พระบรมฉายาลักษณ์
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๖๙ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระองค์ที่ ๗ ในสมเด็จพระศรีสวรินทรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ประสูติเมื่อวันศุกร์ เดือนยี่ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีเถาะ ตรงกับวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๔ ในพระบรมมหาราชวัง
เมื่อทรงพระเยาว์ประทับอยู่กับสมเด็จพระราชชนนี ในพระบรมมหาราชวัง มีกรมหลวงสมรรัตน์ศิริเชษฐ์ เป็นผู้ถวายดูแลอย่างใกล้ชิด
ทรงเริ่มต้นการศึกษาที่โรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง พร้อมๆกับพระเชษฐาและพระอนุชา คือสมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก และสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ พระอาจารย์ผู้ถวายการสอนภาษาไทยคนแรกคือ พระยาอิศรพันธุ์โสภณ (ม.ร.ว. หนู อิศรางกูร)
ต่อมาทรงย้ายไปประทับที่พระราชวังดุสิตกับสมเด็จพระบรมชนกนาถ ในช่วงนี้มีความสนพระทัยวิชาภาษาอังกฤษมากขึ้น และในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ทรงเป็นนักเรียนพิเศษ โรงเรียนนายร้อยทหารบก
พ.ศ. ๒๔๔๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบ พระราชพิธีโสกันต์ และพระราชทานพระสุพรรณบัฏ เฉลิมพระนามเป็น “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช นเรศวรมหาราชาธิบดินทร์ จุฬาลงกรณ์นรินทรวรางกูร สมบูรณเบญจพรศิริสวัสดิ์ ขัติยวโรภโตสุชาติ คุณสังกาศเกียรติประกฤษฐ์ ลักษณวิจิตรพิสิษฐ์บุรุษย์ ชนุตมรัตนพัฒนศักดิ์ อรรควรราชกุมาร กรมขุนสงขลานครินทร์
พ.ศ. ๒๔๔๗ ผนวชเป็นสามเณรที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พ.ศ. ๒๔๔๘ ได้ทรงเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบกในประเทศไทย และในปีเดียวกันได้เสด็จไปทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนแฮร์โรว์ ประเทศอังกฤษ พ.ศ. ๒๔๕๐ - ๒๔๕๕ เสด็จไปทรงศึกษาวิชาการทหารบก ที่ประเทศเยอรมัน ทรงสำเร็จการศึกษาระดับ Fehnrich (หมายถึงนักเรียนทำการ คือ ผู้ที่จบโรงเรียนนายร้อย)จากโรงเรียนนายร้อยชั้นสูง ตำบล Gross Lichterfelde กรุงเบอร์ลิน
พ.ศ. ๒๔๕๕ - ๒๔๕๗ ทรงเปลี่ยนไปศึกษาวิชาทหารเรือที่โรงเรียนนายเรือของราชนาวีเยอรมัน ณ เมือง Fahnrich – Murwick ทรงศึกษา ฝึกหัด และสอบได้ เป็น “เฟนริชทหารเรือ” ตลอดจนทรงสอบไล่ผ่านหลักสูตรนายเรือตรี ก่อนหน้านี้ทรงได้รับพระราชทานยศจากพระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์มที่ ๒ เป็นนายเรือตรีพิเศษแห่งราชนาวีเยอรมัน
พ.ศ. ๒๔๕๗ เสด็จกลับเมืองไทย และได้รับพระราชทานยศเป็นนายเรือโท พ.ศ. ๒๔๕๘ ทรงเข้ารับราชการในตำแหน่งสำรองราชการ กรมเสนาธิการทหารเรือ ต่อมาทรงย้ายไปประจำกองอาจารย์นายเรือ แผนกแต่งตำรา กรมยุทธศึกษาวิชาสาธารณสุข
พ.ศ. ๒๔๕๙ ทรงลาออกจากราชการทหารเรือ เสด็จไปทรงศึกษาวิชาสาธารณสุขที่ School for Health Officer มหาวิทยาลัย Harvard สหรัฐอเมริกา
พ.ศ. ๒๔๖๓ เสด็จนิวัติพระนคร เพื่อทรงร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ ๑๐ กันยายน ๒๔๖๓ ทรงอภิเษกสมรสกับนางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏ ณ วังสระปทุม และเสด็จกลับสหรัฐอเมริกา เพื่อทรงศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
พ.ศ. ๒๔๖๔ ทรงสำเร็จการศึกษาและได้รับประกาศนียบัตรการสาธารณสุข Certificate of Public Health (C.P.H.) เสด็จไปประทับในยุโรป ทอดพระเนตรงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข
พ.ศ. ๒๔๖๕ ทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย เจรจากับมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ เพื่อปรับปรุงกิจการของโรงเรียนแพทย์ไทยตามความประสงค์ของรัฐบาล
๖ พฤษภาคม ๒๔๖๖ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงมีพระประสูติกาล สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระราชธิดาพระองค์แรก ในกรุงลอนดอน
พ.ศ. ๒๔๖๖ เสด็จกลับประเทศไทยตามพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวและทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย กระทรวงธรรมการ
๒๐ กันยายน ๒๔๖๘ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงมีพระประสูติกาล พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ ๘) พระราชโอรสพระองค์แรก จากนั้นทั้งสองพระองค์พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา ได้เสด็จไปประทับที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
พ.ศ. ๒๔๖๙ สมเด็จพระบรมราชชนก เสด็จกลับประเทศไทยพระองค์เดียว เพื่อทรงร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงมีพระประสูติกาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) ณ โรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ รัฐแมสซาชูเสตส์
พ.ศ. ๒๔๗๑ทรงได้รับปริญญาแพทยศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต เกียรตินิยม (M.D. Cum Laude) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard)
จากนั้นเสด็จกลับถึงประเทศไทยในเดือน ธันวาคมปีเดียวกัน พร้อมด้วยพระราชธิดาและพระราชโอรส ในวันนั้นประชาชนไปคอยรับเสด็จที่ท่าเรือวัดพระยาไกรอย่างเนืองแน่น
พ.ศ. ๒๔๗๒ เสด็จฯไปปฏิบัติหน้าที่แพทย์ประจำบ้าน ณ โรงพยาบาลแมคคอร์มิก จังหวัดเชียงใหม่ ทรงเข้าเป็นสมาชิกของแพทยสมาคม ทำการตรวจรักษาคนไข้ทั่วไป
ทรงปฏิบัติหน้าที่แพทย์ประจำบ้านได้เพียง ๓ สัปดาห์ก็ต้องเสด็จกลับกรุงเทพฯ เพื่อทรงร่วมในงานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
หลังจากนั้นเริ่มประชวร พระอาการประชวรหนักขึ้นจนสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ รวมพระชนมายุ ได้ ๓๗ ปี ๘ เดือน ๒๓ วัน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์
พ.ศ. ๒๔๗๗ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น “สมเด็จพระราชบิดา” และเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓ ทรงได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี
มีพระราชโอรส และพระราชธิดารวม ๗ พระองค์
องค์ที่ ๑ สมเด็จพระบรมโอราสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร
องค์ที่ ๒ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอิสริยาลงกรณ์
องค์ที่ ๓ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงวิจิตรจิรประภา
องค์ที่ ๔ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสมมุติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์
องค์ที่ ๕ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร
องค์ที่ ๖ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงศิราภรณ์โสภณ
องค์ที่ ๗ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม ๓ พระองค์
องค์ที่ ๑ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
องค์ที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
องค์ที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันที่ ๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๔ ได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช
วันที่ ๒๘ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ ทรงกรมเป็น กรมขุนสงขลานครินทร์
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันที่ ๒๓ เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๓ เฉลิมพระนามเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันที่ ๙ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เฉลิมพระนามเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์
วันที่ ๒๖ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ จนกระทั่งวันสิ้นพระชนม์ ทรงดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาท แห่งราชบัลลังก์
วันที่ ๕ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ได้รับพระราชทานนามราชสกุล มหิดล ณ อยุธยา
วันที่ ๑๓ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ทรงกรมเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วเป็น กรมหลวงสงขลานครินทร์
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
วันที่ ๒๕ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ เฉลิมพระนามเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วเป็น สมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
วันที่ ๙ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๓ เฉลิมพระนามเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
(ทรงรับพระราชทานเครื่องประกอบพระอิสริยยศ พร้อมสัปตปฎลเศวตฉัตร) เนื่องในงานพระราชพิธีสมโภชการเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติครบ ๒๔ พรรษา สองรอบนักษัตร
วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕
องค์การยูเนสโก (UNESCO) แห่งสหประชาชาติได้ประกาศเกียรติคุณ ทรงมีผลงานดีเด่น ทางการศึกษา วิทยาศาสตร์ และมนุษยธรรม ระดับโลก ณ วโรกาศ “๑๐๐ ปี สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก”
ทรงได้รับการขานพระนามเป็น “พระราชบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย”
"รู้สึกสลดใจว่าตั้งแต่หม่อมฉันเกิดมาเห็นแต่เสด็จแม่
ทรงเปนทุกข์โศก ไม่มีอะไรที่จะทำให้ชื่นพระหฤทัยเสียเลย
สงสารเสด็จแม่จึงคิดว่าลูกผู้ชายของท่านก็เหลืออยู่แต่หม่อมฉัน
คนเดียว ควรจะสนองพระคุณด้วยทำการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง
ให้เสด็จแม่ทรงยินดีด้วยเห็นลูกสามารถทำความดีให้เปนคุณ
ประโยชน์แก่บ้านเมืองได้ ไม่เลี้ยงมาเสียเปล่า เมื่อคิดต่อไปว่า
จะทำการอย่างไรดี หม่อมฉันคิดเห็นว่าในทางราชการนั้นก็มี
ทูลกระหม่อมพระราชโอรสในสมเด็จพระศรีพัชรินทรอยู่หลาย
พระองค์แล้ว ตัวหม่อมฉันจะทำราชการหรือไม่ทำก็ไม่ผิดกัน
เท่าใดนัก จึงคิดว่าการช่วยชีวิตผู้คนพลเมืองเปนการสำคัญอย่าง
หนึ่งซึ่งหม่อมฉันอาจจะทำได้โดยลำพังตัว เพราะทรัพย์สิน
ส่วนตัวก็มีพอจะเลี้ยงชีวิตแล้ว จะสละเงินที่ได้รับพระราชทาน
ในส่วนที่เปนเจ้าฟ้าเอามาใช้เปนทุนทำการตามความคิดให้เปน
ประโยชน์แก่บ้านเมือง ด้วยเหตุดังทูลมานี้หม่อมฉันจึงไม่ทำราชการ"
พระราชดำรินี้เกิดขึ้นเนื่องมาจากพระประสงค์ที่จะสนองพระคุณสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
๑. ทรงรับเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ติดต่อเจรจากับมูลนิธิรอกกี้เฟลเลอร์ เพื่อขอความช่วยเหลือในการปรับปรุงกิจการโรงเรียนแพทย์ที่กรุงลอนดอน
๑.๑ ได้ตกลงเรื่องการปรับปรุงกิจการโรงเรียนแพทย์ โดยมีการจัดวางระเบียบวิธีการที่จะประสานงานกับโรงเรียนแพทย์ มีการตกลงวางโครงการก่อสร้างตึกเรียน การเลือกสรรแต่งตั้งอาจารย์ผู้สอน
๑.๒ ได้ตกลงปรับการศึกษาขั้นพื้นฐานของวิชาแพทย์ คือ การศึกษาวิชาเบื้องต้น (พื้นฐาน) ของคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
๑.๓ ได้ตกลงร่วมมือปรับปรุงโรงเรียนผดุงครรภ์และพยาบาล ด้วยการจัดหา และจัดสร้างที่อยู่สำหรับนางพยาบาล
๒. พระองค์ได้ประทานพระราชทรัพย์ในการปรับปรุงกิจการโรงเรียนแพทย์มากมาย ทั้งในการพัฒนาบุคลากร และด้านอาคารสถานที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก
๒.๑ ทรงส่งบุคคลไปศึกษาวิชาแพทย์ในต่างประเทศด้วยทุนของพระองค์เอง
๒.๒ ประทานแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เก็บดอกผล ส่งคนไปศึกษาเพิ่มเติมในต่างประเทศเรียกว่า "ทุนวิทยาศาสตร์แห่งแพทย์" ปัจจุบันเป็นทุนคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
๒.๓ ประทานเงินจำนวน ๓,๘๔๐ บาท ไว้เป็นทุนการสอนและการค้นคว้าในโรงพยาบาลศิริราชสำหรับแพทย์ที่เพิ่งจบใหม่ และไม่ได้เป็นแพทย์ประจำบ้าน จำนวน ๒ ทุน
๒.๔ ประทานเงินเดือนสำหรับพยาบาลชาวต่างประเทศ ที่มาช่วยสอนและวางแผนการศึกษาใหม่ในโรงเรียนพยาบาล
๒.๕ ประทานเงินจำนวนหนึ่ง ให้แก่โรงพยาบาลแมคคอมิค เพื่อให้มีแพทย์ชาวต่างประเทศมาช่วย ๑ คน
๒.๖ ทรงซื้อที่ดินและอาคารโรงเรียนวังหลังเดิมให้เป็นโรงเรียนพยาบาลและหอพัก
๒.๗ ประทานเงินสร้างตึกคนไข้ให้โรงพยาบาลหนึ่งหลัง คือ ตึก "มหิดลบำเพ็ญ"
๒.๘ ประทานเงินกึ่งหนึ่งช่วยในการก่อสร้างและตกแต่งตึกอำนวยการของคณะ
๒.๙ ประทานเงินจำนวนหนึ่ง ตั้งเป็นทุนสำหรับเครื่องเอ๊กซเรย์ ให้กับโรงพยาบาลแมคคอมิค
๓. ทรงรับเป็นอาจารย์สอนนักเรียนแพทย์ ทรงจัดเตรียมการสอนอย่างดี ด้วยการเลือกจัดกิจกรรมการสอนแบบต่างๆ ที่จะช่วยให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกเหนือจากการบรรยายในห้องเรียนแล้วยังประกอบไปด้วย
๓.๑ การเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาบรรยาย
๓.๒ การศึกษานอกสถานที่ ทรงนำนักเรียนไปชมสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น พระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งอนันตสมาคม พิพิธภัณฑ์สถาน เป็นต้น
๓.๓ การรายงานและการอภิปราย
ผลจากการที่พระองค์ทรงทุ่มเท ให้กับกิจการโรงเรียนแพทย์นี้ ทำให้กิจการโรงเรียนแพทย์เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว แต่พระวรกายกลับทรุดโทรมลง แต่กระนั้นยังทรงห่วงใยและมีพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาการแพทย์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทรงอยู่ ณ ที่ใด ขณะที่พระองค์ประชวรหนักก่อนสิ้นพระชนม์นั้น ทรงรับสั่งถึงเรื่องการแพทย์เป็นเวลานานๆ รับสั่งถึงการภายหน้า และถึงการที่จะทรงทำเมื่อหายประชวรแล้ว ทรงรับสั่งถึงแต่เรื่องโรงพยาบาล และเรื่องโรงเรียนเหมือนกับเวลาที่ไม่ทรงประชวร
"ความสำเร็จที่แท้ มิใช่อยู่ที่การเรียนรู้ แต่อยู่ที่ความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้นั้นให้เกิดประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ"
๑. ท่านต้องมีความเชื่อในความสามารถของตนเอง คือ มีความมั่นใจ
๒. ท่านต้องมีความไว้ใจระหว่างแพทย์กันเอง คือ ความเป็นปึกแผ่น
๓. ท่านต้องได้ความเชื่อถือจากคนไข้ของท่าน คือ ความไว้วางใจของคณะชน
คุณสมบัติสามประการนี้ เป็นอาวุธเกราะ และเครื่องประดับอันงามของแพทย์
(จากชุมนุมพระนิพนธ์และบทความเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระราชบิดา ของศิริราช ๒๔ กันยายน ๒๕๐๘)