ชื่อเรื่อง กลุ่มนาแปลงใหญ่ ตำบลคูขาด
นาแปลงใหญ่ เป็นแนวทางการยกระดับให้เกษตรกรมีการเพิ่มรายได้ให้กับชาวนา มีความมั่นคงในอาชีพและสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยได้ขับเคลื่อนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพผลผลิตข้าวของชาวนา เน้นการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิตและคุณภาพข้าว ซึ่งใช้วิธีการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการผลิต การบริหารจัดการผลิตและการตลาดไปพร้อมๆ กัน รวมถึงสนับสนุนการวางแผนการผลิตและปัจจัยที่จำเป็น ส่งเสริมให้ชุมชนบริหารจัดการตนเอง
นางคำหาญ พิรักษา ประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลคูขาด อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้วางแผนส่งเสริมให้ชาวบ้านประสบผลสำเร็จในการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต และพัฒนาคุณภาพข้าวให้เหมาะสมกับพื้นที่และชุมชน พร้อมกับขยายผลเทคโนโลยีการผลิตข้าวแปลงใหญ่ ภายใต้โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพการผลิตปี 2559 ด้วยการกำหนดเขตพื้นที่เหมาะสมต่อการปลูกข้าวและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการผลิต ส่งเสริมให้ชุมชนมีการบริหารจัดการผลผลิตและการตลาดอย่างมีส่วนร่วม รวมถึงการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุนให้กับชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันด้วย
การดำเนินการพื้นที่ของตำบลคูขาดที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวแหล่งใหญ่ของประเทศ มีจุดเด่นเป็นแหล่งข้าวหอมมะลิที่มีชื่อเสียงและแหล่งข้าวเหนียวคุณภาพดี มีพื้นที่ปลูกครึ่งหนึ่งของพื้นที่ปลูกข้าว แต่ผลผลิตข้าวได้ปริมาณที่ยังน้อยมีสาเหตุมาจากการทำนาของพื้นที่ต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก และอีกประการคือการปลูกข้าวไม่ประณีต ทำนาหว่านรอฝน มีการใช้เมล็ดพันธุ์ในอัตราสูง และขาดการปรับปรุงบำรุงดิน จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกข้าวให้เหมาะสมและใช้วิธีการที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงการลดต้นทุนการผลิต ลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนให้มีความกลมกลืนของพื้นที่
การปลูกข้าวที่ตำบลคูขาดเรามุ่งหวังให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตและรักษาระดับผลผลิตให้มีปริมาณและคุณภาพสมดุลกับความต้องการของตลาด และชาวบ้านสามารถสร้างรายได้จากการผลิตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งวิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนกลุ่มนาแปลงใหญ่ คูขาด ได้มีการส่งเสริมให้สมาชิกกลุ่มผู้ผลิตข้าวนาแปลงใหญ่ ให้มีการบริหารจัดการความรู้ด้านการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตสอดคล้องกับความต้องการของตลาด มีเกษตรกร จำนวน 115 ราย พื้นที่เพาะปลูก จำนวน 1,115 ไร่ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ร่วมกันปลูกข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวไรเบอร์รี่ ข้าวเหนียว กข ให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด โดยกลไกตามโครงการแบบแปลงใหญ่ ลดการใช้สารเคมีและลดต้นทุนการผลิต ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี หรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เช่น ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโต สารควบคุมและกำจัดวัชพืชสารป้องกันกำจัดโรคแมลงและศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิต นอกจากนี้ ยังมีการรวบรวมผลผลิตเพื่อขายในรูปข้าวเปลือกและแปรรูปข้าวขายเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต ผลิตสินค้าตรงตามความต้องการของตลาด ทำให้เกษตรกรในกลุ่มมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีไว้ใช้เองและกระจายในท้องถิ่นสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชน
การดำเนินงานของกลุ่มแปลงใหญ่ผลิตข้าวครบวงจร คือมี โรงสี การแปรรูปข้าว การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว การตรวจสอบคุณภาพข้าว ในพื้นที่ ตำบลคูขาด ซึ่งกลุ่มเกษตรกรดังกล่าว มีการบริหารจัดการกลุ่มอย่างชัดเจน สามารถบริหารจัดการผลผลิต มีการบูรณาการของหน่วยงาน ปัจจุบันมีสมาชิก จำนวน 140 ราย พื้นที่ 1,400 ไร่ โดยจำหน่ายออกนอกกลุ่มร้อยละ 80 และทางกลุ่มรับซื้อและแปรรูปร้อยละ 20 ซึ่งแผนการดำเนินงานในอนาคต จะพัฒนาเกษตรกรให้ผลิตสินค้าในรูปเกษตรอินทรีย์ การสร้างแบนด์สินค้า เพิ่มการแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าว ในตลาดเฉพาะ เช่น ข้าวไรเบอร์รี่ และปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวเพื่อบริโภคเอง เป็นต้น
การส่งเสริมระบบเกษตรแบบแปลงใหญ่ ที่มุ่งปรับเปลี่ยนระบบการส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ขนาดใหญ่ เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรรายย่อย มาสู่การรวมกลุ่มที่สามารถใช้เครื่องมือ เครื่องจักรกลมาช่วยในการผลิต เข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น มีความสามารถในการจัดการการผลิตผลผลิตอย่างมืออาชีพ ทำให้คุณภาพสินค้าได้มาตรฐานเท่าเทียมกัน สามารถเข้าถึงการตลาดและมีอำนาจต่อรองทางการตลาดสูงขึ้น
“ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการผลิตข้าวของชุมชนแบบครบวงจร และการเชื่อมโยงตลาดระหว่างเกษตรกร ผู้ประกอบการ สหกรณ์การเกษตร เพื่อให้ชาวบ้านจำหน่ายข้าวในราคาที่เป็นธรรม” นางคำหาญ กล่าวว่า“ในด้านการลดต้นทุน เน้นให้มีการลดปัจจัยการผลิตและเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตให้เหมาะสม โดยเฉพาะลดการใช้เมล็ดพันธุ์ และการส่งเสริมให้ปรับมาทำนาแบบประณีตมากขึ้น เช่น การใช้เครื่องหยอดข้าวงอก ที่สามารถช่วยลดการใช้เมล็ดพันธุ์จากเดิมใช้อยู่ที่ 25-30 กิโลกรัม ต่อไร่ เหลือเพียง 8-10 กิโลกรัม ต่อไร่ ช่วยลดต้นทุนลงประมาณร้อยละ 30 อีกทั้งยังส่งเสริมให้มีการตั้งกลุ่มผลิตปัจจัยการผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงอย่างเด่นชัด”
อีกสิ่งที่ตามมาคือ ทำให้เกิดการประชุมวางแผนร่วมกันก่อนการผลิตเกิดการเชื่อมโยงตลาด ที่ปัจจุบันได้ดำเนินการในรูปแบบของการบูรณาการภายใต้แนวทางประชารัฐ มีการนำโรงสีข้าว ผู้ประกอบการเข้ามาสู่นาแปลงใหญ่ ทำให้การผลิตได้มีพบปะกันโดยตรง เกิดการวางแผนการผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาด
ประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลคูขาด กล่าวอีกว่า นาแปลงใหญ่มีเงื่อนไขที่สมาชิกต้องยอมรับร่วมกัน เคารพกฎกติกาในการปลูกข้าวแต่ละรูปแบบ ซึ่งข้อดีที่ได้จากการรวมกลุ่มเป็นนาแปลงใหญ่คือ ทำให้ได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น การเรียนรู้ร่วมกัน มีอำนาจต่อรองกับคนซื้อ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนปัจจัยการผลิตต่างๆ โดยเฉพาะเมล็ดพันธุ์ข้าว ซึ่งทางกลุ่มมีความตั้งใจจะพัฒนาแปลงใหญ่ไปสู่คุณภาพจีเอพีและออร์แกนิกต่อไป และจะเปิดรับสมัครสมาชิกที่สนใจเข้ามาร่วมกลุ่มเพิ่มขึ้นด้วย
อีกประมาณสามเดือนต่อจากนี้ ผลผลิตที่ปลูกไปจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ จะได้ทราบคำตอบที่ชัดเจนว่าปีนี้ นาแปลงใหญ่ช่วยลดต้นทุนการผลิตและประสิทธิภาพการผลิตให้พี่น้องสมาชิกของเราได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถือเป็นการสร้างทางเลือกใหม่ให้กับชาวนาได้อย่าง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต่อไปในอนาคต