ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
(ว่า ๓ ครั้ง)
เพราะเหตุอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้
พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่บุคคลเหล่านี้ คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่สักการะที่จัดไว้ต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นใดยิ่งกว่า ดังนี้
ขอให้สรรพสัตว์ผู้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่ามีเวรต่อกันเลย อย่าพยาบาทปองร้ายกันเลย อย่ามีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย ขอให้มีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด (แผ่เมตตา)
ขอให้สรรพสัตว์ผู้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงพ้นจากความทุกข์โดยประการทั้งปวงเถิด (แผ่กรุณา)
ขอให้สรรพสัตว์ผู้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าได้ปราศจากและอย่าได้พลัดพรากจากสมบัติและบุคคลที่เป็นที่รักที่ตัวมีอยู่เถิด (แผ่มุทิตา)
สรรพสัตว์ผู้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นผู้มีกรรมเป็นทายาท เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด เป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่ว จักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น (แผ่อุเบกขา)
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต่างตรัสสอนไว้ว่าทำทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นจะมาถึงตน ในกาลไหนๆ เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร เวรทั้งหลายย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรเท่านั้น
ขอคุณพระศรีรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ จงปกป้องคุ้มครองรักษา ทั้งคุณญาณบารมีของพระอริยะผู้ทรงอภิญญาทั้งหลาย จงช่วยปกป้องคุ้มครองช่วยให้มีอายุยืนยาว มีผิวพรรณผ่องใส มีความสุข และมีพลังคุ้มครอง เป็นเหตุให้เกิดพลังปาฏิหาริย์อันเป็นอัศจรรย์ ทำให้พญามัจจุราช (เจ้ากรรมนายเวร) ไม่พูดถึงและมองไม่เห็น (ข้าพเจ้า) นี่แน่ ......(ใส่ชื่อตัวเรา)...... เธอจงมองโลกหรือตัวเองให้ว่างเปล่า ไม่มีตัวตนเมื่อเข้าใจมองโลกหรือตัวเองว่า ว่างเปล่า (ไม่มีตัวตน) มัจจุราช (เจ้ากรรมนายเวร) จะมองไม่เห็น
ขอกล่าวย้ำอธิษฐานขอให้เป็นจริงอย่างนั้นอย่างแท้จริง
แม้ครั้งที่สอง ขอกล่าวย้ำอธิษฐานขอให้เป็นจริงอย่างนั้นอย่างแท้จริง
แม้ครั้งที่สาม ขอกล่าวย้ำอธิษฐานขอให้เป็นจริงอย่างนั้นอย่างแท้จริง
ผู้ใดประทุษร้ายหรือคิดร้ายต่อ ผู้ไม่ประทุษร้ายหรือไม่เคยคิดร้ายต่อ ลงโทษผู้ที่ไม่เคยทำความผิดย่อมได้รับภัยร้ายแรง ๑๐ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างทันตาเห็น คือ
๑. ได้รับทุกขเวทนา หรือทุกข์ทรมานอย่างแรงกล้า
๒. สรีระร่างกายถูกทำลาย
๓. เจ็บป่วยอย่างหนัก
๔. มีจิตฟุ้งซ่านอย่างหนักอาจถึงกับเป็นบ้า
๕. ถูกทางราชการทำโทษอย่างรุนแรง
๖. ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดอย่างร้ายแรง
๗. สูญเสียญาติ ขาดมิตร
๘. ทรัพย์สมบัติมีอันพินาศฉิบหาย
๙. ไฟป่าหรือไฟไหม้บ้านชนิดไม่ทราบสาเหตุไม่น่าจะเกิดภัยเช่นนั้น
๑๐ ตายไปแล้วยังตกนรกชดใช้กรรมต่อ
มานี่ซิภิกษุทั้งหลาย มา ณ บัดนี้ ฉันขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลาย (คือสิ่งที่ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ปรุงแต่งให้เป็นตัวตน) มีความเสื่อมสิ้นสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอพึงดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด (คือให้มีสติควบคุมเสมออยู่กับปัจจุบันด้วยความมีสติเสมอ) นี้เป็นพระวาจาสุดท้ายของพระตถาคตเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ได้ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ คือหลักคำสอนสำหรับผู้จะปฏิบัติตนเพื่อความหลุดพ้นจากกิเลส เป็นหลักการโดยย่อว่า
การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขันติ คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง ผู้รู้ทั้งหลาย กล่าวพระนิพพานว่าเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย ผู้ทำสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ ไม่เชื่อว่าเป็นสมณะเลย
การไม่พูดร้าย (๑)
การไม่ทำร้าย (๒)
การสำรวมในปาติโมกข์ (๓)
ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค (๔)
การนอน การนั่ง ในที่อันสงัด (๕)
ความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง (๖)
ธรรม ๖ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เมตตานิสังสะสุตตะปาโฐ (บทสวดพระสูตรว่าด้วยอานิสงส์ของการเจริญเมตตาธรรม)
ข้าพเจ้า (คือพระอานนท์เถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ฯ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร อารามของอนาถะบิณฑิกะคฤหบดีแห่งสาวัตถี ในการนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกพระภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมตตาอันเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นแห่งจิตนี้ อันบุคคลบำเพ็ญจนคุ้นแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้มากแล้วคือชำนาญให้ยิ่ง เป็นที่พึ่งของใจ ทำให้เป็นที่อยู่ของใจตั้งไว้เป็นนิจ อันบุคคลสั่งสมอบรมแล้ว บำเพ็ญให้มากแล้ว ย่อมมีอานิสงส์สิบเอ็ดประการ อย่างนี้ อานิสงส์ ๑๑ ประการ อะไรบ้าง ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น
(๑) ย่อมหลับเป็นสุข
(๒) เมื่อตื่นขึ้นก็ย่อมอยู่เป็นสุข
(๓) หลับอยู่ก็ไม่ฝันร้าย
(๔) เป็นที่รักของเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย
(๕) เป็นที่รักของเหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย
(๖) เทวดาย่อมคุ้มครองรักษา
(๗) ไฟก็ดี ยาพิษก็ดี ศาตราวุธก็ดี ย่อมทำอันตรายไม่ได้เลย
(๘) จิตย่อมเป็นสมาธิได้รวดเร็วอย่างยิ่ง
(๙) ผิวหน้าย่อมผ่องใส
(๑๐) เป็นผู้ไม่ลุ่มหลงเมื่อทำกาลกิริยาตาย
(๑๑) เมื่อยังไม่บรรลุคุณวิเศษอันยิ่งๆ ขึ้นไป ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลกแล
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมตตาอันเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นแห่งจิตนี้ อันบุคคลบำเพ็ญจนคุ้นแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้มากแล้วคือชำนาญให้ยิ่ง เป็นที่พึ่งของใจ ทำให้เป็นที่อยู่ของใจตั้งไว้เป็นนิจ อันบุคคลสั่งสมอบรมแล้ว บำเพ็ญให้มากแล้ว ย่อมมีอานิสงส์ ๑๑ ประการอย่างนี้แล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสธรรมปริยายอันนี้แล้ว พระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ก็มีใจยินดีพอใจในภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ด้วยประการฉะนี้แล
ความเจริญอายุ ความเจริญทรัพย์ ความเจริญศิริ ความเจริญยศ ความเจริญพละกำลัง ความเจริญวรรณะผิวพรรณ ความเจริญสุข จงมี (แก่ข้าพเจ้า) ในกาลทั้งปวง
ทุกข์โรคภัยและเวรทั้งหลาย ความโศก ศัตรู และอุปัทวะทั้งหลาย
อันตรายทั้งหลายเป็นอเนก จงพินาศไปด้วยเดช
ความชนะความสำเร็จทรัพย์ลาภ ความสวัสดี ความมีโชค ความสุข พละกำลัง
ศิริอายุและวรรณะผิวพรรณ โภคะความเจริญและความเป็นผู้มียศ
อายุยืนร้อยปี และความสำเร็จในชีวิตจงมีแก่ข้าพเจ้าฯ
ขอสรรพมงคล จงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ
ขอสรรพมงคล จงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมทั้งปวง ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ
ขอสรรพมงคล จงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ทั้งปวง ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