ประวัติการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จังหวัดสตูล
ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ คณะรัฐมนตรีมีมติจัดตั้งนิคมสร้างตนเองควนกาหลง จังหวัดสตูล
ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นโยบายรัฐบาลสมัย ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัช เป็นนายกรัฐมนตรี รวมพื้นที่นิคมฯควนกาหลง และนิคมฯพัฒนาภาคใต้เข้าด้วยกัน ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๔๘ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ เป็น "นิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จังหวัดสตูล"
งานนิคมสร้างตนเองเป็นบริการสวัสดิการสังคมรูปแบบหนึ่ง โดย ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้มีแนวคิดที่จะนำเอาที่ดินรกร้างว่างเปล่ามาใช้ประโยชน์สงเคราะห์คนยากไร้ให้มีที่อยู่อาศัย และที่ดินทำกินในลักษณะชุมชนที่เป็นระเบียบและพัฒนาให้มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แล้วให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแห่งนั้น ชุมชนที่เป็นระเบียบที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า “นิคมสร้างตนเอง” และราษฎรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินเรียกว่า “สมาชิกนิคม” นิคมสร้างตนเองแห่งแรกที่ได้จัดตั้งขึ้น ได้แก่นิคมสร้างตนเองพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรีและจังหวัดลพบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓
การจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในระยะแรกมีจุดมุ่งหมายหลัก เพื่อช่วยเหลือราษฎรยากจนที่ขาดแคลนที่ดินทำกิน และเพื่อแก้ไขปัญหาการอพยพเข้ามาหางานทำในเมืองจนเกิดปัญหาสังคมเมือง แต่หลังจากที่ได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น มีการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๑๕๐๔ - ๒๕๐๙) เป็นต้นมา การจัดสร้างนิคมสร้างตนเองได้ถูกนำมาใช้เป็นกลไกหรือเครื่องมือของรัฐในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครองและความมั่นคงของชาติ
เส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ ได้มุ่งเน้นที่การสร้างความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป็นทุนในการพัฒนาเศรษฐกิจและอำนวยความสะดวกในการเข้าไปพัฒนาชนบทและแก้ไขปัญหาความยากจน ของประชาชน เท่ากับเป็นการสกัดกั้นการขยายตัวของลัทธิฝ่ายตรงข้ามที่ประกาศใช้การต่อสู้ด้วยกำลังในระยะสั้น การมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบในการแก้ไขตามมาหลายประการ เช่นการอพยพราษฎรเขตน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อน ปัญหาความมั่นคงในเขตกองทัพภาคต่างๆ และปัญหาชนกลุ่มน้อยในเขตชายแดนภาคใต้ เป็นต้น
__________________________________________________________________________________
นอกจากนี้ การมุ่งที่จะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้ได้ตามเป้าหมาย จำเป็นต้องอาศัยหน่วยผลิตขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกลไกสำคัญที่รัฐบาลนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาคือ “งานนิคมสร้างตนเอง”
วัตถุประสงค์ของการจัดนิคมสร้างตนเอง
๑. เพื่อจัดสรรที่ดินให้ราษฎรเป้าหมายอพยพครอบครัวเข้าไปตั้งถิ่นฐานประกอบอาชีพและอยู่อาศัยในนิคมสร้างตนเองอย่างเป็นระเบียบและถาวร พร้อมส่งเสริมให้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นเป็นของตนเองและเป็นมรดกตกทอดไปสู่บุตรหลาน
๒. เพื่อพัฒนานิคมในด้านต่างๆ ให้สมาชิกนิคมมีรายได้และความเป็นอยู่สูงขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถช่วยตนเองและชุมชนได้
๓. เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในลักษณะโครงการพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และการปกครอง
การจัดตั้งนิคม
📂 การสำรวจและเลือกที่ดิน
การดำเนินการจัดตั้งนิคม หรือคณะรัฐมนตรีให้จัดตั้งนิคมขึ้นในท้องที่ใด จะต้องขอความร่วมมือกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้อง เพื่อตั้งคณะกรรมการสำรวจและเลือกที่ดินที่กำหนดจะตั้งนิคม เพื่อให้ทราบข้อมูลต่างๆ โดยมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่า ที่ดินที่จะจัดตั้งนิคมต้องมีเนื้อที่อย่างต่ำ ๕,๐๐๐ ไร่ บริเวณที่ดินมีอาณาเขตติดต่อหรือย่านชุมชนเพียงใด (หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือจังหวัด) ความอุดมสมบูรณ์ของดินในบริเวณที่มีแหล่งน้ำตลอดปีหรือไม่ เกิดภัยธรรมชาติหรือไม่ ฯลฯ
📂 การทำโครงการจัดตั้งนิคม
จัดทำโครงการเสนอหน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณาโครงการประกอบด้วยแผนผังการจัดที่ดิน หลักเกณฑ์การจัดที่ดิน วัตถุประสงค์การจัดตั้งที่ดิน
📂 การจำแนกประเภทที่ดิน
ข้อมูลที่คณะกรรมการสำรวจและเลือกที่ดินได้นำเสนอคณะอนุกรรมการจำแนกประเภทที่ดินพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วนำเสนอคณะกรรมการจำแนกประเภทที่ดินพิจารณาพื้นที่ใดเหมาะสมกับการทำการเกษตร พื้นที่ส่วนใดควรกำหนดเขตพื้นที่ป่าไม้เพื่อการอนุรักษ์ป่าและความชุ่มชื้นของดิน (ป่าไม้ส่วนกลาง ๒๐ %) แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติจำแนกออกจากพื้นที่ป่าสงวนแล้วเสนอคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ เพื่อพิจารณาให้นำพื้นที่ไปดำเนินการจัดตั้งนิคม
📂 การพัฒนานิคม
งานนิคมสร้างตนเองดำเนินการในลักษณะพัฒนาชนบทสมบูรณ์แบบ เน้นให้สมาชิกนิคมมีส่วนร่วมโดยร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมปฏิบัติ และร่วมติดตามผล
📂 การพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน
เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้แก่ชุมชน ได้แก่ การสร้างถนนเชื่อมติดต่อระหว่างหมู่บ้านภายในนิคมฯ และถนนติดต่อชุมชนภายนอก เพื่อเพิ่มเส้นทางคมนาคมและเส้นทางลำเลียงผลผลิตไปจำหน่าย การจัดหาแหล่งน้ำบริโภคใช้สอย เช่น การขุดบ่อน้ำผิวดิน การขุดบ่อน้ำบาดาล และระบบประปา เพื่อให้มีน้ำใช้อย่างพอเพียงตลอดปี และจัดสร้างระบบชลประทานขนาดเล็กหรือการพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆ เช่น อ่างเก็บน้ำ ฝายน้ำล้น สระน้ำ เป็นการเน้นการส่งเสริมให้สมาชิกนิคมสามารถประกอบอาชีพทางการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพหลักได้ตลอดฤดูกาล การขยายเขตไฟฟ้าเข้าสู่ผังจัดสรรและจัดบริการสาธารณะอื่นๆ เช่น โรงเรียน สถานีอนามัยตำบล ตลาด สถานีตำรวจ และย่านการค้าของชุมชนในนิคมฯ
📂 การพัฒนาอาชีพครบวงจร
ตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ กำหนดให้สมาชิกนิคมต้องใช้ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์เฉพาะเพื่อทำการเกษตร จึงได้มีการนำรูปแบบของการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมในลักษณะครบวงจร เพื่อทำให้สมาชิกนิคมมีรายได้สูงขึ้นอย่างมั่นคงจนสามารถช่วยเหลือตนเองได้
📂 การพัฒนาสังคมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต
มุ่งให้ครอบครัวและชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรือได้รับการตอบสนองความต้องการตามสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรจะได้รับ
📂 การพัฒนาการเมืองการปกครอง
ได้กำหนดรูปแบบการปกครองในนิคมสร้างตนเอง โดยแบ่งพื้นที่เป็นเขต มีหัวหน้าเขต ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของสมาชิกนิคม และคณะกรรมการส่งเสริม เขตความรับผิดชอบการปกครองในเขตพื้นที่ของตนเอง ภายใต้การส่งเสริมสนับสนุนของเจ้าหน้าที่นิคม ทั้งนี้ เพื่อให้สมาชิกนิคมได้เรียนรู้ระบบการปกครองตนเองตามแนวทางประชาธิปไตย และเน้นการวางรากฐานก่อนที่จะมอบให้จังหวัดรับไปดำเนินงานในรูปแบบของการปกครองส่วนท้องถิ่นต่อไป
📂 การออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน
การจัดนิคมสร้างตนเองนอกจากจัดที่ดินให้แก่ราษฎรแล้ว ยังต้องดำเนินการให้สมาชิกนิคมได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนเองและเป็นมรดกตกทอดไปยังลูกหลานซึ่งตามมาตรา ๑๑ และ ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ ได้กำหนดเงื่อนไขว่าเมื่อสมาชิกนิคมได้ทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว และได้เป็นสมาชิกนิคมมาเป็นเวลาเกินกว่า ๕ ปี ทั้งได้ชำระเงินช่วยทุนที่รัฐบาลได้ลงไป และชำระหนี้เกี่ยวกับกิจการของนิคมให้แก่ทางราชการเรียบร้อยแล้ว ให้ออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค.๓) ให้แก่ผู้นั้น ซึ่งผู้ได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์แล้ว จะไปขอให้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินนั้นตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ แต่ภายใน ๕ ปี นับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากตกทอดโดยทางมรดก