุข; ความยินดีทางภายในของเราเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเรากำลังมีชีวิตเป็นอยู่และดำเนินตามความชอบพระทัยอันดีงามของพระเจ้า; เนื่องจากหนังสือฟิลิปปอยที่เปาโลเขียนขึ้นในคุกนั้น (ข้อ 13; 4:22) ได้กล่าวถึงการประสบการณ์และรับสุขพระคริสต์ ซึ่งส่งผลให้เกิดความยินดี ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยความยินดีและความชื่นชมยินดี (1:4, 18, 25; 2:2, 17–18, 28–29; 3:1; 4:1, 4).
9. พระเจ้าทรงพอพระทัยที่ได้จะมาซึ่งมนุษย์แห่งพระเจ้า (บพส.90, หัวข้อ; พบญ.33:1; อษร.3:2) ผู้ดำเนินชีวิตพระเจ้าและดำเนินชีวิตออกซึ่งพระเจ้า เพื่อจะได้รับพระเจ้าโดยการเป็นหนึ่งกับพระเจ้า (2ตธ.3:16–17; 1ตธ.6:11–12; ฟป.3:8, 14); พระเยซูชาวนาซาเร็ธทรงเป็นแบบอย่างที่มาตรฐานของมนุษย์แห่งพระเจ้าผู้ดำเนินชีวิตออกซึ่งพระเจ้า (ยฮ.6:57; 5:19, 30; 10:30); องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่าพระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์เองหรือแสวงหาสง่าราศีของพระองค์เอง (5:19, 30; 6:38; 7:18); เมื่อเรายึดพระคริสต์เป็นการดำเนินชีวิตแห่งการตรึงตายของเรา เพื่อพระองค์จะได้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ในฐานะชีวิตแห่งการเป็นขึ้นแล้ว เราก็จะได้ประสบการณ์พระองค์เป็นฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้นที่อาศัยอยู่ภายในและทำให้เรามีความสามารถที่จะปฏิเสธความตั้งใจของเราและสง่าราศีของเรา (ฟป.3:10; 2กธ.4:5–7; รม.14:7–9).
10. พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อเรากินพระคริสต์เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณของเรา เพื่อจะมีชีวิตเป็นอยู่เพราะพระองค์ (ยฮ.6:57); การกินพระคริสต์คือการกินพระคำของพระองค์โดยการฝึกฝนวิญญาณของเรามาอ่านอธิษฐานและคิดรำพึงพระคำของพระองค์ เพื่อพระคำของพระองค์จะกลายเป็นความชื่นบานและความยินดีแห่งใจของเรา (ยรม.15:16; บพส.119:15–16; ยฮซ.1:8–9); การมีชีวิตเป็นอยู่เพราะพระคริสต์หมายความว่าองค์ประกอบที่ขับเคลื่อนอย่างมีพลังของพระคริสต์ได้กลายเป็นปัจจัยแห่งการหล่อเลี้ยงให้เรามาดำเนินชีวิตพระคริสต์.
11. พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อเราได้รับการเพิ่มกำลังเข้าสู่มนุษย์ภายในของเราทุกๆ วัน เพื่อพระคริสต์จะได้ประทับครองเรือนอยู่ในใจของเราโดยความเชื่อ; มนุษย์ภายในของเราคือวิญญาณที่บังเกิดใหม่ของเรา ซึ่งมีชีวิตของพระเจ้าเป็นชีวิต (อฟ.3:16–17; ยฮ.3:6ข; รม.8:10).
12. พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อเราคงอยู่ในวิญญาณของเราและใส่ใจวิญญาณของเรา (ข้อ 6ข); เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงอาศัยอยู่ในเรา” (ยฮ.15:4) คำว่า “เรา” ที่อัศจรรย์นี้อยู่ในวิญญาณของเรา และเมื่อเราอยู่ในพระองค์โดยการอยู่ในวิญญาณของเรา เจ้าผู้ครองโลกนี้ก็ไม่มีฐานะ, โอกาส, ความหวัง, และความเป็นไปได้ใดๆ อยู่ในตัวของเราเลย (14:30; เทียบ 12:31–32).
13. พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อเราปรนนิบัติพระองค์ในฐานะทาสโดยการดำเนินชีวิตอยู่ในความเที่ยงแท้แห่งอาณาจักรของพระเจ้าในวิถีของความชอบธรรม, สันติสุข, และความยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์; นี่คือการทำให้พระเจ้าพอพระทัยและได้รับการรับรองจากมนุษย์ อีกทั้งรักษาความเป็นหนึ่งของคริสตจักรไว้เพื่อการดำเนินชีวิตแห่งพระกายในภาคปฏิบัติที่เป็นจริง — รม.14:17–18.
14. พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อเรานมัสการพระองค์ในวิญญาณ; แผนการบริหารที่
นิรันดร์ของพระเจ้านั้นมีจุดศูนย์รวมอยู่ที่วิญญาณที่ผสมกลมกลืนของเรา และถูกกระทำให้สำเร็จลุล่วงโดยวิญญาณที่ผสมกลมกลืนของเรา ซึ่งก็คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่ได้ผสมกลมกลืนกับวิญญาณมนุษย์ของเราจนกลายเป็นวิญญาณเดียว — ยฮ.4:23–24; รม.8:16; 1กธ.6:17; รม.1:9.
15. พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อเราเป็นหนึ่งกับพระองค์ในการปฏิบัติของพระองค์ เพื่อทำให้แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระองค์สำเร็จลุล่วง; ในการปฏิบัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า สิ่งเดียวที่เราคำนึงถึงคือการแจกจ่ายอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าตรีเอกภาพที่ได้แปรสภาพเป็นรูปธรรมอยู่ในพระคริสต์และแปรสภาพเป็นจริงเป็นพระวิญญาณนั้นเข้าสู่ภายในผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร — อฟ.1:9–11; 3:2, 9–10; 2กธ.3:3, 6; 1ปต.4:10.
16. เราต้องเป็นผู้ที่พระเจ้ามีความชอบพระทัยอันดีงามในเรา, ร่วมกับเรา, และผ่านเรา; เราต้อง “มีความมุ่งมั่นตั้งใจว่า...เราก็จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์” (2กธ.5:9) โดยการเป็นหนึ่งกับพระคริสต์ในฐานะผู้ที่สละพระองค์เองบนกางเขนเพื่อก่อกำเนิดเหล้าองุ่นใหม่มาทำให้พระเจ้าและมนุษย์ชื่นใจ (วนฉ.9:12–13; มธ.9:17).
17. พระเจ้าจะทรงพอพระทัยการได้รับสง่าราศีของเรา — “ความทุกข์ลำบากในปัจจุบันนี้ ไม่คู่ควรที่จะมาเปรียบกับสง่าราศีซึ่งจะปรากฏแก่เราในอนาคต. ด้วยสรรพสิ่งที่ถูกเนรมิตสร้างนั้นกำลังจดจ่อคอยท่า เฝ้าหวังให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ. ด้วยมีความหวังใจว่าสรรพสิ่งที่ถูกเนรมิตสร้างนั้นจะได้รับการปลดปล่อยพ้นจากการเป็นทาสของความเสื่อมเสีย และได้รับอิสรภาพของสง่าราศีแห่งบุตรน้อยของพระเจ้า. ด้วยเรารู้อยู่ว่าสรรพสิ่งที่ถูกเนรมิตสร้างนั้นกำลังร่วมกันคร่ำครวญและร่วมทนทุกข์แห่งการให้กำเนิดมาจนถึงทุกวันนี้. และมิใช่เท่านั้น แม้แต่เราทั้งหลายเองผู้มีพระวิญญาณนั้นเป็นผลสุกงอมรุ่นแรก ภายในเราเองก็ยังคร่ำครวญ เฝ้าจดจ่อคอยท่าฐานะแห่งบุตร คือให้ร่างกายของเราได้รับการไถ่” — รม.8:18–19, 21–23; เทียบ อฟ.1:4–5.