Overwatch

จุดเริ่มต้นแล้วการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ...

ถ้าใครที่เป็นแฟนเกมในเครือ Blizzard Entertainment จะทราบกันดีว่าเกมแต่ละตัวที่พัฒนาขึ้นจะมีแนวทางการเล่นที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น World of Warcraft เป็นเกมแนว MMORPG แฟนตาซีที่รวบรวมเนื้อราวทั้งหมดของโลก Warcraft เอาไว้ ( ยิ่งตอนนี้ภาพยนตร์เรื่อง Warcraft: The Beginning กำลังเข้าฉายด้วย ใครที่เล่นเกมนี้ต่างก็ไปดูเรื่องนี้กันเพียบ ), Diablo เป็นเกมแนว Hack And Slash สุดมันส์ที่ตอนนี้ดำเนินเนื้อเรื่องมาถึงภาค 3 กันแล้ว แถมดูท่าจะมีเนื้อเรื่องเสริมเข้ามาในอีกอนาคต, Hearthstone: Heroes of Warcraft เป็นเกมการ์ดที่ใช้ตัวละครหลักของเกม Warcraft มาจัดให้เป็นชุดการ์ดที่มีแนวทางการเล่นแตกต่างกันออกไป เป็นอีกหนึ่งเกมที่บ้านเราได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในบ้านเรา หรือ Heroes of the Storm เกมแนว Multiplayer Online Battle Arena [MOBA] ที่ได้รวบรวมตัวละครต่างๆจากซีรี่ย์ในเครือ Blizzard Entertainment มายำรวมกันกลายเป็นฮีโร่ที่จะบุกไปโจมตีฝั่งตรงข้าม แถมเกมนี้แตกต่างจากเกมอื่นๆตรงที่มีโหมดการเล่นที่หลากหลาย เป็นต้น

รูปแบบเกมเพลย์มันแตกต่างจากเกมอื่นยังไง!?

มาถึงระบบเกมเพลย์กันบ้าง ด้วยความที่เป็นเกมแนว FPS ย้ำอีกทีว่ามันคือ “FPS” เกมเมอร์บางคนอาจจะไม่ถนัดมุมมองการเล่นแบบนี้สักเท่าไหร่ บางคนเล่นนิดๆหน่อยก็มีอาการเวียนหัวหรือคลื่นไส้กันแล้ว ( ไม่แปลกค่ะ บางคนเล่นเกมนี้ไม่ได้เลยจริงๆ ) ดังนั้นต้องบอกไว้ก่อนว่ามันไม่สามารถปรับมุมมองเป็น TPS ได้เหมือนเกมอื่นๆ ภายในเกมมีตัวละครให้เลือกเล่น โดยจะแบ่งเป็น 4 สายอย่างชัดเจนคือ Offense [สายโจมตี], Defense [สายป้องกัน], Tank [สายสนับสนุนแนวหน้า] และ Support [สายสนับสนุน] ผู้เล่นแต่ละทีมสามารถเลือกตัวละครซ้ำกันได้ แต่การทำแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป เพราะอย่างน้อยก็ต้องมีตัวที่คอยสนับสนุนเพื่อนๆในทีมด้วยเช่นกัน ตัวเกมไม่ได้เป็นแบบ FPS ปกติที่ฆ่าเพื่อนับจำนวนครั้งที่ฆ่าฝ่ายตรงข้าม แต่เราจะชนะได้ต่อเมื่อทำภารกิจนั้นๆสำเร็จ ตรงนี้ผู้เล่นทุกคนภายในทีมต้องช่วยเหลือกันเพื่อให้ภารกิจของทีมสำเร็จ

ภารกิจของเกมนี้มีการแบ่งออกไปทั้งหมด 4 โหมดหลักๆผ่านฉากแผนที่ 12 ฉากด้วยกันได้แก่

Assault Mode - ภารกิจนี้ผู้เล่นแต่ละทีมจะมีหน้าที่ของตัวเองคือฝ่ายโจมตีจะบุกไปยังพื้นที่ที่กำหนด ส่วนอีกฝ่ายจะต้องป้องกันจุดที่มั่นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายบุกเข้ามายึดได้

