วิทยานิพนธ์
วิทยานิพนธ์
การใช้ภาวะผู้นำในการบริหารสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพการพัฒนาฝีมือ แรงงานของผู้เรียนอาชีวศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อ การบริหารสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพการพัฒนาฝีมือแรงงานผู้เรียนอาชีวศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาของรัฐ ที่เปิดสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง จำนวน 352 คน และผู้มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูล สำคัญในการสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยและการวิเคราะห์เนื้อหา
นางสาวจรุงรัตน์ พันธุ์สุวรรณ (2563) การใช้ภาวะผู้นำในการบริหารสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพการพัฒนาฝีมือ แรงงานของผู้เรียนอาชีวศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาการบริหารสถานศึกษาและภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง มหาวิทยาลัยอิสเทิร์นเอเชีย.
ชื่อผู้จัดทำ (ปีพ.ศ.) ชื่อเรื่อง. วิทยานิพนธ์ สาขา มหาวิทยาลัย (ไม่เกิน 10 ปี)
สภาพปัญหาการบริหารงบประมาณของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29
บทคัดย่อ :
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา เปรียบเทียบ และปัญหา แนวทางการพัฒนาสภาพการบริหารงบประมาณของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดสถานศึกษา ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารและหัวหน้ากลุ่มบริหารงบประมาณของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 162 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t และการทดสอบค่า F ผลการวิจัย พบว่า 1. สภาพการบริหารงบประมาณของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 ทั้ง 7 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีตำแหน่งและประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อสภาพการบริหารงบประมาณ โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน ส่วนข้าราชการครูที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาที่มีขนาดต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. ปัญหาและแนวทางการพัฒนาการบริหารงบประมาณของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้ง 7 ด้าน พบว่า ปัญหาส่วนใหญ่ คือ การส่วนร่วมของชุมชนและการจัดทำแผนงบประมาณ แผนงาน/โครงการ ที่เชื่อมโยงกับผลผลิตและผลลัพธ์ การจัดทำแผนการใช้งบประมาณ ปฏิทินปฏิบัติงาน การประเมินแผนกลยุทธ์ และการรายงานการดำเนินโครงการ การจัดทำแผนระดมทรัพยากรของสถานศึกษา ขาดบุคลากรที่มีความรู้โดยตรงทางด้านการเงิน การบัญชี และพัสดุ บันทึกระบบบันชีไม่เป็นปัจจุบัน และทะเบียนคุมวัสดุ ครุภัณฑ์ ไม่เป็นปัจจุบัน ดังนั้นสถานศึกษาจึงควรประชุมคณะกรรมการสถานศึกษา คณะครู และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในสถานศึกษา จัดอบรมและดำเนินการจัดทำรายละเอียดแผนงบประมาณ แผนงาน/โครงการ ให้มีความเชื่อมโยงกันนโยบายของกระทรวงฯ ดำเนินการจัดเตรียมประมาณการการใช้จ่ายงบประมาณล่วงหน้า แต่งตั้งคณะกรรมการประเมินแผนกลยุทธ์ แผนปฏิบัติการประจำปี ทุกสิ้นปีการศึกษา แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดทำแผนระดมทรัพยากรทั้งระยะสั้น และระยะยาวควร แต่งตั้งบุคลากรที่มีความรู้ ความเข้าใจมาปฏิบัติงานและส่งเสริมให้ครูผู้รับผิดชอบเข้าร่วมอบรม สัมมนา จัดทำเอกสาร หลักฐานทางการบัญชีให้ สมบูรณ์ บันทึกบัญชีให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และแต่งตั้งบุคลากรที่มีความรู้ ความเข้าใจ ด้านการพัสดุมาปฏิบัติหน้าที่ จัดทำทะเบียนคุมทรัพย์สินทุกประเภทให้ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน
วีระพงษ์ ก้านกิ่ง. (2561). สภาพและปัญหาการบริหารงบประมาณของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29. วิทยานิพนธ์. ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี.
การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัล ตามหลักไตรลักษณ์ โรงเรียนมัธยมศึกษากลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจา จังหวัดปทุมธานี
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาสภาพภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัลโรงเรียนมัธยมศึกษา 2) ศึกษาวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัลตามหลักไตรลักษณ์ 3) เสนอวิธีการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัลตามหลักไตรลักษณ์ โรงเรียนมัธยมศึกษากลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจา จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นงานวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed-Method Research) ระหว่างงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantitative Research) และงานวิจัยเชิงปริมาณ (Qualitive Research) โดยใช้สถิติคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 290 คน 5 โรงเรียน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัลโรงเรียนมัธยมศึกษา กลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจา จังหวัดปทุมธานี ภาพรวมทั้ง 4 ด้านอยู่ในระดับมาก คือ การสร้างแรงบันดาลใจด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญาด้านการมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์และข้อที่มีอยู่ในระดับต่ำสุด ได้แก่ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล 2) การบริหารตามหลักไตรลักษณ์ควรมีการพัฒนาอยู่อย่างสม่ำเสมอ ผู้นำสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ ในการเข้าอยู่ร่วมสมัย และสามารถดำรงอยู่ได้ภายใต้การเปลี่ยนแปลงขององค์กร โดยการไม่ยึดติดในตำแหน่ง ทุกสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงจากสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์การโดยยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสามารถและศักยภาพของเพื่อนร่วมงานภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในยุคดิจิทัล 3) ทักษะของภาวะผู้นำยุดิจิทัลที่จะประสบความสำเร็จและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัลตามหลักไตรลักษณ์ผู้นำต้องมีความก้าวหน้าตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่อย่างสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการทำงานในยุคปัจจุบัน ผู้นำที่ดีนั้นจะสามารถนำพาองค์กรไปได้อย่างถูกทิศทาง และสร้างให้องค์กรประสบความสำเร็จในที่สุด ในขณะเดียวกันก็สามารถนำพาผู้ใต้บังคับบัญชาไปได้อย่างถูกทิศทางเช่นกัน พร้อมทั้งมอบหมายงานและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทนงศักดิ์ สุขกาย (2565) การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารยุคดิจิทัล ตามหลักไตรลักษณ์ โรงเรียนมัธยมศึกษากลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจา จังหวัดปทุมธานี.
วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วารสาร
การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล การผลิตกำลังคนของวิทยาลัยเทคนิค ประเภทช่างอุตสาหกรรม ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการผลิตกำลังคนของวิทยาลัยเทคนิค ประเภทช่างอุตสาหกรรม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ในประเทศไทย โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชียวชาญ ดำเนินการวิจัยด้วย EDFR ยึดตามรูปแบบ EFR กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย
1) ผู้เชี่ยวชาญที่มีบทบาทอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการอาชีพทั้งทางตรงและทางอ้อม
2) ผู้เชี่ยวชาญที่มีบทบาทหน้าที่ในการดำเนินปฏิบัติงานสนองนโยบายวิทยาลัยเทคนิค
3) ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักวิชาการเกี่ยวกับการจัดการศึกษา
4) ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นผู้ใช้ผลผลิตจากทางวิทยาลัยเทคนิค วิเคราะห์ข้อมูลวิธี EDFR พิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ ด้านการอาชีวศึกษา
ผลการวิจัยปรากฏดังนี้
ด้านคุณลักษณะของผู้สำเร็จการศึกษา จะต้องมีการเพิ่มความรู้ทักษะฝีมือทางช่างวิชาชีพเชิงลึกในการปฏิบัติงานตามวิชาชีพระดับสูงเฉพาะเจาะจง มีทักษะภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรมและวิธีการทำงานเป็นทีม อดทน ขยัน ซื่อสัตย์สุจริต มีความใฝ่รู้และภาวะผู้นำ
ด้านการจัดการเรียนการสอน จะต้องร่วมมือกับสถานประกอบการในการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ตอบสนองตลาดแรงงาน และการประกอบอาชีพอิสระ ให้มีความหลากหลายสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรม และสอดรับกับบริบทของท้องถิ่นอย่างชัดเจนมีความยืดหยุ่นเน้นปฏิบัติสัมผัสกับงานที่แท้จริง มีการศึกษาดูงานยังสถานประกอบการฝึกปฏิบัติจริง
ด้านครูผู้สอน จะต้องมีการอบรมศึกษาดูงานพัฒนาความรู้ทั้งทฤษฏี ทักษะฝีมืออย่างต่อเนื่อง รู้ลักษณะงานอาชีพที่สอนอย่างลึกซึ้ง มีจรรยาบรรณ รู้ศักยภาพของผู้เรียนเป็นรายบุคคล มีการพัฒนางานวิจัยนำผลการวิจัยมาต่อยอด มีการพัฒนาผลิตเอกสารตำราสื่ออยู่เสมอ มีใบประกอบวิชาชีพตามเกณฑ์มาตรฐานการปฏิบัติงานวิชาชีพ ได้รับสวัสดิการผลตอบแทนที่ดีสูงขึ้นและยกระดับฐานะทางสังคมให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง
ด้านความร่วมมือ จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการผลิตและพัฒนากำลังคนทั้งสมาคมวิชาชีพ ธุรกิจสถานประกอบการต่างๆ องค์กรผู้ใช้กำลังคนและวิทยาลัยเทคนิคผู้ผลิตกำลังคนทั้งในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค รวมถึงความร่วมมือระหว่างสถาบันจากต่างประเทศ
ด้านมาตรฐาน จะต้องจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพดูแลกำหนดมาตรฐานทางวิชาชีพแต่ละสาขาภายใต้กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ให้มีความสอดคล้องกับทักษะฝีมือและค่าจ้าง โดยสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า ธุรกิจสถานประกอบการมีส่วนร่วมกำหนดเกณฑ์ความก้าวหน้าทางสายงานอาชีพในแต่ละสาขาช่างอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน
ด้านการสนับสนุนจากภาครัฐรัฐบาลจะต้องตระหนักให้ความสำคัญกับการศึกษาสายอาชีพวิทยาลัยเทคนิค สถาบันอาชีวศึกษา ในการผลิตกำลังคนอย่างจริงจัง รวมไปถึงกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุน มีการกำหนดเป็นนโยบายแห่งชาติอย่างชัดเจน จัดสรรงบประมาณ ครุภัณฑ์อย่างเพียงพอ มีการกำหนดนโยบายผลักดันการจ้างงานสู่สถานประกอบการภาคอุตสาหกรรม สนับสนุนการนำผลการวิจัยมาพัฒนาต่อยอด มีการจัดทำฐานข้อมูลกำลังคนของประเทศระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคการศึกษา
ด้านค่านิยมในการเรียนวิทยาลัยเทคนิค ภาครัฐจะต้องร่วมมือกับสถานประกอบการ สื่อมวลชนสร้างแรงจูงใจความภาคภูมิใจเกียรติ์ศักดิ์ศรี ค่านิยมในการเรียนสายอาชีพ ประเภทช่างอุตสาหกรรม มีการประชาสัมพันธ์จุดเด่นของสายอาชีพ เรียนรู้จริง ทำจริง ทำได้ เก่งฝีมือ เก่งงาน เก่งปฏิบัติ จบแล้วมีงานทำ มีโอกาสก้าวหน้า
ด้านการบริหารจัดการ จะต้องมีความเป็นอิสระผลิตช่างฝีมือสายปฏิบัติการประเภทช่างอุตสาหกรรมในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงและปริญญาตรี โดยมีเป้าหมายนโยบายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นนิติบุคคล ชุมชนมีส่วนร่วม มีการกระจายอำนาจในแต่ละฝ่าย ส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นทีม ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล บริการวิชาชีพสู่สังคม เหมาะสมตามความต้องการของชุมชน สังคม องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน
นะโรดม อินต๊ะปัน (2561) การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล การผลิตกำลังคนของวิทยาลัยเทคนิค ประเภทช่างอุตสาหกรรม ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยฟาร์อิสเทอร์น. ปีที่ 12 ฉบับที่ 3 ปี 2561 หน้า 208-225.
