วัดกลาง พิษณุ'โลก โชว์จิตรกรรมยักษ์ถือปืน-ใช้มือถือ
เปิดจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัยท้ากระแสสังคม วาดรูปยักษ์ถือปืนกล็อก-ยกวิสกี้ดื่ม ภายในอุโบสถเก่าแก่อายุหลายร้อยปี กลางตัวอำเภอนครไทย
วัดกลางศรีพุทธาราม ต.นครไทย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติที่บรรจงวาดอย่างสวยงาม แต่กลับมีภาพที่แปลกพิลึก “ยักษ์ชุดลายพรางถือมีดดาบ แถมพกโทรศัพท์มือถือ” ซึ่งช่วงที่ผ่านมาวัดแห่งนี้ก็เปิดให้ประชาชนเข้าชมอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ พระครูสถิตชยานันท์ เจ้าอาวาสวัดศรีพุทธาราม และพระอธิการณัฎฐ์ธน กิติปัญโญ เจ้าคณะตำบลนครไทย ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ ได้พาผู้สื่อข่าวเข้าชมภาพจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัยภายในอุโบสถหลังเก่าแก่อายุหลายร้อยปีที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังดังกล่าว ที่แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ แต่ที่แปลกตาก็คือ มีภาพวาดร่วมสมัยแทรกอยู่ในภาพพุทธประวัติจำนวนมาก เช่น ภาพยักษ์ถือปืนกล็อก คล้องสายสะพายลูกกระสุนปืนเต็มบ่า ยักษ์ประทับปืนไรเฟิลติดกล้องเตรียมยิง ถัดไปยังมีภาพยักษ์ยกขวดวิสกี้ดื่ม
นอกจากนี้มียักษ์สวมชุดหูฟังระหว่างบรรจุกระสุนปืนครก ภาพพลทหารยักษ์แต่งชุดลายพรางใช้มืออุดหูขณะยิงปืนครก ภาพยักษ์ถือมีดดาบปลายแหลม แต่พกโทรศัพท์มือถือติดเอว ส่วนอีกภาพเป็นภาพยมทูตกำลังใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ข้างกระทะทองแดง
แต่เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความเป็นมา และสาเหตุที่มีการเขียนภาพดังกล่าว พระผู้ใหญ่ทั้ง 2 รูปปฏิเสธที่จะให้รายละเอียด
สำหรับวัดกลางศรีพุทธาราม ตั้งอยู่ใจกลางอำเภอนครไทย หรือเมืองบางยาง ยุคสมัยพ่อขุนบางกลางท่าว หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ในวัดมีโบราณวัตถุ อุโบสถเก่า พระพุทธรูปสำริดศิลปะสมัยสุโขทัย พระพุทธรูปศิลานาคปรก ปางสมาธิ ฯลฯ นอกจากนี้มีต้นจำปาขาวเก่าแก่กว่า 700 ปี พร้อมอนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าวอยู่ในวัดด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์
วัดนครไทยวราราม (วัดหัวร้อง)
ประวัติวัดนครไทยวราม(วัดหัวร้อง) / วัดนครไทยวราราม (วัดหัวร้อง) ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ 200 หมู่ 6 ถนนอุดรดำริห์ บ้านห้วร้อง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ทำการก่อสร้างขึ้นเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้างนั้นไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดแต่อย่างใด คนเก่าคนแก่ได้เล่าขานสืบต่อกันมาว่า วัดหัวร้องเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยเมื่อครั้งพ่อขุนบางกลางท่าวได้ยกทัพไปตีกรุงสุโขทัยเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 1800 หลังจากที่ได้รวบรวมไพร่พลมาอยู่ที่เมืองบางยางระยะหนึ่งแล้วดังหลักฐานที่ปรากฎให้เห็นในปัจจุบัน คือ วิหารทรงโรง และพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่และสลักด้วยไม้สักทั้งองค์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 2.45 เมตร สูง 3.45 เมตร
เจดีย์วัดหัวร้อง
แต่เดิมวัดหัวร้อง มีชื่อว่า วัดศรีชมชื่น สถานที่ตั้งเดิมอยู่ที่สำนักสงฆ์คลองจิกในปัจจุบัน เมื่อก่อนนั้นไม่มีผู้ดูแล และเนื่องจากสมัยนั้นชาวบ้านได้ตั้งบ้านเรือนอยู่เหนือร่องน้ำคลองจก จึงพากันเรือกชื่อวัดศรีชมชื่นว่า วัดหัวร่อง ต่อมาเพี้ยนไปเป็น วัดหัวร้อง ด้วยเหตุที่เป็นวัดร้างมานาน ประกอบกับไม่มีใครดูแลเมื่อเกิดไฟไหม้ป่าลามทุ่ง วัดหัวร้องจึงถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น คงเหลือทิ้งไว้ให้เห็นเพียงเจดีย์ดินในปัจจุบัน ต่อมาชาวบ้านได้ปลูกสร้างอาคารบ้านเรือนมากขึ้นและรวมกันเป็นหมู่บ้าน จึงได้ทำการก่อสร้างวัดขึ้นในที่แห่งใหม่ ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่แห่งเดิมประมาณ 200 เมตร คือ สถานที่ตั้งวัดหัวร้องในปัจจุบัน สมัยก่อนนั้นเป็นวัดหัวร้องยังไม่ค่อยมีผู้ดูแล จะมีเพียงเจ้าอาวาสกับพระลูกวัดบางส่วนเท่านั้นดูแลรักษาวัด แต่ก็ไม่ได้มีการบันทึกเป็นหลักฐานไว้ จนมาถึงสมัยหลวงปู่หุย เป็นเจ้าอาวาส จึงได้เริ่มการก่อสร้างศาลาและกุฎิเพิ่มเติมจากที่เคยมีแค่วิหารและพระพุทธรูปไม้สัก ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อใหญ่
จากหลักฐานการบันทึกพบว่าวัดหัวร้องได้พระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2482 จึงได้ทำการก่อสร้างพระอุโบสถขึ้นในปี พ.ศ. 2491 ซึ่งมี ขนาดกว้าง 5 เมตร ยาง 10 เมตร และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2496 ต่อมาในปี พ.ศ. 2516 เจ้าอาวาสและชาวบ้านเห็นว่าศาลาและกฎิได้เก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมเป็นจำนวนมาก จึงได้ทำการพัฒนาปลูกสร้างศาลาและกุฏิขึ้นใหม่ พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพัฒนาวัดว่า “วัดนครไทยวราราม” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในเนื้อที่ทั้งหมด 6 ไร่
วัดนครไทยวราราม นอกจากมีวิหารเก่าแก่ ที่มีขนาดกว้าง 9 เมตร ยาง 18 เมตรแล้ว ภายในวิหารยังมีศลปกรรมพื้นบ้านเก่าแก่งดงามอ่อนช้อยประดิษฐานในวิหารเก่าทรงโรง คือ มีฐานสำเภา (เสา) เครื่องบนเป็นไม้สักก่ออิฐถือปูนทรงแปดเหลี่ยม มีบัวและปลีที่หัวเสา ที่เพดานผ้าเป็นดาวลวดลายทอง แต่ได้สูญหายไปบ้าน มีอาสน์สงฆ์ก่ออิฐถือปูนยกสูงเบื้องขวาพระประธาน และส่วนที่สำคัญของพระวิหารอีกประการหนึ่งคือ มีพระพุทธรูปที่ทำด้วยไม้สักทั้งองค์ ปางมารวิชัย มีขนาดหน้าตักกว้าง 2.45 เมตร สูง 3.45 เมตร มีปูนหุ้มไว้ทั้งองค์ และปัจจุบันนี้เจ้าอาวาสและชาวบ้านได้ร่วมกันลงรักปิดทองให้ดูสวยงาม และที่พิเศษ คือ พระพุทธรูปไม้สักองค์นี้ มีลักษณะเด่นคือ มีพระรัศมียาวใหญ่ วงพระพักต์ค่อนข้างกลมไม่เหมือนผลมะตูม มีลักษะที่คล้ายศิลปะในยุคสุโขทัย มีพระบาทใหญ่ นิ้วเสมอกัน ฝ่าพระบาทแบนราบ สันพระบาทยาว ด้วยเหตุที่พระพุทธรูปไม้สักมีองค์ขนาดใหญ่ ชาวบ้านจึงขนานนามให้ว่า หลวงพ่อใหญ่ เป็นพระพุทธรูปที่ทำด้วยไม้สักองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (จากผลการสำรวจของเจ้าหน้าที่ศิลปากร) หลวงพ่อใหญ่เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ มีสาธุชนศรัทธาเข้าไปกราบไหว้บูชา ไปขอพรและต่อชะตาสะเดาะเคราะห์เป็นประจำ มีความเชื่อที่ว่า จะทำให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขหายอาการเจ็บป่วยได้จริง
ย้อนอดีตไปเมื่อ 40 ปีก่อนนั้น วัดหัวร้องจะจัดให้มีงานฉลองสมโภชน์เป็นประจำทุกปีหรือเรียกกันว่า “งานประจำปีวัดหัวร้อง” วัดจะจัดให้มีการละเล่นและให้สาธุชนชาวบ้านได้เข้าไปกราบไหว้สักการะขอพรหลวงพ่อใหญ่ ได้ร่วมกันทำบุญหารายได้เพื่อสมทบทุนบำรุงพัฒนาวัด แต่ต่อมาวัดจะจัดให้มีเฉพาะเทศกาลงานต่างๆ เช่น เทศกาลวันตรุษ วันสงกรานต์ เทศกาลวันออกพรรษา จะมีเทศน์มหาชาติ เป็นต้นการจัดงานประจำปีจึงได้ว่างเว้นไป เหตุเพราะมีวัตถุสิ่งของภายในวัดถูกโจรกรรมหายไป ทำให้เจ้าอาวาสงดเว้นการจัดงานประจำปี และต้องปิดวิหารเพื่อป้องกันการสูญหายของสิ่งมีค่าภายในวิหาร จะอนุญาตและเปิดวิหารให้สาธุชนคนที่ประสงค์จะต่อชะตาสะเดาะห์เคราะห์เป็นรายๆไปเท่านั้น
แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น อำเภอนครไทย
แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก