ต้นไม้ในเมืองและการกักเก็บคาร์บอน
โดย อ.พิมพ์ศิริ สุวรรณพัฒน์
โดย อ.พิมพ์ศิริ สุวรรณพัฒน์
การแบ่งกลุ่มพรรณไม้
การกักเก็บก๊าซเรือนกระจกในต้นไม้
การกำหนดรูปแบบการสำรวจต้นไม้
การวัดและเก็บข้อมูลของต้นไม้
การประเมินการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้
การแบ่งกลุ่มพรรณไม้ในเมือง
ไม้ยืนต้นทั่วไป
ปาล์ม
พรรณไม้ป่าชายเลน
ไผ่
เถาวัลย์
พรรณไม้ยืนต้นทั่วไป
เป็นไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่ มีลำต้นหลักตั้งตรงแล้วมีการแตกกิ่งก้านบริเวณยอด มีทรงพุ่มขนาดใหญ่ เมื่อโตเต็มที่มักมีความสูงเกิน 3 เมตร และมีอายุยืนยาวหลายปี เช่น ทองกวาว คูณ ชมพูพันทิพย์ นนทรี อินทนิล สน เต็ง รัง แดง สัก ประดู่ นนทรี จามจุรี มะขาม เป็นต้น
หมายเหตุ
- ต้นยูคาลิปตัสที่ขึ้นแซมในพื้นที่จะไม่ถูกให้การรับรอง
- ต้นไม้ที่วัดและนำมาคำนวณปริมาณการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกโดยใช้ LESS EVALUATION SHEET ต้องมีขนาดเส้นรอบวงที่ระดับอก GBH ไม่น้อยกว่า 15 ซม. และมีความสูงมากกว่า 1.30 เมตรขึ้นไป
ปาล์ม
ปาล์มเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ลำต้นมักมียอดเดียวและไม่แตกกิ่ง ใบขนาดใหญ่ แผ่นใบรูปมือหรือรูปขนนก มีกาบและก้านใบชัดเจน และใบมักออกเป็นกลุ่มใหญ่ที่่ปลายยอด เช่น ปาล์ม มะพร้าว ตาล ลาน เต่าร้าง หมาก อินทผาลัม เป็นต้น
พรรณไม้ป่าชายเลน
เป็นชนิดพันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่บริเณริมชายฝั่งทะเลที่มีกระแสน้ำขึ้น ลง และน้ำมีความเค็มสูง พืชพวกนี้จำเป็นต้องมีการปรับตัวทั้งทางด้านสรีระและโครงสร้าง เช่น การมีรากค้ำจุนจำนวนมากแตกออกบริเวณโคนต้น ทำหน้าที่พยุงลำต้นและยังทำหน้าที่หายใจด้วย พืชยืนต้นที่พบเป็นชนิดเด่นในป่าชายเลน เช่น แสมทะเล ลำพูทะเล โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ ขลู่ พังกาหัวสุมดอกแดง ตะบูน จาก เป็นต้น
ไผ่
ไม้ไผ่เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว วงศ์เดียวกับหญ้า ลำต้นกลมและกลวงตรงกลาง มีข้อปล้องเพื่อเสริมความแข็งของต้น ใบรูปแถบหรือรูปใบหอกแคบ ช่อดอก ออกที่ปลายยอด เมื่อออกดอกแล้วต้นจะตายหรือที่เรียกกันว่า “ไผ่ตายขุย” เมล็ดขนาดเล็กเรียวคล้ายเมล็ดข้าว
เถาวัลย์
คือพืชชนิดหนึ่งอยู่ในกลุ่มพรรณไม้เลื้อย ดำรงชีวิตโดยเปลี่ยนแปลงอวัยวะส่วนหนึ่งไปพันกับหลักหรือต้นไม้อื่น ๆ ต้องการสิ่งยึดเกาะ ไม่สามารถทรงตัวได้โดยลำพัง จึงมักเลื้อยพันต้นไม้ใหญ่หรือสิ่งพยุงเป็นที่ยึดเกาะเพื่อให้ลำต้นเจริญอยู่ได้
เนื้อหานี้ได้อ้างอิงวิธีการตรวจวัดและประเมินการกักเก็บคาร์บอนในต้นไม้ภายใต้ระเบียบและวิธีการขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก., 2567)
ต้นไม้กักเก็บคาร์บอนจากการตรึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง แล้วเก็บไว้ในรูปของมวลชีวภาพเหนือพื้นดินประมาณ 74% และมวลชีวภาพใต้ดิน 26%
การกำหนดขอบเขตพื้นที่โครงการมีความสำคัญต่อการประเมินการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกภาคป่าไม้ ทั้งนี้จะต้องไม่เป็นพื้นที่ที่ขัดต่อกฎหมายและมีการระบุผู้ครอบครอง/ผู้ได้รับการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างชัดเจน
พื้นที่ที่จะทำการประเมินจะต้องไม่นับรวมแหล่งกักเก็บน้ำ อาคาร และถนน โดยมีการประเมิน ดังสมการตัวอย่าง
พื้นที่โครงการ
= พื้นที่ทั้งหมด – สระน้ำ – อาคารและถนน
= 14 ไร่ - 2 ไร่ - 0.5 ไร่
= 11.5 ไร่
กรณีที่ 1: ปลูกเป็นแปลงหรือป่าธรรมชาติ
พื้นที่วางแปลงควรกระจายอย่างเหมาะสม เพื่อให้เป็นตัวแทนของพื้นที่โครงการได้
วางแปลงตัวอย่างไม่น้อยกว่า 1 ไร่ หรือค่าที่ได้จากงานวิจัย (พื้นที่น้อยกว่า 100 ไร่)
วางแปลงตัวอย่างไม่น้อยกว่า 0.5% แต่ไม่น้อยกว่า 1 ไร่ (พื้นที่น้อยกว่า 100 ไร่ แต่ไม่เกิน 1,000 ไร่)
วางแปลงตัวอย่างไม่น้อยกว่า 0.5% แต่ไม่น้อยกว่า 5 ไร่ หรือจำแนกชั้นภูมิตามแนวทาง T-VER (พื้นที่เกิน 1,000 ไร่)
กรณีที่ 2: ปลูกเป็นแถวหรือเป็นแนว
วัดทุกต้น (ต้นไม้น้อยกว่า 300 ต้น)
วัด 300 ต้น และนับจำนวนต้นไม้ทั้งหมดในพื้นที่โครงการ (ต้นไม้มากกว่า 300 ต้น)
กรณีที่ 3: ปลูกไม่เป็นระเบียบ จัดสวนรอบๆ อาคารสถานที่
ต้องวัดต้นไม้ทุกต้นในพื้นที่
การกักเก็บก๊าซเรือนกระจกในต้นไม้ 1 ต้น
การกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ (กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์)
= มวลชีวภาพรวมของต้นไม้ (กก.) x สัดส่วนคาร์บอนในเนื้อไม้ (Carbon Fraction) x สัดส่วนของน้ำหนักโมเลกุลของ CO2 ต่อ C
= มวลชีวภาพรวมของต้นไม้ (กก.) x 0.47 x 44/12
มวลชีวภาพรวมของต้นไม้ (กก.) = มวลชีวภาพเหนือพื้นดิน (กก.) + มวลชีวภาพใต้ดิน (กก.)
ค่าสัดส่วนคาร์บอนในเนื้อไม้ (Carbon Fraction)
ตัวอย่างการคำนวณ
การวัดต้นไม้เพื่อประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอน
ต้นไม้ต้องสูงไม่น้อยกว่า 1.30 เมตร
เส้นรอบวงที่ระดับ 1.30 เมตรต้องไม่น้อยกว่า 15 เซนติเมตร