ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของผู้มีส่วนร่วมในการจัดพิมพ์บทสวดมนต์สอนเจ้ากรรมนายเวรทุกท่าน
การสวดมนต์จะเกิดผลดีจะได้อานิสงส์หรือก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต้องสวดด้วยศรัทธาและปสาทะคือสวดด้วยความเชื่อมั่นและด้วยความเลื่อมใสอันเป็นเหตุให้เกิดปีติ
โดยการกำหนดจิตในขณะที่สวดมนต์ว่า ดีใจหนอ ขณะนี้ได้นั่งเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้รับฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ฟังเสียงของตัวเองด้วยปีติ เหมือนกับว่าได้นั่งเฝ้าพระพุทธเจ้า ฟังธรรมจากพระองค์
ขณะที่สวดมนต์ พยายามสร้างระบบเสียงของตัวเองขึ้นมาให้มีเสียงอย่างน้อย 7 เสียง เสมือนหนึ่งเสียงของดนตรี คือ คีย์โน้ตของคนดนตรีมีเสียงอยู่ 7 เสียง เพื่อช่วยให้เกิดปีติ การสวดมนต์ทำเสียงให้เป็น 7 เสียง จะช่วยให้เกิดปีติ
ท่านสามารถรับฟังการสวดมนต์บทสวดมนต์สอนเจ้ากรรมนายเวรซึ่งใช้เสียง 7 เสียง โดย พระอาจารย์ดร.สิงห์ทน นราสโภ ได้จาก YouTube “บทสวดมนต์สอนเจ้ากรรมนายเวร โดย พระอาจารย์ดร.สิงห์ทน นราสโภ” ตาม link นี้
การสวดมนต์ช่วยให้เกิดบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ คือ
1. ทานมัย การสวดมนต์เพื่อเปล่งเสียงออกมา เรียกว่า การให้ธรรมเป็นทานหรือเรียกว่า สวดมนต์ภาวนาเป็นธรรมทาน
2. สีลมัย ขณะที่สวดมนต์ไม่ได้ด่าว่าใคร ไม่ได้โกหกหลอกลวงใคร ไม่ได้ให้ใครทะเลาะกัน ไม่ได้พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ ขณะที่สวดมนต์ไม่ได้ฆ่าใคร ไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้ปล้นลักขโมยสิ่งของของคนอื่น ไม่ได้ประพฤติผิดต่อสามีภรรยาใคร ขณะที่สวดมนต์ภาวนา ไม่ได้ประกอบอาชีพผิดกฎหมายผิดศีลธรรม รวมเรียกว่า อยู่ศีล ถือศีล หรือมีศีล ดังที่ปรากฏในบทสรุปศีลว่า สีเลนะ สุคติง ยันติ จะอยู่สุขสบายเหมือนกับอยู่บนสวรรค์ ก็เพราะมีศีล สีเลนะ โภคะสัมปทา จะมั่งมีโภคะสัมปทา จะมั่งมีโภคะสมบัติก็เพราะมีศีล คนที่มีศีล เรียกว่า ปิดประตูอบายมุข คือ ไม่ต้องเสียเงินด้วยสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ทั้งไม่ติดโรคร้าย สีเลนะ นิพพุติง ยันติ กาย วาจา ใจ จะเย็นสบายก็เพราะศีล เมื่อถูกใครด่าว่า ก็ไม่ตอบโต้ เพราะกลัวผิดศีล เรียกว่า เป็นการดับไฟต้นลม สรุปแล้วนอกจากจะเกิดศีล ยังช่วยให้เกิดสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ เรียกว่า เกิดมรรคผล
3. ภาวนามัย การสวดมนต์เป็นสัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ เมื่อเข้าใจสวดมนต์ภาวนาดังกล่าวมา ขณะสวดมนต์ จิตจะเป็นกุศลแบบต่อเนื่องเป็นสัมมาวายามะ เมื่อจิตเป็นกุศลแบบต่อเนื่อง ก็จะเกิดสติควบคุมจิตที่มี ก็จะเป็น สติปัฎฐาน 4 เมื่อเกิดสติปัฎฐาน สัมมาสมาธิก็เกิด สามารถเข้าฌานหรือเข้าอัปปมาสมาธิได้ โดยอาศัยเสียงมนต์เป็นองค์ภาวนา เมื่อสัมมาสมาธิเกิด ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ หรือเกิดภาวนมยปัญญา หรือได้ดวงตาเห็นธรรม หรือเกิดการเห็นแจ้งจริง
4. อปจายนมัย บุญที่เกิดขึ้นจากการแสดงความนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย คือ ขณะสวดมนต์ภาวนาจะต้องประนมมืออยู่ระหว่างทรวงอก ซึ่งเป็นจุดแหล่งพลังงานหยินหยาง
5. เวยยาวัจจมัย บุญที่เกิดจากการขวนขวายช่วยเหลือให้ผู้อื่นไม่ว่าจะอยู่ในภพใดก็ตาม ได้มีโอกาสมาร่วมเสริมบุญ เสริมบารมี
6. ปัตติทานมัย การสวดมนต์ภาวนาเป็นการแผ่ส่วนบุญ หรือให้ส่วนบุญแก่ผู้อื่น
7. ปัตตานุโมทนามัย การสวดมนต์ภาวนาเมื่อมีการแผ่ส่วนบุญหรือให้ส่วนบุญ ก็จะมีผู้มารับส่วนบุญ ผู้มารับมี 2 ประเภท ประเภทแรกคือ ผู้ที่ไปเกิดในภพภูมิที่มีความทุกข์ทรมาน ก็มาขอส่วนบุญ และประเภทสองคือ ผู้ที่เกิดเป็นเทพเป็นพรหม ที่เคยเป็นเครือญาติหรือญาติธรรม ก็จะมาอนุโมทนาบุญมาช่วยเหลือรักษา แก้ปัญหาต่าง ๆ
8. ธัมมัสสวนมัย การสวดมนต์ภาวนาเป็นเสมือนหนึ่งนั่งเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วฟังธรรมจากพระองค์
9. ธัมมเทสนามัย การสวดมนต์ภาวนาเป็นเสมือนหนึ่งได้สาธยายธรรมหรือแสดงธรรมแทนพระพุทธเจ้า
10. ทิฎฐุชุกัมม์ การสวดมนต์ภาวนาช่วยให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง เกิดดวงตาเป็นธรรม ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในวิมุตติสูตร ในปัฐจะกะนิบาตอังคุตระนิกาย ดังว่าการสวดมนต์สาธยายธรรมช่วยให้บรรลุเป็นพระอริยะ จนกระทั่งบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์
สรุปแล้ว การสวดมนต์ภาวนา หากปฏิบัติด้วยความเข้าใจตามหลักการดังกล่าวมา ช่วยให้เกิดบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ กุศลกรรมบถ 10 ประการ เกิดมรรค 8 ประการ และเป็นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง จะเป็นปัจจัยให้เกิดอานิสงส์หรือคุณประโยชน์ ดังพระบาลีที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า
“ธัมมะจารี สุขัง เสติ”ประพฤติปฏิบัติธรรมย่อมมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข
เรียบเรียงจากหนังสือ บทสวดมนต์ดุริยมนตรา โดย พระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