บทคัดย่อ
บทความนี้นำเสนอแนวคิดภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ทางการจัดการอาชีวศึกษาที่สอดรับกับยุคประเทศไทย 4.0 เป็นการศึกษาถึงคุณลักษณะของผู้นำและการนำเสนอ แนวคิดใหม่ของภาวะผู้นำทางอาชีวศึกษาที่เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการอาชีวศึกษายุคประเทศไทย 4.0 จนนำไปสู่ความเป็นผู้นำทางอาชีวศึกษามืออาชีพที่สามารถสร้างภาวะผู้นำในการนำตนเอง นำผู้อื่น และนำการทำงาน เป็นการสร้างความสมดุลระหว่างความเป็นศาสตร์และศิลป์ ที่ผู้นำมีอยู่ในตัว เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีวิสัยทัศน์ เพื่อพัฒนาสถานศึกษาไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายประเทศไทย 4.0 ซึ่งถือเป็นความท้าทายและเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้บริหารอาชีวศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาการอาชีวศึกษาเพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในยุคประเทศไทย 4.0
ธีรยุทธ รอสูงเนิน (2561) ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์: ปัจจัยสำคัญในการจัดการอาชีวศึกษายุคประเทศไทย 4.0. วารสารมหาวิทยาลัยคริสเตียน .ปีที่ 2 ฉบับที่ 24 ปี2561หน้า 173-343.
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารอาชีวศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนโมเดลเชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) จำนวน 400 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) การวิเคราะห์สมการเชิงโครงสร้าง (Structural Equation Models) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ผลการวิจัย พบว่า โมเดลเชิงสาเหตุภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษามีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (2=301.99, df = 131, 2/df=2.305, GFI = 0.983, AGFI = 0.945, RMR = 0.042,RMSEA = 0.044) โมเดล เชิงสาเหตุภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารอาชีวศึกษา ประกอบด้วยปัจจัย การบริหารงานเชิงสถานการณ์ ความฉลาดทางอารมณ์การเสริมสร้างพลังอำนาจในการทำงาน และความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ ซึ่งปัจจัยทั้งหมดสามารถอธิบายความแปรปรวนภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารอาชีวศึกษาได้ร้อยละ 50.3 ปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงสุด ได้แก่ การบริหารงานเชิงสถานการณ์ รองลงมาคือ ความฉลาดทางอารมณ์การเสริมสร้างพลังอำนาจในการทำงาน และความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ ตามลำดับ
ไกรรัช เทศมี (2558) การพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา.วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ .ปีที่ 10 ฉบับที่29 ปี2558 หน้า 73-88.
วิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษ
Hussain A. Almalky, Abdalmajeed H. Alrabiah
Teachers are among the most important players in the successful implementation of inclusive education. This study aimed to examine Saudi Arabian teachers’ intentions to implement inclusive education and the influence of their demographics, attitudes, self-efficacy, perception of support, and concerns related to inclusive education on their intention. This study included 125 in-service special and general education teachers. The regression analysis results revealed that teachers’ self-efficacy and majors (special education vs. general education) significantly influenced their intentions to implement inclusive education in regular classrooms. Finally, we discuss the results and their implications for research and practice.
ครูเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สําคัญที่สุดในการดําเนินการศึกษาแบบเรียนรวมที่ประสบความสําเร็จ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความตั้งใจของครูชาวซาอุดิอาระเบียในการดําเนินการศึกษาแบบเรียนรวมและอิทธิพลของข้อมูลประชากรทัศนคติการรับรู้ความสามารถของตนเองการรับรู้การสนับสนุนและข้อกังวลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแบบเรียนรวมตามความตั้งใจของพวกเขา การศึกษานี้รวมครูการศึกษาพิเศษและการศึกษาทั่วไปในบริการ 125 คน ผลการวิเคราะห์การถดถอยพบว่าการรับรู้ความสามารถของตนเองและวิชาเอกของครู (การศึกษาพิเศษกับการศึกษาทั่วไป) มีอิทธิพลอย่างมีนัยสําคัญต่อความตั้งใจของพวกเขาที่จะใช้การศึกษาแบบเรียนรวมในห้องเรียนปกติ สุดท้ายนี้ เราจะพูดถึงผลลัพธ์และความสามารถของตนเองและวิชาเอกของครู (การศึกษาพิเศษกับการศึกษาทั่วไป) มีอิทธิพลอย่างมีนัยสําคัญต่อความตั้งใจของพวกเขาที่จะใช้การศึกษาแบบเรียนรวมในห้องเรียนปกติ สุดท้ายนี้ เราจะพูดถึงผลลัพธ์และความหมายสําหรับการวิจัยและการปฏิบัติ
Hussain A. Almalky, Abdalmajeed H. Alrabiah (2024) Predictors of teachers’ intention to implement inclusive education. Children and Youth Services Review Volume 158, March 2024, 107457