พบมากในบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกและพบได้ประปรายในมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนในเอเชียอาจมีพบบ้างในเขตอบอุ่นทางประเทศอินโดนีเซียและญี่ปุ่น ในประเทศไทยไม่พบการขึ้นมาวางไข่เป็นเวลานานกว่า 20 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ได้พบมีเต่าหัวค้อนติดอวนของชาวประมงในจังหวัดสตูล ได้นำกลับมารักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีและปล่อยกลับลงทะเลในเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2551 ปัจจุบันขึ้นสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
มีลักษณะทางกายภาพทั่วไปคล้ายคลึงกับเต่าหญ้าและเต่าตนุ โดยจะมีเกล็ดบนหัวบริเวณด้านหน้าจะมี 2 คู่ ( เหมือนเต่าหญ้า ) มีเกล็ดบนกระดองหลังบริเวณริมกระดองด้านข้างนับได้ 5 เกล็ด หรือเรียกว่า 5 แผ่น ซึ่งลักษณะของเต่าส่วนนี้จะแตกต่างจากเต่าทะเลชนิดอื่น ๆกระดองมีรูปทรงโค้งมนและจะเรียวแหลมบริเวณส่วนท้ายกระดอง มีสันแเข็งที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน กระดองจะมีน้ำตาลอมแดงหรืออมส้ม มีจุดเด่น คือ มีหัวขนาดใหญ่ ส่วนเท้าจะมีเล็บยาวยื่นออกมาข้างละ 1 เล็บ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีกระดองยาวเฉลี่ยประมาณ 85 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 120 กิโลกรัม
มักจะอาศัยตามชายฝั่งน้ำตื้นที่มีอุณหภูมิมากกว่า 20 องศาเซลเซียส อาหารของเต่าทะเลชนิดนี้จะเป็นจำพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก และสัตว์น้ำขนาดเล็กชนิดอื่น ๆ โดยมันจะใช้จะงอยปากอันแหลมคมและขากรรไกรที่แข็งแรงเป็นเครื่องมือในการล่าเหยื่อและใช้บดเคี้ยวอาหารที่มีเปลือกหรือกระดองแข็ง