Control Mode - โหมดนี้จะคล้ายคลึงกับ Assault Mode เพียงแต่รูปแบบการเล่นจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ผู้เล่นทั้งสองทีมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายโจมตีหรือป้องกันจะต้องบุกไปยึดพื้นที่ที่กำหนดเอาไว้ให้ เพียงแต่การพื้นที่จะมีเพียงแค่จุดเดียวเท่านั้น

Escort Mode - ภารกิจนี้ผู้เล่นแต่ละทีมจะมีหน้าที่ของตัวเองคือฝ่ายโจมตีจะต้องพยายามเข็นรถไปถึงจุดเป้าหมายตามที่กำหนด โดยจะมีจุดพักเพื่อเพิ่มระยะเวลาของการเล่นให้มากขึ้น แต่ถ้าคุณไม่สามารถเข็นรถไปถึงเป้าหมายได้ก็จะเป็นฝ่ายแพ้ในเกมนี้ไป

Hybrid Mode - เป็นโหมดที่ผสมผสานลูกเล่นระหว่าง Assault Mode และ Escort Mode เอาไว้ด้วยกัน โดยผู้เล่นแต่ละทีมจะมีหน้าที่ของตัวเอง ฝ่ายโจมตีจะต้องบุกไปยึดจุดที่มั่นให้สำเร็จหลังจากนั้นให้เข็นรถไปถึงเป้าหมายตามที่กำหนด ซึ่งจะมีจุดพักเพื่อเพิ่มระยะเวลาจนกว่าภารกิจจะสำเร็จ ถ้าเวลาหมดก่อนที่จะไปถึงเป้าหมายก็ทีมคุณจะเป็นฝ่ายแพ้ทันที

สุดท้ายแล้วมันคุ้มค่าที่จะซื้อมาเล่นหรือเปล่า!?

มาถึงช่วงสุดท้ายของบทความรีวิวนี้แล้วค่ะ หลายคนคงจะทราบกันแล้วว่าตัวเกมไม่ได้เปิดให้บริการในรูปแบบ Free-to-Play ผู้เล่นที่ต้องการจะเล่นจำเป็นต้องซื้อตัวเกมกันก่อน สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ราวๆ $39.99 [เงินไทยก็ประมาณ 1,450 บาท] ซึ่งราคาอาจจะสูงสักหน่อยแถมตัวเกมก็เป็นเกมออนไลน์ที่เวลานี้ยังไม่มีโหมด Single-Player หรือ โหมดเนื้อเรื่องแต่อย่างใด ที่สำคัญฉากและโหมดเกมเพลย์ในเวลานี้ยังมีน้อยนิดมากจริงๆ ผู้เล่นอาจจะเบื่อก็ได้ ทั้งนี้ก็มีข้อมูลหลุดออกมาว่าทาง Blizzard Entertainment กำลังเตรียมอัพเดทตัวละครใหม่ในเร็วๆนี้ แถมจะอัพเดทสัปดาห์ละ 1 ตัวอีกด้วย แต่ทั้งนี้ข้อมูลนี้ยังเป็นเพียงแค่ข่าวลือนะคะ ที่สำคัญเลยเกมนี้จะเล่นสนุกก็ต่อเมื่อคุณมีเพื่อนเล่นด้วย หรือ มีหาทีมที่เล่นกันบ่อยๆก็ได้เหมือนกัน เพราะถ้าคุณเล่นคนเดียวบอกเลยว่ามันไม่สนุกเอาเสียเลย เพราะหลายๆครั้งคุณอาจจะเจอทีมที่เขาเล่นไม่เข้าขาหรือเหมาะกับคุณก็เป็นได้ แล้วก็จะจบลงด้วยหัวร้อนเปล่าๆ ใครที่สนใจสามารถสั่งซื้อตัวเกมผ่านเว็บไซค์ Playpoint ได้ มีให้เลือกเล่นทั้งเวอร์ชั่น PC, PlayStation 4 และ Xbox One ( เซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวแยกกัน )