อำเภอปักธงชัย มีประวัติอันยาวนาน มีความสำคัญตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยปรากฏวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นต่าง ๆ โดยเฉพาะวัฒนธรรมด้านการแต่งกายหรือภูมิปัญญาด้านการทอผ้า ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา โดยสมัยก่อนนั้นอำเภอปักธงชัย (เมืองปัก) เป็นเมืองหน้าด่านของเมืองนครราชสีมา จึงมีการสู้รบและเกิดการอพยพของชาวเมืองปักหรือชาวไทยโคราช และชาวเมืองเวียงจันทน์ เมื่อการสู้รบสิ้นสุดลง ก็ได้ทำการตั้งถิ่นฐานในบริเวณดังกล่าวมาแต่โบราณ มีการทำนา ทำไร่ การปลูกหม่อน ปลูกฝ้าย เลี้ยงไหม ทอผ้าไหม ทอผ้าฝ้าย ด้วยกี่พื้นบ้าน ซึ่งเป็นการทอผ้าไว้ใช้ในครัวเรือนหรือแบ่งปันให้ญาติ พี่น้อง หากมีเหลือก็จะนำไปแลกเปลี่ยนกับพ่อค้าคนกลาง ที่เรียกตัวเองว่า “นายฮ้อย” ซึ่งนายฮ้อยจะนำ ผ้าไหมไปขายยังพื้นที่ต่าง ๆ ต่อมาได้มีการพัฒนาการทอผ้าเพื่อจำหน่าย สรร้างรายได้เสิรมหลังจากฤดูทำนา ทำไร่ และเกิดการรวมกลุ่มผู้ทอผ้าไหมขึ้นจนเป็นอาชีพหลัก สร้างรายได้ให้กับครอบครัวและชุมชนท้องถิ่น
อำเภอปักธงชัย ถือเป็นแหล่งที่มีการผลิตผ้าไหมที่สำคัญที่สุดของจังหวัดนครราชสีมา และมีการผลิตมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย จนมีการเรียกผ้าไหมที่ได้มีการผลิตในพื้นที่อำเภอปักธงชัยว่า “ผ้าไหมปักธงชัย” ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแหล่งผลิตผ้าไหมปักธงชัย เป็นสินค้าหัตถกรรมที่มีเอกลักษณ์และสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดนครราชสีมาเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากคำขวัญของจังหวัดนครราชสีมาที่ว่า “เมืองหญิงกล้า ผ้าไหมดี หมี่โคราช ปราสาทหิน ดินด่านเกวียน” ลักษณะของผ้าไหมปักธงชัยที่ได้ผลิตตามกรรมวิธีและภูมิปัญญาดั้งเดิมที่สืบทอดต่อกันมาคือ ผ้าพื้น ซึ่งทำการทอด้วยกี่พื้นบ้าน ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นกี่กระตุก ผ้าไหมมีลักษณะเป็นผ้าสีพื้น (ผ้าพื้นเรียบ) ทอแบบ 2 ตะกอ ผ้าไหมมีความกว้างไม่ต้อยกว่า 40 นิ้ว เนื้อผ้าแน่น สีคงทน ไม่ตก
เพื่อเป็นการส่งเสริมและสืบทอดวัฒนธรรมการทอผ้าไหมปักธงชัย อำเภอปักธงชัยได้มีการจัด “งานเทศกาลผ้าไหมพื้นปักธงชัยและของดีเมืองโคราช” ในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี โดยจัดงาน ณ ที่ว่าการอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เพื่อประชาสัมพันธ์ผ้าไหมปักธงชัยให้เป็นที่รู้จักและอนุรักษ์วัฒนธรรมหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป ซึ่งผ้าไหมปักธงชัยถือเป็นสินค้าที่แสดงถึงเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่มีมายาวนาน และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของชุมชนและจังหวัดนครราชสีมา
ที่มา กรมทรัพย์สินทางปัญญา