Game Story

เรื่องเริ่มด้วยชายร่างสูงใหญ่ สวมชุดคลุมดำยาวเรี่ยพื้น รอบร่างกายแผ่ออร่ามืดมนหาใดเปรียบ ชายผู้นี้มีนามว่า “เบลาดิม” (Beladim) จ้าวแห่งหมอก ผู้มีเสียงเล่าลือถึงความแข็งแกร่งและร่างกายอันเป็นอมตะฆ่าไม่ตาย เป็นผู้ปกครองเหล่าปีศาจทั้งหลาย ณ ปราสาททมิฬกาฬ 

อีกร่างหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่เป็นนักรบหญิงผู้สวมเกราะสีขาวนาม ‘เฟรย์ย่า’ (Freyja) เธอมาต่อสู้กับเบลาดิมเพื่อล้างแค้นให้กับทุกชีวิตในหมู่บ้านที่ถูกพรากไป เธอพุ่งตัวเข้าไปฟาดฟันด้วยแรงแค้น แต่ก็ไม่สามารถแม้แต่จะสร้างบาดแผลให้กับเบลาดิม สุดท้ายด้วยแรงที่เหลืออันน้อยนิดเฟรย่าก็ไม่สามารถประคองตัวได้อีกต่อไป

นั้นเป็นเพียงบทนำเพียงเท่านั้น ซึ่งก็พอที่จะทำให้เราพอจะเห็นจุดสุดท้ายของเรื่องนี้ ย้อนกลับไป 7 วันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ได้กล่าวไป คืนนั้นหมู่บ้านริดโรจของเฟรย่าถูกเบลาดิมบุกโจมตี มันได้บุกเข้ามแบบไม่รู้ตัวทำให้ถูกฆ่าวางเพลิงทั้งหมู่ โดยมีคนรอดมาแค่เฟรย่าคนเดียวเท่านั้น 

เฟรย่าที่ระหกระเหินเดินออกตามล่าเบลาดิมที่ทำลายหมู่บ้านของตน ก็ได้เจอกับชายปริศนาคนหนึ่งที่มอบอาวุธให้กับเธอสำหรับเอาไว้ป้องกันตัวก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไป เฟรย่าได้ไล่ตามเบลาดิมเข้ามาในป่า ฝ่าฟันเหล่าลูกน้องอัศวินที่ถูกปลุกขึ้นมาจากความตาย แต่สุดท้ายเฟรย่าก็ยังคงไม่สามารถสู้กับเบลาดิมได้อยู่ดี 

ในขณะที่กำลังจะถูกเบลาดิมสังหารนั้นเอง ได้มีเสียงกระซิบข้างหูให้เธอหมุนนาฬิกาที่ด้ามดาบกลับไป เฟรย่าที่คิดว่ากำลังจะตายจึงทำตามเสียงที่ได้ยินนั้น แล้วฉากรอบข้างก็เปลี่ยนไป เวลาได้ถูกย้อนกลับไปก่อนที่เฟรย่าจะไล่ตามเบลาดิมทัน 

ทันได้นั้นเองตรงหน้าเธอก็มีหญิงสาวสวมชุดคลุมยาวสีม่วงปรากฎขึ้น เธอสวมหน้ากาก และถือคฑาสูงเท่าตัวคน หญิงคนนั้นแนะนำตัวเองชื่อ “เวอร์เนีย” (Vernia) และได้บอกเล่าเกี่ยวกับอำนาจของดาบ “Aeterno Blade” ในมือของเฟรย่าที่มีความสามารถในการย้อนเวลากลับได้ และถามเธอว่าได้มาจากใคร แต่เฟรย่าก็ไม่สามารถจดจำใบหน้าของคนที่ให้ดาบเธอได้ 

เวอร์เนียยังได้บอกอีกว่าดาบนั้นยังไม่สมบูรณ์ และให้เฟรย่าไปรวบรวมชิ้นส่วนให้ครบเพื่อไปสู้กับเบลาดิม แต่เฟรย่าก็ยังสงสัยว่าเวอร์เนียจะมาช่วยตัวเธอทำไมกัน เวอร์เนียเลยบอกว่าเธอก็ถูกเบลาดิมทำลายหมู่บ้านมาเช่นเดียวกัน แต่เธอคนเดียวมีพลังไม่พอที่จะไปสู้ แล้วพอดีเจอเฟรย่าเลยตัดสินใจช่วยเพื่อจะได้ไปสู้เบลาดิมด้วยกัน

เฟรย่าจึงตัดสินใจออกหาชิ้นส่วนดาบตามเบาะแสที่เวอร์เนียบอก ระหว่างที่ตะลุยเก็บชิ้นส่วนดาบเวอร์เนียก็เล่าให้เฟรย่าฟังว่าเรื่องเล่าที่ว่าเบลาดิมมันเป็นอมตะ มันไม่เป็นความจริง ความจริงก็คือเบลาดิมน่ะ ครอบครอง “คฑาแห่งบราสทาร์” ซึ่งมีความสามารถคล้ายๆ กับเอเทอร์นอล เบลด ของเฟร่ย่า 

ซึ่งเบลาดิมสามารถใช้พลังของคฑาลบเศษเสี้ยวเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นได้ ทำให้ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็ทำให้มันบาดเจ็บไม่ได้ วิธีเดียวที่เราจะสู้กับมันได้คือก็เก็บชิ้นส่วนดาบให้ครบเพิ่มเปิดประตูสู่ “มิติเวลานิรันดร์” ซึ่งวิธีทำลายคฑาก็อยู่ในนั้น

ขณะที่เฟรย่าบุกตะลุยไปในนอุโมงค์ใต้พิภพเพื่อไปยังมหาพีระมิด ที่มีชิ้นส่วนสุดท้ายสถิตอยู่ เธอได้เจอชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังถูกสัตว์ประหลาดลุมล้อมอยู่ เธอจึงเขาไปช่วยแล้วได้รู้ว่าชายหนุ่มชื่อ “เซวิล” (Zevil) ซึ่งเป็นชาวหมู่บ้านริดโรจเช่นเดียวกัน แต่ประกอบอาชีพพ่อค้าพเนจรเลยไม่ค่อยได้อยู่ที่หมู่บ้านมากนัก 

ซึ่งเซวิลก็เหมือนจะรู้จักกับดาบที่เฟรย่าใช้อยู่ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเฟรย่ามากนัก แค่บอกว่าเขามาตามหาน้องสาวที่หนีออกจากบ้านมา และเฟรย่าก็รู้สึกคุ้นๆ หน้าอีกด้วย แต่ก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันคงเคยเห็นผ่านๆ มาบ้าง แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันไป

หลังจากอยู่ในอุโมงค์ใต้พิภพมานาน เฟรย่าก็ยังคงหาทางออกไม่พบ แต่ดันไปพบเซวิลที่กำลังหาทางออกเช่นกัน แต่เห็นบ่นๆ ว่าข้างล่างที่ยืน เขาจำได้ว่ามีทางไปต่อ แต่ตอนนี้กลับหาไม่พบ เห็นแต่เป็นพื้นหิน ทั้งสองจึงหาทางออกไปด้วยกัน 

ตลอดทางเซวิลได้เห็นเฟรย่าต่อสู้ด้วยความแค้น จึงเอ่ยป่าเตือนให้ทิ้งความแค้นไปเถอะ คนในหมู่บ้านก็น่าจะคิดเช่นเดียวกับตน แต่เฟรย่าก็ไม่เชื่อเซวิลที่แม้เป็นคนหมู่บ้านเดียวหันแต่ไม่เคยกลับหมู่บ้านเลย จะมาเข้าใจตนได้อย่างไร หลังจากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายกันไปทางใครทางมัน

การที่เฟรย่าบุกตะลุยมาตลอดทางทำให้จำเป็นต้องใช้พลังของดาบ เอเทอร์นอล เบลด ไปเป็นจำนวนมากจนมีอาการวิงเวียนศรีษะเล็กน้อย เวอร์เนียที่เห็นอาการเช่นนั้นจึงเอ่ยเตือนว่าการใช้พลังย้อนเวลานั้น สามารถใช้ได้เพียง 10 วินาทีเท่านั้น แต่หากใช้เกินกว่านั้นล่ะก็จะความจำเสื่อมและเสียชีวิตในที่สุด

คืนนั้นเฟรย่าได้ฝันถึงชีวิตเมื่อตอนอยู่ในหมู่บ้าน นึกไปถึงเด็กสาวถือดอกไม้อันงดงามแสนอ่อนหวาน แต่ทันใดนั้น เบลาดิมได้บุกเข้ามา เฟรย่าได้เข้าปะทะถ่วงเวลาแต่สุดท้ายก็ถูกโจมตีจนสลบไป ฟื้นมาอีกครั้งก็เห็นฉากไฟไหมหมู่บ้านครั้งใหญ่ อีกทั้งเบลาดิมกำลังลงมือฆ่าสาวน้อยคนนั้นอยู่ แต่สุดท้ายเฟร่ย่าก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวสลบไป

ในระหว่างที่เฟรย่าตะลุยเข้าไปในพงไพรพิศวง เฟรย่าได้เจอเข้ากับเซวิลอีกครั้ง ซึ่งเขายืนมองดอกไวท์วินอยู่เพราะน้องสาวของเขา “แครอล” นั้นชอบดอกไวท์วินมาก ที่น้องสาวเขาหนีออกจากบ้านก็เพราะเขาไม่เคยอยู่บ้าน ถ้าหากสามารถย้อนเวลาได้ เขาก็อยากจะกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง

ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงมหาพีระมิด ทั้งสามมุ่งลงไปตามหาชิ้นส่วนสุดท้ายของ เอเทอร์นอล เบลด เฟรย่ากับเซวิลไปเจอชิ้นส่วนบนแท่นที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของพีระมิด แต่ในขณะที่จะเก็บนั้นเอง ก็มีตัวตุ่นมาขโมยมันและวิ่งหนีไป ทั้งสองจึงวิ่งไล่ตามไปเอาชิ้นส่วนคืน  

สุดท้ายเฟรย่าก็ได้ชิ้นส่วนสุดท้ายคืนมา เมื่อติดตั้งลงไปก็ทำให้โลกสั่นไหวสะเทือนเลื่อนลั่น โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ประตูสู่มิติเวลานิรันดร์ได้เปิดออกดูดเฟรย่าและเซวิลเข้าไป

ทั้งสองคนมาโผล่ยังมิติเวลานิรันดร์ หลังจากที่ตั้งสติได้ เวอร์เนียติดต่อมาทางโทรจิตเนื่องจากเธอไม่สามารถเข้ามาด้วยได้ ซึ่งสิ่งที่เธอบอกนั้นคือให้เฟรย่านำดาบไปอาบน้ำพุเวลาศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะสามารถทำให้ดาบนั้นสามารถลบล้างอาคมของคฑาแห่งบราสทาร์ 

หลังจากค้นหาอยู่นาน เฟรย่าก็รู้สึกคุ้นเคยกับเส้นทางที่กำลังจะไปเหมือนเคยเดินผ่านมาก่อน ซึ่งพอเฟรย่าลงไปก็รู้ว่าที่นี้นั้นเป็นคุกที่ขังชายชราสวมผ้าคลุมลึกลับนาม “เบอนาร์ด” (Bernard) เอาไว้และเขายังทำถ้าเหมือนกับรู้จักเฟรย่าอีกด้วยเพราะเขาเคยเจอเฟรย่ามาหลายครั้งจนเขาขี้เกียจตอบคำถามเฟรย่าแล้ว เขาเล่าให้เฟรย่าฟังว่าเขาเป็นคนแรกที่ขโมย เอเทอร์นอล เบลด ออกมาใช้จนโดนจับขังไว้ที่นี่ แต่เขาก็เคยเล่าเรื่องนี้ให้เฟรย่าฟังไปแล้วแต่เฟรย่าจำไม่ได้ ซึ่งเขารู้ว่าการเดินทางย้อนเวลาทำให้ความจำเสื่อมหรือตายได้ 

เขาจึงแนะนำให้เฟรย่าไปหาผลึกความทรงจำมาติดตัวไว้ เพื่อที่เวลาย้อนเวลากลับไปจะได้ความจำไม่เสื่อม และเขายังให้กุญแจที่เก็บมันมาอีกด้วย แต่ดันจำไม่ได้ว่ามันอยู่ที่ไหนรู้แต่ว่าที่นั้นฝนตกอยู่ตลอดเวลา

ขณะที่สำรวจอยู่เฟรย่าได้ถูกล้อมด้วยผู้คุมมิติเวลาเนื่องจากการทำผิดกฎแห่งเวลาของเฟรย่า แต่เฟรย่าก็ไม่สามารถฆ่าผู้คมที่สามารถควบคุบพลังแห่งกาลเวลาได้ จนเซวิลที่ออกไปสำรวจกลับมาพร้อมน้ำพุเวลาศักดิ์สิทธิ์ 

ซึ่งสามารถทำให้เฟรย่าเอาชนะผู้คุมมิติกาลเวลาได้ในที่สุด แต่การหายไปของผู้คุมกาลเวลาก็ทำให้มิติเวลาไม่เสถียรทำให้เกิดรอบแตกขึ้นมาและเซวิลซึ่งไม่ทันระวังตัวถูกดูดหายเข้าไป เวอร์เนียที่รู้ข่าวก็บอกว่าคงช่วยอะไรไม่ได้ ทำให้เฟรย่าเสียใจมาก

เฟรย่าเดินหน้าต่อไปยังปราสาทของเบลาดิม แต่ก่อนจะไปถึงก็เกิดมหาพายุเกิดขึ้นล้อมรอบปราสาทของเบลาดิมเอาไว้ ซึ่งการจะกำจัดพายุ เราจะต้องไปกำจัดมือขาวของเบลาดิมหรือก็คือเทพมารสายฝนซะก่อน เฟรย่าจึงตะลุยปราสาทเข้าไปเผชิญหน้ากับเทพมารสายฝน ด้วยความขี้โม้คนของเทพมารสายฝน เฟรย่าจึงได้รู้จุดกำเนิดของเบลาดิม 

เด็กชายซึ่งสามารถหลบหนีจากโจรที่ฆ่าล้างทั้งครอบครัว เด็กชายระหกระเหินหลบหนีเข้าไปในป่าทึบจนพบเจอกับหมอกประหลาด ซึ่งได้หมอบพลังให้กับเขาแลกกับความรู้สึกประหลาดที่หมอกไม่เคยเจอจากสัตว์ป่าชนิดใดมาก่อน เด็กชายเติบโตเป็นชายหนุ่ม เขาได้ตามไปล้างแค้นโจรที่ฆ่าครอบครัวของเขา 

หลายปีผ่านไป เขาได้กลายเป็นกษัตริย์ทรราช ก่อสงครามเข่นฆ่าไปทั่ว นำมาซึ่งความทรมาน  ความเกลียดชัง และอาฆาตแค้น ล้วนถูกหมอกดำดูดซบเข้าไปจนสิ้น และกลายมาเป็นเบลาดิม จ้าวแห่งหมอก ซึ่งสถิตอยู่ ณ ปราสาททมิฬกาฬ ปราสาทที่กษัตริย์ทรราชได้สร้างขึ้น

เฟรย่าที่มายืนอยู่หน้าปราสาทเบลาดิมก็คิดว่าห้องลับของเบอร์นาดน่าจะอยู่ที่นี่ เพราะฝนตกตลอดเวลา หลังจากตามหาอยู่นานจึงพบเข้ากับกำแพงห้องลับ ในนั้นมีผลึกแห่งความทรงจำที่เฟรย่าตามหาอยู่ เฟรย่าจึงเก็บมาก่อนไปสู้เบลาดิม

เซวิลที่โดนดูเข้าไปในช่องว่างกาลเวลาก็รอดมาได้ เมื่อฟื้นขึ้นมาสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าเป็นแท่นศิลาสามใบดาบ เมื่อเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นเป็น เอเทอร์นอล เบลด ซึ่งจากสามแท่น อดีต ปัจจุบัน อนาคต ส่วนของอดีตหายไป ซึ่งก็น่าจะอยู่ในมือของเฟรย่า ซึ่งเซวิลก็รู้อย่างแน่นอนว่าเมื่อมีคนขโมยมันไปได้ จะต้องมีทางออกจากที่นี้แน่ๆ 

หาไปหามาก็ไปเจอกระจกแห่งห้วงเวลาสะท้อนอดีตและอนาคต เซวิลจึงลองส่องดูหน่อย ก็เห็นเป็นภาพเฟรย่ากำลังถูกเบลาดิมฆ่า เซวิลตกใจเผลอตะโกนออกมาว่าข้าจะไม่ให้ผิดพลาดเป็นครั้งที่สองแล้วรีบวิ่งออกไป

ด้านเฟรย่าที่กำลังปะทะกับเบลาดิมก็ได้รู้ว่าเบลาดิมไม่ได้มีคฑาอันเดียว แต่มีถึงสองอัน อันหนึ่งลบอดีตทำให้ไม่บาดเจ็บ อันหนึ่งลบอนาคตทำให้โจมตีโดนทันที สุดท้ายเฟรย่าก็ไม่สามารถสู้ได้และกำลังถูกเบลาดิมฆ่า เฟรย่าขอให้เวอร์เนียช่วย แต่เวอร์เนียกลับบอกว่ามันควรเป็นแบบนี้แหละ ถูกแล้ว 

แต่ขณะที่เฟรย่าสิ้นหวัง เซวิลก็กระโดดเข้ามาช่วยเฟรย่าโดยใช้พลังของเอเทอร์นอล เบลดย้อนเวลากลับไปยังอดีตก่อนที่หมู่บ้านจะถูกทำลาย พร้อมกันนั้นเซวิลได้เล่าถึงสิ่งที่เขาไปเจอมาหลังโดนดูดเข้าช่องว่างแห่งกาลเวลาไป ทั้งยังบอกความจริงว่าน้องสามของเขาแครอลได้ตายไปนานแล้วพร้อมกับทุกคนในหมู่บ้าน เขาจึงจะให้เฟรย่าย้อนกลับไปช่วยน้อง แม้เขาจะต้องสละชีวิตก็ตาม เซวิลที่ออกตามหาวิธีชุบชีวิตแครอลก็พบบันทึกเกี่ยวกับเอเทอร์นอล เบลดตอนนั้น

แต่สุดท้ายความหวังของเซวิลก็ไม่เป็นจริง พลังชีวิตเซวิลได้หมดลงก่อน เฟรย่าจึงโผล่มาหลังจากหมู่บ้านริดโรจเกิดเพลิงไหม้ เฟรย่าจึงได้รู้ว่าตอนนี้ตัวเองโผล่ออกมาและได้รับดาบจากชายที่ตัวเองจำไม่ได้นั้นก็คือเซวิลนั้นเอง ครั้งนี้ด้วยการที่เฟรย่ามีผลึกความทรงจำ จึงทำให้เฟรย่าความจำไม่หายไปซึ่งเป็นผลกระทบจากการย้อนเวลามากเกินไป เฟรย่าจึงตั้งเป้าหมายเพื่อตามหากระจกที่เซวิลเล่าให้ฟังเพื่อหาวธีรักษาชีวิตของเซวิลและแครอลเอาไว้

ซึ่งเหตุการณ์ต่อมาที่ได้เจอกับเวอร์เนียก็เหมือนเดิมทุกอย่าง แต่เฟรย่าก็ไม่ค่อยเชื่อใจเวอร์เนียเหมือนเดิม ต่อมาเมื่อเจอกับเซวิล เฟรย่าก็ไม่ยอมพูดดีด้วยและซ่อนเอเทอร์นอล เบลด ไม่ให้เซวิลเห็นเพื่อไม่ให้เซวิลต้องมาพัวพันกับเหตุการณ์เดิมอีกครั้ง 

เมื่อเฟรย่าก็มาถึงหิน บริเวณที่เซวิลเคยสงสัยว่ามีทางไปแต่หาไม่เจอ เฟรย่าจึงคิดว่าตรงนี้ต้องมีทางไปต่อ จึงได้ทำลายหินที่ปิดทางทำให้ไปเจอเข้ากับประตูสู่มิตินิรันดร์ที่เซวิลเคยเข้าไป

เฟรย์ย่าออกตามหากระจกแห่งกาลเวลาในมิติเวลานิรันดร์  ที่เซวิลเคยพูดถึงจนพบ ภาพสะท้อนทำให้นักรบสาวมองเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ภาพวัฏจักรแค้นระหว่างเฟรย์ย่ากับเบลาดิมเกิดขึ้นอีกนับครั้งไม่ถ้วน ในแต่ละครั้งที่เธอพ่ายแพ้ก็ยิ่งทำให้พลังของเวอร์เนียแก่กล้าขึ้น จนในที่สุดเฟรย์ย่าก็สามารถโค่นเบลาดิมลงได้ แต่ความตายของมารม่านหมอกไม่ได้ให้ผลลัพธ์อย่างที่เธอหวัง นอกจากความแค้นที่เกาะกินจิตใจเธอจะไม่จางหายไปแล้ว หนำซ้ำยังมีแต่พอกพูนขึ้น เนื่องจากขุมพลังแห่งความมืดมนมหาศาลที่เดิมทีเคยสะสมอยู่ในร่างเบลาดิม ถ่ายโอนเข้าสู่ร่างของเฟรย์ย่า

เมื่อเห็นว่าแผนอันยาวนานราวนิรันดร์ของเธอสำเร็จเสียที เวอร์เนีย พันธมิตรปริศนาที่คอยเคียงข้างเฟรย์ย่ามาโดยตลอด จึงได้ทียุยงให้เธอใช้พลังมืดที่เพิ่งได้รับมาเพื่อหยุดต้นเหตุของความรวดร้าว ชิงชัง และโกรธา ที่ล้วนถือกำเนิดขึ้นมาจากจิตใจมนุษย์ ถึงตอนนี้ เฟรย์ย่ายอมทำทุกอย่างเพื่อหยุดความทรมานที่มี กลายเป็นเครื่องมือเก็บเกี่ยวชิ้นใหม่ของม่านหมอกแทนที่เบลาดิม

เวลาผ่านไปอีกสิบปี…  โลกยังคงอยู่ในกลียุค จะผิดก็แต่ผู้ครอบครองกองทัพแห่งความมืดที่เปลี่ยนมือ จากเบลาดิม กลายเป็นราชินีมารภายใต้ชุดคลุมเบาบางสีม่วง ถือคฑายาวลวดลายวิจิตร ใบหน้าที่ซุกซ่อนภายใต้หน้ากากก็คือ เฟรย์ย่า ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงภาพอนาคตที่สะท้อนออกมาจาก กระจกแห่งกาลเวลา…

เฟรย์ย่าเข้าใจแล้วว่า ที่แท้… เวอร์เนียก็คือตัวเธอเองในอนาคต ที่ย้อนเวลากลับมาทำทีเป็นช่วยเหลือเธอ นำทางให้เธอโค่นล้มเบลาดิมลงให้ได้ ไม่ว่าจะต้องพยายามสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง  เพื่อที่จะให้เฟรย์ย่าดูดกลืนพลังมืดของเบลาดิม จนกลายเป็นตัวเธอ เวอร์เนีย ราชินีมารในอนาคต เพราะหากเฟรย์ย่าไม่สามารถโค่นเบลาดิมได้ ตัวเวอร์เนียก็ไม่อาจมีตัวตนขึ้นมาได้เช่นกัน

แวบแรก เฟรย์ย่าคิดจะเอาความจริงที่ตนเห็นในกระจกไปเผชิญหน้ากับเวอร์เนียให้รู้เรื่อง เธอจึงลองส่องกระจกดูว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้า… “เธอเอาความจริงที่เห็นนี้ไปเผชิญหน้ากับเวอร์เนีย”

เมื่อเฟรย์ย่า หุ่นเชิดของเธอล่วงรู้ความจริง ปฏิเสธที่จะเดินตามแผนล่าเบลาดิม เวอร์เนียจึงอัญเชิญเอเทอร์โน เบลดของเธอออกมา ใช้พลังงานมหาศาลที่เธอได้มาจากร่างเบลาดิม ส่งเฟรย์ย่าย้อนกลับไปเมื่อ 7วันก่อน ให้วัฏจักรเดิมหมุนวนใหม่ ซึ่งผลข้างเคียงของการย้อนเวลาทำให้เฟรย์ย่าหลงลืมความจริงทั้งหมด กลับไปเป็นหุ่นเชิดของเวอร์เนียอีกครั้ง

เฟรย่าไม่รู้จะทำยังไงดีกับภาพที่เห็น จึงไปตามหาเบอนาร์ด  เบอนาร์ดย้ำว่า ก่อนที่จะเอาความจริงไปเผชิญหน้าเวอร์เนีย  เฟรย์ย่าต้องมีพลังที่ทัดเทียมกับเวอร์เนียเสียก่อน ซึ่งการจะได้พลังมหาศาลขนาดนั้นมีอยู่คือ โค่นล้ม ‘ราชันย์แห่งเวลา’ (The Chrono Lord) ผู้ตั้งกฎแห่งเวลา และยังเป็นผู้ประดิษฐ์เอเทอร์โน เบลดอีกด้วย 

เฟรย์ย่าจึงเดินทางไปพบกับราชันย์แห่งเวลา พอราชันย์แห่งเวลารู้ว่าเฟรย่าขโมยเอเทอร์โน เบลดของเขาไปใช้ ซ้ำยังกล้ามาขอพลังเพิ่ม จึงลงทัณฑ์เฟรย์ย่าทันที แต่เฟรย่าก็สามารถโค่นราชันย์แห่งเวลาและได้ขุมพลังที่ต้องการมาครองสมใจ

เฟรย่าที่ต้องการย้อนกลับไปก่อนเหตุการณ์หมู่บ้านไฟไหม้จึงวางแผนกลับไปเผชิญหน้ากับเวอร์เนียทันที ราชินีมารพอรู้ว่าความแตก ก็คิดใช้พลังของเอเทอร์โน เบลดส่งเฟรย์ย่ากลับไปวนวัฏจักร 7 วันอีกครั้ง เหมือนที่เห็นในกระจกแห่งกาลเวลา แต่เฟรย่าที่พลังกลายเวลาเพิ่มขึ้นกลับต้านทานพลังของเวอร์เนียได้และเปลี่ยนจุดหมายปลายทางที่ถูกส่งไปยังอดีต

เฟรย่าโผล่มาในอดีตก่อนที่เบลาดิมจะเข้าโจมตีหมู่บ้าน เฟรย่าจึงเข้าปะทะกับเบลาดิมในการปะทะครั้งสุดท้าย หลังจากการต่อสู้อยู่นานสุดท้าย เฟรย่าก็จบชีวิตของเบลาดิมลงได้ในที่สุด แม้อนาคตถูกเปลี่ยน ตัวตนกำลังจะสูญสลาย เวอร์เนียก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใด เฟรย์ย่าถึงได้ปฏิเสธพลังอำนาจ ปฏิเสธที่จะเป็นราชินีมารอย่างเธอ พอได้เห็นรอยยิ้มเปี่ยมสุขบนสีหน้าของเฟรย์ย่า เวอร์เนียจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เธอเองก็เคยมีใบหน้าเปี่ยมสุขเช่นนั้นมาก่อน… แต่ความสุขที่ว่า ได้ถูกความชิงชังเข้ามากลบลบไปนานแล้ว ตัวตนของเวอร์เนียสูญสลายไปพร้อมกับคำตอบ

เฟรย่าเหม่อมองภาพความสงบสุขของหมู่บ้านที่เธอเห็นทุกวันจนชินตา ภาพแครอลในชุดกระโปรงบาน พร้อมกลิ่นละมุนของดอกวายุขาวช่อโปรดที่ติดตัวเธอไปด้วยทุกที่ ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วหมูบ้าน ภาพเซวิลโบกมือทักทาย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

เฟรย่า เดินทางมายังแท่นศิลาสามใบในมิติเวลานิรันดรเพื่อคืนเอเทอร์โน เบลด แต่ที่ไตรศิลาแท่นกลางกลับว่างเปล่า เอเทอร์โน เบลดชิ้นหนึ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย…

ในปี 1972 Vincent Moretti ถูกจองจำส่งตัวเข้าคุกในข้อหาฉ้อโกงและสังหาร ในคุกเขาได้พบกับลีโอนาร์ด "ลีโอ" คารูโซ ซึ่งขณะนี้อยู่ในคุกมาแล้วหกเดือนในข้อหาลักทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย และลักทรัพย์ด้วยอาวุธ 

ขณะอยู่ในโรงอาหาร “ฮาร์วีย์” หัวหน้าแก๊งอาชญากร ได้ส่งคนมาพยายามฆ่าลีโอ แต่วินเซนต์ก็เข้ามาช่วยไว้ได้ แต่ทั้งคู่ก็ต้องไปที่ห้องพยาบาล ขณะที่อันธพาลถูกทุบตีจนตายหลังจากแทงและสังหารผู้คุมในเรือนจำ 

ตอนอยู่ในห้องพยาบาล ลีโอขอความช่วยเหลือจากวินเซนต์เพื่อขโมยสิ่วจากสำนักงาน วินเซนต์ก็ยอมช่วย หลังจากการโจรกรรมวินเซนต์รู้สึกว่าลีโอกำลังวางแผนหลบหนีและเสนอตัวจะช่วย ลีโอปฏิเสธในตอนแรก แต่ยอมร่วมมืออย่างไม่เต็มใจเมื่อวินเซนต์เปิดเผยว่าเขาไม่พอใจฮาร์วีย์เช่นกัน

ลีโอและวินเซนต์ดำเนินแผนการหลบหนี ขโมยผ้าปูที่นอนเพื่อทำเชือก และลักลอบนำประแจมาเปิดตะแกรง ทั้งสองหนีออกจากคุกในคืนที่ฝนตกโดยใช้การทำงานเป็นทีม 

หลังจากหลบเลี่ยงตำรวจในป่า ทั้งสองก็พบแคมป์ไฟและตกปลาเพื่อทำอาหาร วินเซนต์เล่าว่าเขาเคยเป็นนายธนาคาร และฮาร์วีย์ให้เงินเขาฟอกเงินก่อนที่จะฆ่าพี่ชายของเขาและใส่ร้ายป้ายสีวินเซนต์ในคดีฆาตกรรม 

ลีโอเริ่มเล่าเรื่องราวของเขาแต่ถูกขัดจังหวะเมื่อมีเฮลิคอปเตอร์ตำรวจบินผ่าน ทำให้ทั้งคู่ต้องหนีกันอีกครั้ง ต่อมาพวกเขาพบบ้านของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ทั้งสองจึงขโมยเสื้อผ้าใหม่ ปืนลูกซอง และรถบรรทุก ก่อนจะหลบหนีตำรวจที่ไล่ตามมา 

สุดท้ายรถก็ชน จึงต้องหนีลงเรือพายหนีเอาชีวิตรอด หลังจากรอดชีวิตจากน้ำตก ทั้งคู่ก็พบกับบ้านคน ลีโอจึงเล่าว่าเขาและฮาร์วีย์ได้ขโมยอัญมณีล้ำค่าที่ชื่อว่า Black Orlov แต่เมื่อลีโอพยายามขายมัน ฮาร์วีย์ได้ทรยศเขาด้วยการฆ่าผู้ซื้อและหลบหนีไปกับอัญมณีนั้น ทำให้ลีโอถูกส่งเข้าคุก

ที่ลานจอดรถในเมือง ลีโอได้ยืนยันความปลอดภัยของลินดาภรรยาและอเล็กซ์ลูกชายของเขา ก่อนที่จะไปที่ไซต์งานก่อสร้างกับวินเซนต์เพื่อพบเรย์ ลูกน้องคนหนึ่งของฮาร์วีย์ที่ทำงานเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้าง 

หลังจากการไล่ล่าอันยาวนานไปได้ตึกก่อสร้าง พวกเข้าสามารถจับและสอบสวนเรย์เพื่อหาที่อยู่ของฮาร์วีย์ ซึ่งพวกเขาพบว่าอยู่ที่เม็กซิโก ทั้งคู่วางแผนแก้แค้นฮาร์วีย์ โดยปล้นปั๊มน้ำมันเพื่อซื้อปืนจากจัสมินพ่อค้าอาวุธ 

เมื่อทั้งสองจากไป จัสมินทรยศพวกเขาโดยมอบตำแหน่งของพวกเขาให้ฮาร์วีย์ ต่อมาวินเซนต์ได้โทรหาเอมิลี และเกลี้ยกล่อมให้เธอพาบินไปส่งที่เม็กซิโก จากนั้นเขาก็ได้รู้จากเธอว่าแครอลภรรยาของเขาเพิ่งผ่านการคลอดบุตร 

ทั้งคู่ตกลงไปโรงพยาบาล ขณะนั้นนักฆ่าที่ฮาร์วีย์ส่งมาได้บุกเข้าจู่โจมพวกเข้า ซึ่งพวกเขาก็จัดการนักฆ่าไปได้ พวกเขาจึงไปที่โรงพยาบาลต่อ และวินเซนต์ก็ได้พบกับจูลี่ ลูกสาวที่เพิ่งเกิดของเขา แต่ก็ถูกบังคับให้หนีไปขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมโรงพยาบาลเอาไว้ ลีโอถูกจับแต่สามารถหลบหนีได้ด้วยความช่วยเหลือจากวินเซนต์

วันรุ่งขึ้นวินเซนต์และลีโอมาพบกับเอมิลี่ที่โรงเก็บเครื่องบิน เธอได้พาพวกเขาไปเม็กซิโก ทั้งสองเดินมางไปคฤหาสน์ของฮาร์วีย์ การผจญฝ่าดงกระสุนได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากต่อสู้กับผู้คุ้มกันของฮาร์วีย์และฮาร์วีย์เอง 

ทั้งสองก็เอาชนะฮาร์วีย์ไปได้และบังคับให้เขาเอาอัญมณีมาคืน วินเซนต์และลีโอหลบหนีไปพร้อมกับอัญมณีด้วยเครื่องบินของเอมิลี่กลับไปยังสหรัฐฯ 

แต่สุดท้ายก็ถูกตำรวจล้อมจับทันทีเมื่อลงจอด เจ้าหน้าที่นำอัญมณีจากลีโอไปและยื่นปืนให้กับวินเซนต์ ความจริงถูกเปิดเผยว่าทั้งเขาและเอมิลี่เป็นสายลับเอฟบีไอนอกเครื่องแบบ เป้าหมายคืออัญมณีของลีโอและฮาร์วีย์ โดยผู้ซื้อที่ถูกฆ่าตายที่ลีโอเล่าคือแกรี่ พี่ชายของวินเซนต์

ด้วยความรู้สึกถูกหักหลัง ลีโอจึงจับวินเซนต์เป็นตัวประกันและจี้รถตำรวจเพื่อหลบหนี ขณะพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางบนถนนของตำรวจ เขาทำให้รถชนจนจมน้ำ 

ทั้งสองหนีออกจากรถที่จมน้ำ ลีโอขโมยเรือขณะที่วินเซนต์ถูกเอมิลี่หยิบขึ้นมาในเฮลิคอปเตอร์ตำรวจ หลังจากการไล่ล่าที่วินเซนต์พยายามทำลายเครื่องยนต์ของเรือ ลีโอก็กระโดดออกไปก่อนที่มันจะชนเข้ากับถังเชื้อเพลิง ลีโอวิ่งหนีเข้าไปในโกดังริมท่าเรือ 

ทั้งเธอและวินเซนต์ไล่ล่าลีโอเข้าไปข้างใน ลีโอพยายามซุ่มโจมตีเอมิลี่และขโมยปืนของเธอไป เป็นการต่อสู้ระหว่างเขากับวินเซนต์ การดวลปืนจบลงโดยชายทั้งสองได้รับบาดเจ็บ หมดแรงอยู่บนหลังคา เมื่อเห็นปืนกระบอกหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ ทั้งคู่ก็พยายามจะเอื้อมมือไปหยิบ แต่มีปืนเพียงกระบอกเดียว ทั้งสองแบ่งปันช่วงเวลาแห่งมิตรภาพครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถูกยิงเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บ

ถ้าวินเซนต์ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะแจ้งลินดาถึงการเสียชีวิตของลีโอก่อนจะกลับไปหาแครอล เพื่อชดเชยชีวิตแต่งงานของพวกเขาและเลี้ยงดูลูกสาวด้วยการลาออกจากการเป็นตำรวจ

ถ้าลีโอรอดชีวิต เขาจะนำจดหมายขอโทษของวินเซนต์ไปส่งให้แครอล จากนั้นจึงออกจากเมืองไปพร้อมกับครอบครัวในขณะที่งานศพของวินเซนต์กำลังจัดขึ้น

เรื่องเริ่มต้นด้วยความฝันของนอร่าห์ ที่เธอได้ดำพุดดำว่ายอยู่ในใต้ทะเลลึก ด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคยเหมือนเธอเคยอยู่ที่นี้มาก่อน สุดท้ายเธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาในเรือ การเดินทางครั้งนี้เกิดจากการที่ นอร่าห์ เอเวอร์ฮาร์ต ได้รับมีดหินแปลกๆ และกุญแจ พร้อมรูปถ่าย แฮร์รี่สามีของเธอ พร้อมคำใบ้ชี้ไปยังเกาะ 74 ไมค์ทะเลตะวันออกของโอตาฮิติ(ตาฮิติ) แฮร์รี่หายตัวไปหลังจากออกสำรวจเพื่อค้นหาวิธีรักษาความเจ็บป่วยลึกลับของนอร่าห์ ซึ่งโรคนี้กำลังฆ่าเธออย่างช้าๆ นอร่าห์เดินทางไปที่เกาะ ซึ่งเธอเคยฝันถึงซ้ำๆ 

บนเกาะ เธอพบค่ายที่ทีมสำรวจใช้ ซึ่งประกอบด้วยแฮร์รี่ นักข่าว Cassandra Ward ช่างเครื่อง Frank Dayton แพทย์ผิวหนัง Ernest De Witt สตันต์แมน Roy Granger และ Teaharoa มัคคุเทศก์ชาวตาฮิติ

คณะสำรวจได้พบบ่อน้ำที่ชาวเกาะใช้ทำพิธีกรรมเกี่ยวกับน้ำแปลกๆ สีดำ รอยใช้ไดนาไมต์ระเบิดบ่อน้ำทำให้เกิดอบัติเหตุทำให้เขาตาย และทำให้น้ำสีดำกระเด้นถูกมือของเดอวิตต์ จากนั้นเดอวิตต์ก็เริ่มเสียสติและเกิดรอยด่างบนผิวหนังคล้ายกับของนอร่าห์ ทีมงานได้พยายามที่จะช่วย  แต่ไม่ได้สนใจอีกหลังจากที่เรือ Lady Shannon ที่พาพวกเขามาเกยบนฝั่ง

นอร่าห์ได้ลองแก้ปริศนาพิธีกรรมและทำให้บ่อมีน้ำสีดำไหลออกมาท่วมตัวเธอ เธอได้ประสบกับนิมิตที่เธอเดินจากหน้าผาลงไปในแม่น้ำ ขณะเฝ้าดูสิ่งมีชีวิตรูปร่างสะเทินน้ำสะเทินบกขนาดยักษ์ และพบว่าตัวเองกลายเป็นสัตว์ทะเล

นอร่าห์ตื่นขึ้นมาใกล้กับเลดี้แชนนอนที่เกยตื้น และพบว่ามันถูกฉีกเป็นชิ้นด้วยกรงเล็บขนาดใหญ่ โดยที่ลูกเรือหายไปทั้งหมด นอร่าห์พบว่าคณะสำรวจได้ตั้งค่ายอีกแห่ง และเดอ วิตต์ ซึ่งตอนนี้เป็นคนวิกลจริต ได้แทงแฟรงก์ แต่ถูกหยุดไว้ได้และโดนจับมัดไว้ เขาได้หายตัวไปในเวลาต่อมา 

ทีมงานได้ค้นพบสัญลักษณ์ที่แกะสลักบนหินและใช้มันเพื่อเปิดทางเดินไปยังวิหารบนยอดเขาของเกาะ นอร่าห์เดินทางไปที่วิหาร ซึ่งคณะสำรวจได้ใช้ลำโพงเพื่อขยายเสียงออร์แกนเพื่อเปิดประตูวิหาร ซึ่งมันทำให้เกิดหินถล่มลงลม ในขณะที่แฟรงค์ก็ยอมรับกับชะตาจากการถูกแทงของเขา 

หลังจากที่นอร่าห์ซ่อมลำโพงได้แล้ว นอร่าห์ก็สลบไปและฝันเห็นทะเลทรายที่รายล้อมไปด้วยกระดูกของสัตว์ทะเล และกล่องดนตรีของแม่ซึ่งเล่นเพลงออร์แกน นอร่าห์ร้องเพลงนี้เพื่อเปิดวิหาร และพบข้อความจากแฮร์รี่ที่อธิบายว่าเธอไม่ได้ป่วย แต่มันคือการกลายพันธุ์

นอร่าห์พบประตูที่ช่วยให้เธอแปลงร่างเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกได้ เธอมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งชาวเกาะเคยอยู่ ในสถานะ 'ทาส' ของเจ้านายปริศนา นอร่าห์พบข้อความจากแฮร์รี่ที่อธิบายว่าเจ้านายพาทาสของตนไปที่ 'สถานศักดิ์สิทธิ์' เพื่อให้การกลายพันธุ์สมบูรณ์ ซึ่งเขาตั้งใจจะรับสิ่งนี้และกลายเป็นเหมือนนอร่าห์ เพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป 

สิ่งนี้นำไปสู่การโต้เถียงระหว่าง Cassandra และ Teaharoa ซึ่งทำให้คนหลังออกจากเกาะไป นอร่าห์เดินทางไปที่สถานศักดิ์สิทธิ์ ค้นหาสัตว์ทะเลที่ปฏิบัติต่อเธอด้วยความคุ้นเคย นอร่าห์ยังรู้สึก “กระปรี้กระเปร่า” ในเกาะมากกว่าที่เธอเคยมี

ที่สถานศักดิ์สิทธิ์ เธอพบข้อความจากแฮร์รี่ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะเสียสติไป นอร่าห์รีบเข้าไปในห้องบัลลังก์ และพบศพกลายพันธุ์ โดยมีแว่นตาของแฮร์รี่วางอยู่ข้างๆ 

นอร่าห์รู้ว่าร่างนี้เป็นของแคสแซนดรา ผู้ซึ่งปรารถนาความเป็นอมตะของสัตว์ทะเล เธอได้ยิงแฮร์รี่ และพยายามที่จะแปลงร่างเป็นพวกมัน และเสียชีวิตในระหว่างการกลายพันธุ์ แฮร์รี่เข้าใจว่าพิธีกรรมจะไม่ได้ผลกับเขาและจากไป เขาได้ส่งพัสดุไปให้นอร่าห์ โดยแกล้งตายเพื่อพยายามทำให้เธอยอมรับการกลายพันธุ์และมีชีวิตอยู่ต่อไป

ตอนจบขึ้นอยู่กับทางเลือกของผู้เล่น นอร่าห์สามารถกลายพันธุ์หรือปฏิเสธได้ หากเธอกลายพันธุ์ เธอจะละทิ้งความเป็นมนุษย์และเดินทางไปยังเมืองใต้น้ำเพื่อชีวิตนิรันดร์ที่ดูเหมือนสนุกสนาน โดยที่ไม่ได้เจอแฮร์รี่อีกเลย ถ้าเธอปฏิเสธ เธอจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับแฮร์รี่ ในระหว่างการให้เครดิต นอร่าห์และแฮร์รี่ร้องเพลงโปรด Dear Old Pal of Mine ด้วยกัน ทั้งคู่จะจบเพลงหรือถูกขัดจังหวะด้วยอาการป่วยของนอร่าห์ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทางเลือก โดยไม่คำนึงถึงตอนจบ แฮร์รี่ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง และหลายปีต่อมา ตอนนี้เขาเป็นคณบดีด้านโบราณคดีที่มหาวิทยาลัย Miskatonic เขาครุ่นคิดว่าเขาตัดสินใจถูกต้องหรือไม่ในการโกหกนอร่าห์ในครั้งนั้น

Castle Crashers

เรื่องราวของ Castle Crashers มีพื้นฐานมาจากการผจญภัยของอัศวินตั้งแต่ 1 ถึง 4 คน เมื่อพวกเขาพยายามไล่ล่า Evil Wizard และกองทัพของเขาหลังจากที่พวกเขาขโมยคริสตัลเวทมนตร์ขนาดใหญ่และเจ้าหญิงสี่คนจากวัง เจ้าหญิงทั้งสี่แต่ละคนถูกจับโดยคนร้ายที่แตกต่างกัน คนแรกถูกจับโดยคนป่าเถื่อน อีกคนหนึ่งถูกจับโดยนักธุรกิจร่ำรวย ผู้สวมชุดสีม่วง แม้ว่าเขาจะสูญเสียเจ้าหญิงไป ขณะถูกอัศวินไล่ล่า เจ้าหญิงคนที่สามถูกมอบให้กับไซคลอปส์ และเจ้าหญิงองค์สุดท้ายถูกมอบให้กับพ่อมดน้ำแข็งที่กักขังเธอไว้ในปราสาทน้ำแข็งของเขาใน "โลกหิมะ" อันไกลโพ้น

อัศวินซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกษัตริย์และกองทหารของเขาในบางครั้ง ได้ฝ่าฟันสภาพแวดล้อมต่างๆ มากมาย และสามารถช่วยเหลือเจ้าหญิงที่ถูกลักพาตัวไปทีละคนได้ ระหว่างทาง พวกเขาถูกอัศวินเนโครแมนเซอร์ซึ่งทำงานให้กับ Evil Wizard เรียกโครงกระดูกอันเดดมาเพื่อขัดขวางพวกเขา และยังฟื้นคืนชีพไซคลอปส์หลังจากที่เขาพ่ายแพ้ หลังจากได้เอาชนะกองกำลังของ Evil Wizard และช่วยเจ้าหญิงไปได้สามในสี่ พวกเขาก็ไปถึงปราสาทของ Evil Wizard ซึ่งเขาเป็นคนจับเจ้าหญิงคนสุดท้ายไว้ 

ภายในปราสาทอัศวินต้องปราบจิตรกรแปลก ๆ ที่ใช้ภาพวาดของเขาเป็นอาวุธ ไซคลอปส์อันเดดและเนโครแมนเซอร์ผู้ที่เรียกศัตรูทุกตัวในเกมเพื่อจับอัศวินในครั้งเดียว และในที่สุด Evil Wizard เองที่ต่อสู้ในหลายรูปแบบ สุดท้ายในตอนจบอัศวินได้กลับบ้านด้วยการขี่คริสตัลเวทมนตร์ที่บรรทุกเจ้าหญิงคนสุดท้ายเพื่อเฉลิมฉลองกับตัวละครอื่นๆ ในเกม อย่างไรก็ตาม เมื่อพยายามจะจูบกับเจ้าหญิงคนสุดท้าย เรื่องก็ได้เปิดเผยให้เห็นว่าเธอคือตัวตลก

เปิดเกมมา ผู้เล่นจะอยู่กับพี่สาวของเขาบนเรือลำเล็กในทะเลเปิด พี่สาวของเขาถูกลักพาตัวไปโดยแมวขาวที่ไม่รู้จักซึ่งสวมหน้ากาก แมวขาวได้ทำลายเรือของผู้เล่น ปล่อยให้เขาติดอยู่ในทะเลและหายตัวไป ขณะที่ผู้เล่นหมดสติ พบว่ามีเครื่องหมายสีม่วงแปลก ๆ ที่ด้านหลังศีรษะ

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เล่นจะล้างตัวบนชายฝั่งของอาณาจักรเกาะ เฟลินการ์ด ซึ่งผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นแมว พวกเขามาพร้อมกับจิตวิญญาณที่เป็นมิตร สเพอร์รี่ ที่เปิดเผยว่าพวกเขาเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ของผู้เล่น สเพอร์รี่เปิดเผยว่ามังกรได้กลับมายังเฟลินการ์ดแล้ว และผู้เล่นต้องหยุดพวกมัน หลังจากเอาชนะศัตรูสองสามตัว สเพอร์รี่ แนะนำให้พวกเขาไปเยี่ยมผู้วิเศษ ซึ่งอาจรู้ว่าเครื่องหมายสีม่วงบนตัวผู้เล่นหมายถึงอะไร ผู้วิเศษเปิดเผยว่าเครื่องหมายเป็นสัญลักษณ์ของโลหิตมังกรกลุ่มนักรบที่เอาชนะมังกรเมื่อนานมาแล้ว แต่หายตัวไปอย่างลึกลับ นักเวทย์แนะนำว่าเนื่องจากผู้เล่นมาจากสายโลหิตมังกร พวกเขาจึงสามารถเรียนรู้เวทมนตร์ได้


แล้วจู่ๆ ก็มีวงเวทย์ประหลาดเกิดขึ้นมากลางเมืองหลวง พร้อมกับมีมังกรแดงออกมาอาละวาดทำลายเมือง  เราจึงได้เข้าไปต่อสู้จนเอาชนะมังกรแดงได้ในที่สุด  แล้วเราจะรู้ว่าแมวตัวที่จับพี่สาวเราไปชื่อว่า “ดราโคธ” และยังเป็นคนเสกพวกมังกรมาบุกเมืองอีกด้วย เราจึงต้องไปไล่ล่าตามดราโคธไป 

เราได้ไล่ล่าถามชาวบ้านมาเรื่อยๆ จนไปปะทะกับมังกรเพลิงอีกตัว และเห็นเงาของพี่สาว แต่สุดท้ายนั้นก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่ดราโคธสร้างขึ้น เราจึงไล่ตามต่อไปจนเจอสร้างปรักหักพังแห่งหนึ่ง ที่บันทึกเกี่ยวกับการทดลองหลอมรวมพลังของเหล่ามังกรเข้ากับแมวจนออกมาเป็นเหล่า “โลหิตมังกร” 

แล้วเราก็ได้รู้ข่าวเกี่ยวกับมังกรน้ำแข็งที่อยู่ ณ ทะเลสาบเฟลินการ์ด แต่เราจะต้องมีความสามารถเดินบนน้ำได้สะก่อน ถึงจะไปสู้กับมันได้  และยามยังได้บอกอีกว่าเราสามารถไปเรียนวิชา “ฝ่าเท้าเหนือวารี” ที่เมืองอุ้มเท้าเหมียวได้ เราจึงเดินทางไปร่ำเรียนวิชาแล้วเข้าไปต่อสู้กับมังกรน้ำแข็งจนเอาชนะมาได้

เมื่อเราได้ลองถามยามดูเราจะรู้มาว่ามีเมืองชื่อกังหันลมอยู่ และเราสามารถเรียนรู้วิชาการบินได้จากที่นั้นเราจึงตรงไปที่นั้นทันที แต่เราก็รู้ว่าเมืองนี้มีปัญหามากมายรอเราอยู่ และทำให้เราบินไม่ได้ แต่เราก็จะไปพบกับพุ่มไม้ประหลาดพูดได้ที่มันบอกเราว่าถ้าเราช่วยเหลือมัน มันจะทำให้เราบินได้ เมื่อเราลองช่วยเหลือเมืองนี้ไปสักพัก เราจะรู้ว่าที่ต้นไม้วิเศษมีปัญหาเพราะมีคนกลุ่มหนึ่งมาสกัดเวทย์บินออกมาจากต้นไม้จนเวทย์บินกลายเป็นอัญมณี

เราเอาอัญมณีมาแล้วเอาไปให้พุ่มไม้ประหลาด ความทรงจำของพุ่มไม้กลับมาทำให้เรารู้ว่า เมื่อนานมังกรได้มาเยือนโลกนี้และเหล่าแมวได้ขอความรู้เรื่องเวทย์จากเหล่ามังกรที่ยินดีจะมอบให้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนที่ต้องคอยช่วยเหลือเหล่ามังกร ยามที่มังกรต้องการ  

ต่อมาเกินเหตุการณ์ “ศึกมังกรชิงพิภพ” เกิดขึ้น จากเหล่ามังการที่หลบหนีมาหลบภัยที่โลกแห่งนี้ แต่ถูกโลหิตมังกรสังหารและแย่งชิงพลัง และเจ้าพุ่มไม้ตัวจริงคือมังกรที่โดนแย่งชิงพลังนั้นเอง

หลังจากเอาชนะมังกรได้ เราจะได้ความสามารถในการบินมา  เราจึงได้ไปจัดการมังกรตัวสุดท้ายที่ดราโคธเสกออกมา มังกรทมิฬ มังกรที่อยู่ในดงหนามซึ่งเราต้องบินข้ามไป หลังจากเราชนะ ดราโคธจะโทรจิตมาบอกให้เราไปหายังอุ้มเท้าเยือกแข็ง ถ้าอยากช่วยพี่สาว

สเพอร์รี่คิดว่านี้เป็นกับดักและให้เราไปฝึกฝนกับคนรู้จักเพื่อแข็งแกร่งก่อนไปสู้กับดราโคธ  ระหว่างเดินทางเราก็ได้ไปเจอซากปรักหักพักแล้วได้รู้ว่าผู้เฒ่าผู้สร้างโลหิตมังกรขึ้นมาชื่อ “เอเลียต” และหลังจากจบศึกมังกรชิงพิภพ เขาถูกหาว่าเป็นผู้ทรยศเนื่องจากไม่ยอมผนึกพลังของโลหิตมังกร เราจะได้รู้อีกว่า เอเลียตนั้นถูกผนึกอยู่ที่มิติศูนย์ และเหล่าโลหิตมังกรต้องการพลังเพื่อปลดผนึกที่นั้นและดราโคธก็เป็นโลหิตมังกรเช่นกัน

ที่อุ้มเท้าเยือกแข็งดราโคธได้เรียกมังกรทุกรูปแบบออกมาสู้กับเรา เราได้เอาชนะและตามเงาร่างของพี่สาวไป จนเข้าไปในปราสาทที่มิดมิด แล้วเราก็ได้รู้ความจริงว่าตัวเราเองนั้นไม่เคยมีพี่สาวมาก่อน  ทั้งหมดเป็นภาพลวงตาที่ดราโคธสร้างขึ้นเพื่อให้เราใฝ่หาความแข็งแกร่ง และเราก็ได้รู้ว่าที่สเพอร์รี่คอยช่วยแนะนำเรามาตลอดนั้นเป็นคำสั่งจากดราโคธเช่นเดียวกัน สิ่งที่ดราโคธทำมาทั้งหมดเพียงต้องการเลือดจากขั้วหัวใจของโลหิตมังกรที่แข็งแกร่งมาเป็นพลังเพื่อเปิดผนึกมิติศูนย์นั้นเอง

เมื่อเราเอาชนะดราโคธ มิติศูนย์ได้เปิดออก ....

ตัวเอกของเราสาวน้อย “อมิตา” กับสัตว์เลี้ยงตัวสีฟ้า “โปโป้” ได้แอบตาม “อาคิรา” พี่ชายมายังฐานลับต่อต้านรัฐบาล “ไลอา” ซึ่งกำลังวิจัยเกี่ยวกับเครื่องย้อนเวลาที่จะเอาไว้ย้อนกลับไปจัดการกับไลอา ก่อนที่จะขึ้นมาเป็นรัฐบาล เพื่อจะได้เปลี่ยนแปลงอนาคตให้ดีขึ้น

แต่ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ “กาย” ก็เข้ามาแจ้งว่ามีทหารรัฐบาลบุกเข้ามาในฐานลับ แต่ด้วยอาคิราสงสัยจึงได้เรียกเทพสืบสวนออกมาเพื่อพิสูจน์ว่าใครเป็นคนทำความลับรั่วไหล แล้วจีงได้รู้ว่ากายเป็นคนบอกรัฐบาลถึงที่อยู่ของฐานลับนี้

ถึงจะรู้ความจริงแต่ก็ไม่ทันทหารได้บุกเข้ามากราดยิง อาคิราจึงเอาตัวปกป้องอมิตาจนโดนยิงสาหัส สุดท้ายจึงได้พลักอมิตาเข้าไปในเครื่องย้อนเวลาแล้วเดินเครื่องแล้วฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้กับอมิตา ถ้าอมิตาสามารถแก้ไขอดีตได้จริง ทุกคนก็จะรอด

เครื่องข้ามเวลาได้พาอมิตามาในปี 2000 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเลือกตั้งที่ตั้งเป้าเอาไว้ถึง 20 ปี และเครื่องยังขัดข้องทำให้จะระเบิดตัวเองภายใน 8 ชั่วโมงอีก อมิตาจึงต้องไปตามหา ดอกเตอร์แอล ซึ่งเป็นคนสร้างเครื่องนี้ ให้มาช่วยซ่อมจึงได้เดินทางไปยังสถาบันที่เขาได้ทำงานอยู่ 

ขณะที่อมิตากำลังเดินสำรวจโรงเรียนอยู่ก็ไปเจอกับ “เซน” เด็กที่กำลังงัดห้องเก็บข้อสอบอยู่ เธอจึงได้เข้าไปพัวพันกับการทุจริตรับเงินสอบเข้า เราจึงได้รู้ว่าครูการินและรองผู้อำนวยการเป็นคนทำเรื่องพวกนี้

แต่ด้วยการเข้าไปพัวพันคดีนี้ ทำให้อมิตาตามหา ดร.แอล ไม่ทัน และเครื่องข้ามเวลาก็ระเบิด อมิตาจึงต้องเปลี่ยนเป้าหมายเป็นหา ดร. มาสร้างอีกเครื่องหนึ่งแทน ทั้งสองอมิตาและเซนจึงมาหา ดร.แอลที่โรงพยาบาลและได้ไปเจอคดีฆาตกรรมตัวแทนขายยาในโรงพยาบาล จนสาวไปถึงคดีทุจริตราคายาของโรงพยาบาล โดยการที่รัฐบาลไม่มีราคากลางยาอีกต่อไปทำให้โรงพยาบาลซื้อยาราคาสูงแล้วไปคิดราคากับคนไข้แพงๆ โดยหมอแมทธิวได้ใช้วิธีเบิกยาไปขายข้างนอกจากยาของคนไข้

อมิตาที่สามารถหาหมอมารักษา ดร.แอล ได้แล้ว เมื่อ ดร.หายจึงพามาดูซากเครื่องย้อนเวลา ดร. จึงไปแกะดูแล้วจะลองสร้างใหม่ อมิตามีเวลาว่างจึงไปหาดูว่าพ่อของตัวเองอยู่ที่ไหนจนได้ไปเที่ยวผับซาตานที่กำลังดังอยู่ในตอนนี้

ขณะที่มาผับดันเกิดคดีไฟไหมผับขึ้นมาจนผับโดนสั่งปิด แต่อีกวันก็เปิดได้อีกครั้ง จนทำให้อมิตาตาเข้าไปสืบคดีนี้จนได้รู้ว่า เสี่ยทอมได้จ่ายสินบนให้กับพนักงานตำรวจเป็นรถซูเปอร์คาร์ จนสามารถเปิดผับบนที่ดินใกล้โรงเรียนได้ และหัวหน้าซิมสันที่เป็นตำรวจรับสินบนดันเป็นพ่อของเซนอีกด้วย

เซนที่รับไม่ได้ที่พ่อต้องไปติดคุก เมื่อรู้ว่าอมิตามาจากอนาคตและมีเครื่องย้อนเวลาและกำลังจะใช้มัน เซนก็มีแย่งจะเอาไปใช้เพื่อแก้ไขอดีต แต่สุดท้ายอมิตาก็ใช้งานจนวาร์ปไปปี 2020 ได้สำเร็จแต่ก็ต้องเสียโปโป้ไป

เมื่อมาถึงอมิตาจึงกำลังหาโบจังที่พี่อาคิราบอกแต่ดันถูกสวมรอยจนเกือบถูกจับตัวไป และได้โบจังตัวจริงช่วยไว้และพาไปแอบที่วิหารเตโช จนทำให้อมิตาได้ไปรู้ว่าท่านซันผู้มีจิตใจดีและชาวบ้านรักแอบทุจริตเอาที่ดินบริจาคของวิหารไปขายทำเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่แม้จะเปิดโปงท่านซันไปแล้วแต่ชาวบ้านก็ไม่เชื่อจนต้องหนีออกมา

อมิตาและโบจังกลับไปหาเครื่องย้อนเวลาแต่เครื่องดันหายไปแล้ว เมื่อไปดูกล้องวงจรปิดร้านใกล้ๆ จึงเห็นว่ามีรถมายกไป โบจังจึงสงสัยไปที่ไลอาเพราะเขาเคยทำข้อมูลสำคัญหายไป 

อมิตาไปฟังปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งกับโบจังและสงสัยว่าผู้ลงสมัครคาร์เตอร์ต้องเป็นไลอาอย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะออกไปเปิดโปงอมิตาก็ถูกตำรวจรวบตัวไปก่อนข้อหาไปแอบดูกล้องวงจรปิดในร้านอาหารก่อนหน้านี้

อมิตาได้พบไลอาและสโลโบดันรวมถึงโดนข่มขู่จากนายพลไทกิ แต่อมิตาไม่ยอมคล้อยตาม นักข่าวที่ได้ยินที่คุยกันทั้งหมดจึงตัดสินใจช่วยอมิตาส่งข่าวออกไปข้างนอกเพราะเขากำลังจะได้ออกไป

อมิตาที่ได้โบจังประกันตัวออกมาได้คาร์เตอร์ช่วยให้สามารถเข้าไปในที่ต้องสถาบันเก่าของ ดร.แอล และไปพบห้องลับของ ดร.แอล และได้รู้ความจริงทั้งหมด ว่าไลอานั้นก็คือเซนนั้นเอง ที่ตั้งแต่วันนั้นได้หายตัวไปและกลับมาอีกครั้งพร้อมกับมาเฟีย มาข่มขู่ ดร.แอล ให้สร้างเครื่องย้อนเวลาให้กลับไปเปลี่ยนอดีต แต่ดร. ไม่ยอม ไลอาโกรธจนคลั่งเผาสถาบันจนวอดวายใต้กองเพลิง และดร. ยังเป็นคนเอาเครื่องย้อนเวลาไปเพื่อกันไลอาได้มันไป ดร. ยังให้เอาคลิปที่ถ่ายไลอาลงมือเผาที่นี่ไปใช้ประโยชน์ได้

แต่สุดท้ายไลอาก็รู้ความเคลื่อนไหวนี้และได้จับโปโป้ที่อมิตาได้ทิ้งเอาไว้เมื่อ 20 ปีก่อน เป็นตัวประกันทำให้อมิตาต้องยอมให้ไลอาใช้เครื่องย้อนเวลาเพื่อช่วยโปโป้ แต่ดร. ก็ได้บอกว่ายังมีเครื่องย้อนเวลาที่ไม่สมบูรณ์อยู่ที่ใช้ได้ครั้งเดียวไปแล้วก็จะติดอยู่ที่นั้นเลย อมิตาจึงตัดสินใจไปหยุดไลอาด้วยตัวเอง

เมื่อมายังอดีตอมิตาตัดสินใจไปหาพ่อของเซนเพื่อให้ไปห้ามเซนเพื่อไม่ให้งัดห้องสอบ ทำให้รู้ว่าการที่หัวหน้าซิมสันรับเงินเป็นเพราะจะเอาเงินมาพาเซนเข้าเรียน อมิตามาพาพ่อของเซนมาเจอเซนที่กำลังงัดห้องข้อสอบ

พ่อของเซนจึงอบรมเซนไปยกใหญ่ ซึ่งตอนนั้นไลอาได้มาได้ยินเข้าพอดีแล้วจึงคิดได้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปล้วนตรงข้ามกับสิ่งที่พ่อสอนไว้จึงเสียใจมาก และช่วยอมิตาเปลี่ยนอนาคต โดยยอมให้อมิตานั่งเครื่องกลับไปอนาคตแล้วตัวเองยอมติดอยู่ที่อดีตเอง

อมิตาที่กลับมาอนาคตและได้พบกับพี่อาคิราอีกครั้งก็รู้แล้วว่าอนาคตได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

มาโคโตะ คารากิ  (คานาตะ ฮองโก) เขาตื่นขึ้นมาในห้องพักโรงแรมที่ดูแปลกตา ไม่ว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกเหมือนเขาจะสูญเสียความทรงจำไป พอเปิดทีวีดูจึงได้รู้ว่าตัวเองเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่กำลังถูกล่าตัวอยู่

ขณะที่คารากิกำลังสำรวจโรงแรม เขาก็พบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปเพราะทางออกทั้งหมดถูกปิดผนึกไว้ นอกจากนี้เขายังได้พบกับนักสืบตำรวจสองคน อากาเนะ ซาจิมูระ (ชิอากิ คุริยามะ) และโนโซมุ คุจิ (วิน โมริซากิ) ที่กำลังสืบสวนเขาด้วยความสงสัยว่าเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ต้องการจะรัดคอผู้หญิงจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม คารากิ  พบว่าตัวเองดึงดูด ซาจิมูระ อย่างลึกลับ หลังจากการสืบสวนของเขาเสียชีวิตหลายครั้ง ในที่สุดคารากิก็เริ่มฟื้นความทรงจำบางส่วนและเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ดูแลแขกของโรงแรม (ยูกิ คาจิ) โดยถามว่าโรงแรมมีจริงหรือไม่ เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกเปิดเผยว่าโรงแรมเป็นพื้นที่เสมือนจริงที่สร้างขึ้นโดยระบบ "Come True" ซึ่งสามารถสร้างความทรงจำจากบุคคลที่มีชีวิตหรือผู้ตายที่ผู้อื่นสามารถมองผ่านการสร้างความเป็นจริงเสมือน ในขณะที่ตั้งใจไว้สำหรับรักษาโรคทางจิต แต่ Come True ถูกแอบใช้สำหรับการสืบสวนของตำรวจ คารากิเองเป็นนักสืบอีกคนที่เชื่อมโยง คารากิ  และ ซาจิมูระ ตัวจริงซึ่งทั้งคู่เสียชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อค้นหาความจริงเบื้องหลังการตายของ ซาจิมูระ

เจ้าหน้าที่ดูแลแขกจึงเตือนผู้สืบสวนว่ามีบุคคลที่ไม่รู้จักกำลังแฮ็ค Come True เพื่อพยายามลบโรงแรม ซึ่งทำให้ผู้สืบสวนสูญเสียความทรงจำและเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็น คารากิ  เจ้าหน้าที่ดูแลแขกแนะนำว่าผู้สืบสวนหนีออกจากโรงแรม ซึ่งเขามีตัวเลือกที่จะทำเมื่อใดก็ตามที่เขาตาย อย่างไรก็ตาม ผู้สืบสวนยังคงค้นหาความจริงต่อไป เมื่อความทรงจำกลับมามากขึ้น เขาและซาจิมูระเผชิญหน้ากับคุจิ โดยสงสัยว่าเขาคือฆาตกรตัวจริงของซาจิมูระ ซาจิมูระสงสัยว่าคุจิทุจริต ดังนั้นเขาจึงทำข้อตกลงกับคารากิเพื่อฆ่าเธอเพื่อแลกกับการออกจากประเทศ แต่คุจิทรยศเขาและฆ่าเขาแทน แฮ็กเกอร์คือคูจิตัวจริง ก็ปรากฏตัวขึ้นและยอมรับว่าเขามีความผิดจริงๆ อย่างไรก็ตาม เขาเสนอข้อเสนอให้ผู้สืบสวน แทนที่จะกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงและเปิดเผยอาชญากรรมของคุจิ เขาสามารถอยู่ในโลกเสมือนจริงกับซาจิมูระได้ตลอดไป

หากผู้สืบสวนเลือกที่จะอยู่ในโลกเสมือนจริง คุจิก็หลบหนี แม้ว่าเขาจะเตือนทั้งคู่ว่าอย่าออกจากโรงแรมเพราะไม่รู้จักโลกเสมือนจริงภายนอก นักสืบและซาจิมูระตัดสินใจออกจากโรงแรม และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในโลกเสมือนจริงที่ไม่เสถียรซึ่งสร้างขึ้นจากความทรงจำของซาจิมูระ

หากผู้สืบสวนเลือกที่จะออกจากโลกเสมือนจริง เขาติดตามเบาะแสที่ซาจิมูระทิ้งไว้เพื่อค้นหาหลักฐานที่เธอรวบรวมไว้ซึ่งพิสูจน์การทุจริตของคุจิ ด้วยเหตุนี้ คุจิจึงถูกจับและสอบสวนเรื่องความเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมของซาจิมูระและการสังหารโดยคารากิ

เรื่องเริ่มโดยการที่โนบิตะจะต้องทำการบ้านฤดูร้อนแต่ยังไม่ได้เริ่มทำเลยโดนคุณแม่บ่นแล้วทะเลาะกับคุณแม่ เลยหนีมาที่สวนสาธารณะและได้พบกับเมล็ดประหลาดที่นั้น ซึ่งในระหว่างนั้นโดราเอม่อนก็ผ่านมาเจอพอดีและได้นำเมล็ดนั้นกลับมาเพื่อดูว่าเป็นเมล็ดของอะไรแต่ก็ไม่รู้อยู่ดี ทั้งคู่เลยตัดสินในนำเมล็ดที่เจอนั้นไปปลูกที่ภูเขาหลังโรงเรียน และได้ชวนพวกเพื่อนๆ ที่กำลังไปหาที่ทำการบ้านมาดูด้วยกัน

แต่ในระหว่างนั้นต้นไม้กลับโตเร็วผิดปกติและเกิดพายุขึ้นในระหว่างนั้นได้เกิดช่องว่างระหว่างมิติกาลเวลาเกิดขึ้นทำให้พวกโนบิตะและเหล่าผองเพื่อนได้หลุดไปอีกในช่วงเวลาหนึ่ง ด้วยความลนลานของโดราเอม่อนที่พยายามหยิบของต่างๆ มาช่วยก็ได้ทำให้ของวิเศษบางส่วนหายไปในช่วงเวลานั้นเอง

โดราเอม่อนได้ฟื้นขึ้นมาพบพวกลิงที่กำลังขโมยของวิเศษไปเลยได้ไล่ตามไป ในระหว่างนั้นชิซูกะก็ได้ฟื้นขึ้นมาปลุกเพื่อนๆ กับโนบิตะที่สลบอยู่ หลังจากนั้นโดราเอม่อนก็โดนหมีที่อยู่ในป่าไล่กลับมาเลยตามลิงพวกนั้นไม่ทัน

โนบิตะและพวกเพื่อนเลยเดินออกมาจากป่ามาเจอหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และพวกโนบิตะก็ได้พบกับ Harmon โนบิตะเลยเล่าให้ฟังว่าโดนพายุพัดมาละดูเหมือนจะมีคนเคยโดนพายุพัดมาที่หมู่บ้านนี้เหมือนกัน Harmon เลยบอกให้พวกโนบิตะเข้าบ้านไปเจอกับคุณย่า Ravi แล้วให้พวกโนบิตะพักอยู่ที่นี่ก่อน

วันรุ่งขึ้นเทศมนตรีก็ได้มาที่บ้านและบอกว่าเด็กๆ ทุกคนต้องช่วยทำงานและด้วยความช่วยเหลือของ Ravi จึงให้พวกโนบิตะเป็นข้อยกเว้น แต่พวกโนบิตะก็ตกลงกันว่าไหนๆ ก็ต้องอยู่เมืองนี้อีกนานเลยคิดว่าน่าจะต้องช่วยอะไรหน่อย เลยออกไปหางานทำกันและหลังจากกินข้าวเสร็จ Harmon ก็ได้อาสาพาโนบิตะไปเดินดูหมู่บ้านและแนะนำทุกคนในหมู่บ้านให้รู้จัก

ซึ่งหลังจากนั้นโดราเอม่อนและโนบิตะได้ไปยืนคุยกันที่หน้าบ้านของ Ryam ซึ่งเป็นเทศมนตรีของหมู่บ้านนี้และได้คิดว่าโดราเอม่อนน่าสงสัยเลยโดนบังคับให้ทำงานอยู่กับ Ryam และดูเหมือนจะมีแค่โนบิตะคนเดียวที่ยังไม่ได้งานทำ เลยไปปรึกษากับ Harmon Harmon จึงให้โนบิตะไปทำงานในฟาร์มอีกที่หนึ่งที่ไม่มีคนดูแลของเขา

ขณะที่โนบิตะทำฟาร์มมาเหน็ดเหนื่อยจึงมาเดินเล่นในเมืองก็ได้พบคุณย่า Ravi คุณย่าจะเล่าเกี่ยวกับเทพธิดาให้ฟังว่าเธอเคยเจอกับเทพธิดามาก่อนเมื่อ 80 ปีที่แล้ว ตอนที่เธอยังอายุประมาณโนบิตะพี่ชายของเธอได้พาหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งมาที่บ้านและในตอนนั้นก็มี Elder Tree เกิดขึ้นมาพอดี

ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่า Elder Tree ได้นำความอุดมสมบูรณ์ มาสู่หมู่บ้านแล้วหญิงสาวปริศนาได้นำมันมาให้ ชาวบ้านเลยเชื่อว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นเทพธิดาที่จะมาช่วยเหลือหมู่บ้านให้อุดมสมบูรณ์และเป็นไปได้ว่าเทพธิดาอาจจะสามารถพาพวกโนบิตะและเพื่อนๆ กลับไปในยุคของตัวเองได้ แต่ Harmon ก็ได้บอกกับโนบิตะว่ามันผ่านมาตั้ง 80 ปีแล้ว แถมเทพธิดาก็ได้หายสาบสูญไป แต่ว่าโนบิตะก็ยังคงเชื่อและลองหาดูเพราะมันอาจจะเป็นหนทางเดียวในการกลับบ้านของพวกเขา

ในขณะที่พวกโนบิตะตามหา วันหนึ่งโนบิตะและเพื่อนๆ ได้เจอกับหญิงสาวปริศนาคนหนึ่งและรู้ว่าเธอชื่อ Vera เป็นคนที่มาจากโลกอนาคตเธอมาได้เพราะเธอปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งและต้นไม้นั้นก็เกิดโตขึ้นมาโดยทันทีและทำให้เกิดพายุกาลเวลาขึ้น และมันได้พาเธอมาที่แห่งนี้ซึ่งก็เหมือนกับตอนที่โนบิตะมาที่นี่ไม่มีผิด 

แต่โดราเอม่อนดูเหมือนไม่ค่อยไว้ใจ Vera เพราะเธอดูแปลกๆ และ Vera ก็ได้บอกกับพวกโนบิตะและเพื่อนๆ ว่าการที่จะกลับบ้านนั้นจำเป็นต้องใช้ของที่มีพลังในการดลใจ สร้างความจริง กาลเวลา และพลังธรรมชาติ ซึ่งขอวิเศษของโดราเอมอนก็มีพลังเช่นนี้ แต่ของพวกนั้นได้หายไปหมดแล้วในระหว่างมาที่นี่

ระหว่างที่โนบิตะทำฟาร์มและช่วยชาวบ้าน จนได้กำไลภูติมาจึงเอาไปให้กับ Vera Vera จึงได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับลูกของ Vera ที่ได้พลัดพรากกันตั้งแต่ตอนที่ต้นไม้ต้นนี้เกิดแรกๆ เมื่อ 80ปีที่แล้วและทำให้พวกโนบิตะตัดสินใจช่วยกันหาซึ่งผู้ชายที่อายุประมาณ 80 กว่าๆ ในหมู่บ้านจะมีแค่ 2 คน คือ Ryam เทศมนตรีกับคุณปู่ Taurus ที่ฟาร์มปศุสัตว์

พอออกมาจากป่า ฝนก็ตก ทุกคนเลยตกลงกันว่าจะไปหลบฝนกันที่บ้าน Harmon พอมาถึงดูเหมือนว่า Harmon จะดูกังวลเกี่ยวกับอะไรซักอย่างอยู่ พวกโนบิตะเลยถามและได้รู้ว่า เร็วๆ นี้จะมีพายุพัดมาอีกรอบและ Harmon ดูจะกลัวพายุ โนบิตะเลยปลอบใจ Harmon ว่าอย่ากังวลไปเลย จำที่คุณย่า Ravi บอกไม่ได้เหรอว่าต้นไม้ใหญ่จะคอยปกป้องคนในเมืองนี้ 

Harmon บอกว่าอย่าไปเชื่อเรื่องที่คุณย่า Ravi พูดจะดีกว่าเพราะเมื่อ80ปีก่อนพายุก็ได้พัดคนในหมู่บ้านปลิวหายไปเหมือนกัน และหนึ่งในนั้นก็มีคนสำคัญของ Ravi อยู่ด้วย แต่ Ravi ก็ยังคงเชื่อว่าต้องปลอดภัยและอาศัยอยู่ที่ไหนสักที่อย่างแน่นอน แต่ Harmon ก็ไม่เชื่อเรื่องนี้

ในหมู่บ้านอยู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์คนเข้าไปกินอาหารที่ร้านอาหารกันอย่างล้นหลาม จนพวกโนบิตะไปรู้เข้าว่าสาเหตุมาจากแมวกวัก ของวิเศษของโดราเอมอน เราจึงนำแมวกวักไปให้ Vera แล้ว Vera ก็จะทำการเรียกฝนตกให้พวกโนบิตะดู พวกโนบิตะที่ออกมาก็เห็นฮามอนที่เอาของมาให้เทพธิดาแต่ไม่อยากเข้าไป

ต่อมาเมื่อเราเอาของอีก 2 อย่างมาให้ Vera Vera จึงได้เตรียมตัวที่จะพาทุกคนกลับบ้านแต่มีปัญหาเกิดขึ้น Vera เลยต้องเล่าความจริงว่าเธอเป็นคนที่มาจากอนาคตใกล้กับยุคของโดราเอม่อนและเธอกำลังทำงานวิจัยอย่างหนึ่งซึ่งก็คือ Bio Machine หรือว่าเครื่องจักรรูปต้นไม้เพื่อส่งกลับไปปลูกในอดีตเพื่อปรับสภาพอากาศและดินให้ดีขึ้นและเธอก็ได้นำมันมาในอดีตเพื่อจะปลูกมัน

แต่ตอนมาถึง Time Machine ที่เธอใช้เกิดเสียขึ้นมาและในระหว่างนั้นก็มีชายคนหนึ่งมาช่วยเธอไว้ นั้นก็คือสามีของเธอ เธอจึงได้ตัดสินใจที่จะอาศัยอยู่ที่นี่แต่ในระหว่างที่เธอกำลังจะตัดสินใจอาศัยอยู่ที่นี่ก็ได้พบกับเหตุการณ์สภาพผลผลิตของที่นี่ย่ำแย่มากเธอเลยตัดสินใจที่จะปลูก Bio Machine ที่นี่ทำให้การใช้ชีวิตและผลผลิตของคนที่นี่ดีขึ้น

เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เธอถูกเรียกว่าเทพธิดาและหลังจากนั้นครอบครัวของ Vera ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นเลยทำให้ทุกคนในเมืองดูแลเธอและครอบครัวอย่างดี ทำให้ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาทีมีความสุขที่สุด

แต่หลังจากนั้นก็ได้เกิดพายุลูกใหญ่พัดมาบริเวณหมู่บ้านด้วยความเป็นห่วงต้นไม้ต้นใหญ่นั้น Vera เลยตัดสินใจออกมาเช็คสภาพแต่ก็ดันถูกพายุพัดและดูดเข้าไป หลังจากนั้นก็มาโผล่อีกที 80 ปีหลังจากตอนที่เกิดเหตุ Vera ได้บอกกับเราอีกว่าปกติแล้วต้นไม้ต้นนี้จะถูกปลูกและสลายไปเองแต่ตอนนี้มันกลับอยู่มาได้ถึง 80 ปีและถ้าซ่อมมันได้อาจจะกลับไปในยุคที่อยู่เหมือนเดิมก็ได้ เลยเป็นหน้าที่ของพวกโนบิตะที่จะต้องหาสาเหตุนั้น

โนบิตะจึงไปถามจากเทศมนตรีที่น่าจะอยู่ทันเหตุการณ์นั้น Ryam ได้เล่าว่าตอนนั้นมีสายฟ้าลูกใหญ่ผ่าลงมาตรงต้นไม้แต่ต้นไม้กลับไม่เป็นอะไรเลย และดูเหมือนว่า Harmon จะกลัวฟ้าผ่าเอามากๆ Ryam ก็เลยเล่าต่อว่าความจริงแล้ว Harmon ถูกเก็บมาจากใต้ต้นไม้ต้นนั้นตอนที่เกิดฟ้าร้องและฝนตกหนักพอดี

โนบิตะนำเรื่องนี้ไปบอก Vera ถึงสาเหตุให้ต้นไม้เสีย แต่การซ่อมก็ต้องใช้เวลามากอาจจะ 3-4 เดือนหรืออาจจะ 1 ปี Vera ได้บอกกับพวกโนบิตะว่าถ้าต้นไม้ยังอยู่แบบนี้ล่ะก็อาจจะอันตรายเพราะว่าสายฟ้าที่ฟาดไป ทำให้ระบบการควบคุมพลังเสียหายและอาจทำให้พายุรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ทำให้เกิดช่องว่างกาลเวลาที่ใหญ่ขึ้น แต่มีอีกวิธีคือการรีเซ็ตต้นไม้นี้ เพราะถ้าต้นไม้หายไป พวกโนบิตะก็จะไม่สามารถกลับไปได้ เมืองทั้งเมืองหรือโลกทั้งโลกอาจจะถูกดูดเข้ามิติการเวลาไปด้วย

โนบิตะเลยบอกว่าอย่างนั้นรีเซ็ตไปเลยดีกว่าเพราะว่าถ้าเกิดช่องมิติกาลเวลาครั้งนี้ถูกเปิดขึ้นมาอีกจะทำให้ทุกๆคนแยกย้ายกันไปคนล่ะยุคและมันก็เหมือนกับการทอดทิ้งเพื่อนและคนในเมืองนี้ทั้งหมดเลยยอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้กลับบ้านก็ตามที

แต่ดูเหมือน Vera จะไม่ยอมเพราะเธอเองก็อยากที่จะซ่อมต้นไม้ต้นนี้และกลับไปเจอลูกชายอีก แต่ด้วยความมุ่งมั่นของพวกโนบิตะ Vera เลยยอมบอกวิธีรีเซ็ตต้นไม้

โดยการขึ้นไปเด็ดใบไม้ใบแรกของต้นไม้ยักษ์นี้มาและปัญหาคือมันอยู่บนยอดต้นไม้ซึ่งสูงมากๆและทุกคนเลยตัดสินใจไปด้วยคอปเตอร์ไม้ไผ่ของโดราเอม่อน หลังจากบินขึ้นไปนั้นก็เกิดพายุขึ้นอีกครั้งทำให้โนบิตะพลัดตกลงมา Harmon ที่เห็นพอดีเลยรีบวิ่งไปที่รากของต้นไม้ใหญ่ทันที แต่ดูเหมือนว่า Harmon จะยังกลัวที่นั้นอยู่ เลยลังเลว่าจะเข้าไปดีไหมและด้วยความเป็นห่วงเพื่อน Harmon เลยเข้าไป และด้วยความแรงของพายุก็ได้ทำให้ Harmon ล้มลง และในที่สุดแม่ลูกก็ได้เจอกัน โนบิตะเมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วเลยบินขึ้นไปใหม่อีกรอบ โนบิตะพยายามคว้าในไม้ไปนั้นให้ได้แต่ด้วยพายุที่แรงมากๆนั้นทำให้มันคว้ายากและทุกๆคนก็ต้องร่วมมือกัน และในที่สุดก็คว้าสำเร็จและต้นไม้ก็ค่อยๆหดเล็กลงๆจนหายไปในที่สุด

หลังจากนั้นทุกคนก็ล่วงลงมา พายุได้หายไป พวกโนบิตะก็สงสัยว่าความจริงแล้ว ลูกของ Vera อยู่ยุคอดีตไม่ใช่เหรอแล้วจะเป็น Harmon ได้ยังไง ในขณะนั้น Ravi ก็ได้โผล่มาและเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ว่าตอนที่ Vera ถูกพายุในครั้งนั้นดูด พายุไม่ได้ดูดแค่คนเดียวแต่กลับดูดหมดทั้งพ่อแม่ลูกเลย ซึ่งตอนนั้น Ravi เพิ่งจะ10 ขวบกว่าๆ Harmon ถูกดูดมาในอีก 70 ปีข้างหน้าและRavi ก็ได้รับเลี้ยงเพราะรู้สึกคุ้นหน้าและคุ้นเคยกับเด็กคนนี้

และในอีก10ปีต่อมา Vera ก็ได้ถูกดูดมาเหมือนกัน Veraไม่ค่อยกล้าเข้าไปในเมืองและเช่นเดียวกัน Harmon ก็กลัวที่จะไปที่รากต้นไม้ใหญ่เหมือนกันเพราะเป็นที่ๆ เขาถูกทิ้งและนั้นทำให้สองคนนี้ไม่เคยได้เจอกันมาก่อน ตอนนี้พ่อของ Harmon ก็น่าจะยังอยู่และคงอยู่ที่ไหนสักที่และก็เป็นหน้าที่ของ Harmon กับ Vera แล้วแหละที่ต้องหา

หลังจากนั้น Vera ก็ได้บอกกับทุกคนว่าความจริงแล้วเธอซ่อนเครื่อง Time Machine ไว้ที่ใต้ต้นไม้และถ้าใช้เครื่องมือของโดราเอม่อนก็อาจจะสามารถซ่อมได้คงจะใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ถึงจะซ่อมเสร็จและให้ทุกๆ คนเตรียมตัวไปบอกลากับคนที่ทำงานได้เลย โนบิตะก็ต้องคืนฟาร์มให้กับ Harmon ด้วยเหมือนกัน และก็ถึงเวลาที่ทุกๆ จะต้องไปบอกลากับคนในเมืองกันและเตรียมตัวที่จะกลับไปยุคเดิม

เกมได้เล่าถึง ฟลอเรนซ์ โยห์ หญิงสาววัย 25 ปี ผู้ใช้ชีวิตคนเดียวและทำงานเป็นกิจวัตรซ้ำ ๆ กันทุกวัน อีกทั้งยังไม่ค่อยพูดคุยหรือติดต่อกับเพื่อนร่วมงาน และโต้ตอบกับโซเชียลมีเดียอย่างไม่ค่อยเอาใจใส่ในระหว่างที่เธอเดินทางในเช้าวันหนึ่ง โทรศัพท์ของเธอดันเสีย และเธอก็ได้ยินเสียงเพลงมาตามสายลม เธอจึงได้เดินตามเสียงเชลโลไปและได้พบกับคริซ คริซเป็นนักแสดงเปิดหมวกอยู่ริมถนน 

หลังจากนั้นคริซได้เป็นเพื่อนกับฟลอเรนซ์และออกเดตด้วยกัน พวกเขาได้จูบกันครั้งแรกและมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น คริซได้ย้ายเข้าไปอยู่กับฟลอเรนซ์ และได้รับกำลังใจที่จะทำให้เขากลายเป็นนักเชลโลที่โด่งดัง เพื่อเป็นการขอบคุณ คริซจึงได้ให้ชุดวาดภาพแก่ฟลอเรนซ์ และให้เธอทำความฝันของเธอที่จะเป็นจิตรกรให้เป็นจริง

หกเดือนถัดมา ทั้งคู่ได้ทะเลาะกันที่ร้านขายของ และเมื่อผ่านไปหนึ่งปี ทั้งคู่เริ่มมีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกัน จนสุดท้ายจึงตัดสินใจที่จะแยกกันอยู่หลังจากทะเลาะกันอีกครั้ง คริซได้ย้ายออกไป ส่วนฟลอเรนซ์ก็ลาออกจากงานประจำของเธอ และเริ่มไล่ตามความฝันที่จะเป็นจิตรกร ซึ่งสุดท้ายแล้ว เธอก็ทำสำเร็จ

Good King Bronner ถูกสังหาร อาณาจักรฟาห์รูลที่ครั้งหนึ่งเคยสงบสุขกำลังถูกทำลายโดยพลังงานแห่งความโกลาหลและถูกทำลายล้างโดยสัตว์ประหลาดและโจร ราชินีโรโซมอนผู้โศกเศร้าได้เรียกร้องให้พลเมืองธรรมดาของฟาห์รูลออกค้นหาฆาตกรและแหล่งที่มาของพลังงานแห่งความโกลาหล เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในป่าผู้พิทักษ์ซึ่งมีข่าวลือเกี่ยวกับกิจกรรมที่น่าสงสัยและคนแปลกหน้าที่น่ากลัวในป่า วีรบุรุษสามคนที่น่าจะเป็นวีรบุรุษมาพบกันที่ Oarton เพื่อเริ่มภารกิจของพวกเขา

ทั้งสามได้รับข่าวและรีบไปยังหมู่บ้าน Woodsmoke เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านจะมีคนมาพาเราไปแล้วบอกว่าเป็นตัวแทนของราชินีโรโซมอนที่ดูแลอยูในป่าแห่งนี้  เขาบอกว่าชาวบ้านได้บอกว่ามีคนเลวร้ายอยู่ที่ Glittering Mines และยังมีลัทธิประหลาดเกิดขึ้นให้เราไปจัดการด้วยเพราะมันน่าจะเกี่ยวกับความโกลาหลที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังมีคนประหลาดจากพลังโกลาหลที่อาละวาดอยู่ในตอนนี้ที่ต้องให้ทั้งสามไปจัดการ

ทั้งสามจึงไปจัดการกับลัทธิประหลาดกันก่อนเพื่อทำลายแท่นบูชา ต่อมาจึงออกเดินทางไปต่อสู้กับคนประหลาดจนสามารถเอาชนะได้ในที่สุด ทั้งสามกลับไปพักยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดและไปยังเหมืองต่อ เมื่อเข้าไปในเหมือง ทั้งสามต่อต่อสู้ฟันฝ่าอันตรายมากมาย ทั้งผี ค้างคาว โครงกระดูก ต่างๆ จนไปเจอเข้ากับแท่นพลังงานความโกลาหล ซึ่งทั้งสามก็ได้ทำลายมันทิ้งไป

เมื่อแท่นพลังถูกทำลายม่านหมอกที่เคยปิดบังปราสาทสูงทมิฬกลางทะเลก็ได้หายไป จนทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าตัวการสำคัญที่เราต้องไปหา ซึ่งปราสาทที่ปรากฎนั้นคือ Harazuel ประตูสู่ Chaos ในตำนาน แล้วเราจะได้รู้ว่าฆาตกรนั้นก็อยู่ในปราสาทแห่งนี้จากเสียงที่ราชินีจำได้

ตัวแทนพระองค์ให้เราไปยังเมือง Parid ใน The Golden Plains เพื่อไปพบกับ Dreea Pallor ตัวแทนพระองค์อีกคนที่อยู่ที่นั้น ทั้งสามจึงรีบเร่งเดินทางไปยัง Parid ทั้งกลางวันกลางคืน ในเมืองผู้แทนจะบอกว่าปราสาท Harazuel นั้นมีเกราะพลังงานครอบคลุมปกป้องอยู่ เราจะต้องไปหาชิ้นส่วนสำคัญเพื่อมาปลดเกราะพลังงานออกก่อนที่จะเข้าไป ทั้งสามต้องไปจัดการกับ Mind Lord และ Lich’s Crypt และต้องไป Forgotten Cellar ซึ่งชิ้นส่วนสำคัญน่าจะอยู่ที่นี่แต่ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหน เพราะคนที่ส่งมาตามหาล้วนตายทั้งหมด

ทั้งสามได้ไปยัง Forgotten Cellar แต่สถานที่แห่งนี้สามารถเข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งสามจึงส่งคนที่แข็งแกร่งที่สุด เข้าไปเอาชิ้นส่วนออกมา แล้วจึงไปต่อสู้กับ Mind Lord และบุกตะลุย Lich’s Crypt จนเอาชนะได้ในที่สุด เมื่อสามารถเอาชนะได้ ทางเข้าสู่ The King's Maze ได้เปิดออก ทั้งสามตัดสินใจบุกเข้าไปที่นั้นผจญกับกับดักและมอนสเตอร์มากมาย จนสุดท้ายก็ไปเจอแท่นพลังงาน Chaos จึงได้ทำลายมันทิ้งไปอีกแท่นหนึ่ง เมื่อทำลายแท่นพลังงานนี้ได้ เกราะพลังรอบปราสาท Harazuel ก็ถูกปลดออก เราจึงได้รู้จากปากราชินีว่าคนร้ายฆ่าพระราชานั้นก็คือ Mariglio Vexor พ่อมดร้ายนั้นเอง

ตัวแทนพระองค์ได้บอกให้เราไปยังเมือง Hasta เพื่อพบกับ Marso Yanses เพื่อพบกับตัวแทนอีกคนหนึ่ง ทั้งสามจึงได้ออกเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ผจญภัยกับการต่อสู้กับปูยัง โจรสลัด ผีพ่อค้า และยังต้องปะทะกับหมึกยักษ์คราเคน ไม่ว่าจะยังไงทั้งสามก็เดินทางมาถึง Hasta ในที่สุด

เราจะได้พบกับตัวแทนซึ่งเขาได้บอกให้เราไปพบกับตัวแทนอีกคนที่ The Parched Waste เพราะว่าถึงแม้เกราะพลังงานจะถูกปลดแล้ว ปราสาทก็ถูกสร้างบนหน้าผาสูงทำให้เราไม่สามารถขึ้นเกาะทางเรือได้ เราต้องสร้างเรือเหาะเพื่อไปยังที่นั้น แต่เรายังขาดพลังงานเชื้อเพลิงอยู่เราต้องไปเอามาจากสองแหล่งคือ Demon Cave ทั้งสองที่

ทั้งสามจะบุกตะลุยไปยังถ้ำปีศาจแล้วเอาพลังงานมาสร้างเรือเหาะจนสำเร็จ และเราก็สามารถไปยังปราสาทได้แล้ว แต่ตัวแทนได้บอกให้ลองไปสำรวจยัง The Buried Temple เพื่อจะได้ของสามารถทำให้ต่อสู้ในปราสาท Harazuel ได้ง่ายขึ้น

ทั้งสามตัดสินใจไปตามที่ตัวแทนบอกจนได้เครื่องรางป้องกันมาสามชิ้น ทั้งสามจึงบุกไปยังปราสาท Harazuel ทั้งสามได้บุกตะลุยขึ้นไปยังจุดสูงสุดของปราสาท เข้าปะทะกับจอมเวทย์ Vexor ทั้งสามต่อสู้จนสุดความสามารถจนในที่สุดก็สามารถเอาชนะมาได้ในที่สุด แต่ด้วยความรุนแรงของการต่อสู้การทำให้ปราสาทถูกถล่มจนราบคาบ ทำให้วีรบุรุษทั้งสามต้องพลีชีพไปพร้อมกับ Vexor ปิดฉากยุคแห่งความโกลาหลในที่สุด…



เรื่องเริ่มด้วย “ริว” ชายหนุ่มกำลังนอนฝันว่ากำลังวิ่งเล่นอยู่กับเด็กสาวคนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็สะดุ้งตื่นด้วยการปลุกของกุมารีน้อย “แก้วตา” เธอปลุกริวให้ลุกขึ้นไปสอบปลายภาคได้แล้ว

หลังจากริวสอบเสร็จ “นพ” เพื่อนของริว ได้พาเจนกับเกรซมาสมทบแล้วทั้งกลุ่มก็ได้ชวนกันไปบ้านของนพที่อยุธยากันในตอนปิดเทอม

เมื่อเข้าสู่อยุธยา ทั้งกลุ่มได้ไปเที่ยวเจดีย์วัดพุทไธศวรรย์ นั่งชิวกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขา แล้วจึงไปเที่ยวยังวัดพนัญเชิงวรวิหาร ขึ้นบนหลังช้างวัดมงคลบพิตร ผ่านอนุสาวรีย์พระเจ้าอู่ทอง และบึงพระราม ก่อนจะไปนั่งชิวกินก๋วยเตี๋ยวริมน้ำกัน ซึ่งที่นี้จะเป็นที่ริวเห็นนิมิตรถึงร่างเด็กผู้หญิงที่จมอยู่ใต้บึงบัว

หลังจากกินกันเรียบร้อย ทั้งหมดก็พากันขึ้นรถไปที่บ้านคุณปู่ของนพ บ้านปู่ของนพเป็นเรือนไทยหลังใหญ่สมัยโบราณ ที่นั้นริวจะได้พบกับหญิงสาวหุ่นสะบึม ผมยาวสลวยดำเงางาม อกเป็นอก เอาเป็นเอว ผิวขาวนวลเนียนไปทุกสัดส่วน ซึ่งเธอมีชื่อว่า “ไอรา” เป็นคนดูแลบ้านหลังนี้

ริวที่กำลังยืนคุยกับทุกคนก็ให้มีความรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างประหลาดกับบ้านแห่งนี้ แต่ก็ต้องลืมที่คิดไปทันทีด้วยฉากไอราใส่เสื้อคอกระเช้า คอกว้างกำลังก้มหน้าทำอาหารเย็น จนสายตาของริวที่อยู่ไม่สุขต้องล้วงลึกเข้าไป

ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว พวกริวได้ไปตั้งโต๊ะกินข้าวเย็นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำ ด้วยความที่เป็นเพื่อนสนิทจึงได้คุยกันส่งเสียงดัง ริวที่รู้สึกถึงสายตาเย็นชาจึงมองขึ้นไปบนต้นไม้ ก็เจอหญิงใส่ชุดไทยกำลังมองมาด้วยสายตาไม่พอใจ แต่ก่อนที่ริวจะได้เตือนเพื่อน กิ่งไม้ใหญ่ติดไฟก็หล่อนลงมากลางวงดังโครมใหญ่

ไอราที่วิ่งมาดูก็บอกให้ทุกคนเข้าบ้านเดี๋ยวจัดการตรงนี้เอง ทุกคนจึงกลับมาพักบนห้อง แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นบ้าน ริวและนพวิ่งออกมาจากห้องมาเจอกันและได้รู้ว่าเสียงที่กรีดร้องคือเสียงของเจนและเกรซนั้นเองทั้งสองจึงตัดสินใจแยกกันไปตามหา ริวได้ไปตามเสียงเจนแต่เมื่อไปถึงก็เห็นเจนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ เมื่อไม่มีเรื่องอะไร ริวจึงกลับมานอนพักที่ห้อง

ริวได้ตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วได้ออกมาจากห้องไปเจอหนังสือไดอารีของคุณปู่นพที่เขียนถึงหญิงสาว “แม่ญา” ซึ่งมีความงามดั่งเบญจกัลยานี ซึ่งริวเดาว่าไม่น่าจะใช่ภรรยาของปู่นพอย่างแน่นอน แต่หางตาของริวก็เหลือบไปเห็นร่างเด็กผู้หญิงใส่ชุดนักเรียนวิ่งผ่านไป แต่เด็กคงไม่มาวิ่งตอนตีหนึ่ง

ตอนนั้นเองไอราก็ได้ออกมาทักริวที่กำลังมองหาเพื่อนอยู่ ไอราจึงช่วยหาอีกแรง ทั้งสองได้แยกทางออกตามหา ริวได้เดินลึกพร้อมตะโกนหาเพื่อน จนไปได้ยินเสียงหัวเราะริวจึงวิ่งตามเสียงไปจนไปเจอรอยเลือดเหมือนถูกลากในระหว่างทาง  แต่ก่อนที่จะตามรอยเลือดไป ริวดันได้ยินเสียงเพื่อนกรีดร้องขึ้นมาจึงตัดสินใจไปตามเสียงเพื่อนก่อน

ริวที่วิ่งมาตามเสียงได้เห็นเด็กผู้หญิงใส่ชุดนักเรียนตัวเปียกโชก มีเชือกผูกที่ข้อเท้ากำลังลากร่างของเจนที่แน่นิ่งไปตามพื้น ริวที่วิ่งตามไปก็ให้ทั้งสองร่างลับหายไป ริวนึกถึงบึงบัวที่ไอราเล่าให้ฟังจึงวิ่งไปที่นั้น เผื่อจะเจอทั้งสอง แต่สิ่งที่เห็นกับเป็นร่างของเกรซถูกมัดไว้กลางน้ำเลือดท่วมตัว ริวที่สติแตกจากภาพที่เห็นถูกไอรารวบตัวไว้ได้ทันและคอยกอดปลอบปละโลมอยู่ตรงนั้น ไอราได้บอกริวว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นและพาริวกลับไปที่เรือน

ขณะกลับเรือนทั้งสองได้เจอกับแม่ญา หญิงสาวห่มสไบสีทอง แสดงอิทธิฤทธิ์เหยียบธรณีสนั่นหวั่นไหว ไล่ริวให้ออกไปจากที่แห่งนี้ แต่ไอราไม่ทำตามพาริวหนีออกมา ทำให้แม่ญาโกรธมาก แม่ญาจึงสั่งเหล่าสัมพเวสีให้ออกตามจับตัวพวกเรา ไอราผลักให้ริวรีบหนีไป ส่วนตัวเองติดอยู่ในดงผี ริวที่วิ่งหนีมาเจ็บใจตัวเองเป็นอย่างมาก ที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้

ขณะแอบในห้อง แก้วตาได้โผล่ออกมาแล้วบอกว่ามีคนมาขังแก้วตาไว้ไม่ให้ออกมา ริวจึงขอให้แก้วตาไปช่วยไอราพร้อมตน แต่เมื่อออกมากลับเห็นภาพบาดตา นพ เพื่อนของตนกำลังกอดจูบอยู่กับไอรา สองมือลูบไล้ยอดปทุมถันขาวนวลไปมา ไอรากรีดร้องเสียงดัง มือไม้ปัดป่ายมือของนพให้ออกไปจากร่างของตน เมื่อลองตั้งสติดีๆ กลับเห็นว่านพถูกวิญญาณเข้าสิงอยู่ ริวจึงเข้าไปจัดการนพจนสลบไป

ตอนนั้นแก้วตาก็ได้บอกว่าเจอพี่สาวผมสั้นเจนแล้ว ซึ่งได้ถูกผีลักซ่อนไว้ แต่ขณะนั้นเด็กหญิงชุดนักเรียนก็ปรากฎตัวขึ้นด้วยฤทธิ์อันกล้าแกร่ง แล้วริวจึงได้รู้ว่า เด็กหญิงชื่อมะลิ เป็นเด็กสาวที่ริวมาเล่นด้วยตอนเด็กๆ และสัญญาว่าจะเล่นด้วยตลอด แต่ริวเกิดต้องไปกรุงเทพกระทันหันแล้วมะลิก็เกิดโดนฆาตกรรมตายอยู่ในบึงบัว ด้วยคำสัญญาที่ต้องการให้เป็นจริง มะลิจึงรอริวมาเล่นด้วยตลอดมา ริวจึงทำตามสัญญาเพื่อให้เธอไปสู่สุขติ

ไอราที่เดินเข้ามารวมตัวกับริว ทั้งสองได้เผชิญหน้ากับแม่ญา จนทำให้ริวได้รู้ว่าไอราเองก็เป็นผีเช่นเดียวกัน ไอรากับมะลิได้ร่วมมือกันต่อสู้กับแม่ญาจนเอาชนะมาได้ มะลิได้ไปสู่สุขติและไอราได้บอกว่านางเป็นผีตานีสถิต ณ ดงกล้วยที่ริวผ่านบ่อยๆ ริวและไอราตัดสินใจไม่สนว่าจะเป็นมนุษย์หรือผี ทั้งสองได้แสดงความรักซึ่งกันและกันอยู่ใต้ดงกล้วยแห่งนั้น

ตอนเช้า ริวได้กลับมาที่เรือนแล้วได้เห็นเพื่อนๆ นอนหลับบนเตียงเหมือนปกติก็ดีใจ ริวที่เห็นสมุดไดอารีของปู่นพที่เขียนเอาไว้ก็เอาสมุดนี่ไปให้แม่ญา ณ ต้นตะเคียนใหญ่ บอกความจริงของปู่นพเพื่อแก้แผลใจของแม่ญาที่เกลียดชังมนุษย์

พวกริวได้พากันกลับกรุงเทพ และริวยังได้เอาหน่อกล้วยจากต้นที่ไอราสิงอยู่กลับไปปลูกที่บ้านด้วยเพื่อจะได้พบไอราได้ตลอดเวลา

รถพยาบาลเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเพื่อส่งคนป่วยไปยังโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด แต่ขณะนั้นเองอุบัติเหตุรถชนก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน

สามเดือนก่อน อลิสันได้กลับมายังโรงพยาบาลเพื่อใช้ทุนในแผนกศัลยกรรม แต่ ดร.ควินที่แผนกศัลยกรรมสามารถฝึกแพทย์ใช้ทุนได้ทีละคนเท่านั้นแต่โรงพยาบาลกลับส่งมาให้เขา 2 คน อลิสันเลยโดนไล่ให้ไปอยู่หอผู้ป่วยแทน

ในหอผู้ป่วย อลิสันเจอกับผู้ป่วยแบบลุงเอิร์ลผู้เอาแต่ใจ ลุงคนนี้ได้แกทำเป็นอาการแย่ลงกระทันหันเพื่อแกล้งอลิสัน แต่อยู่ๆ อาการลุงแกก็ทรุดลงจริงๆ จนหมดสติไป ซึ่งลุงแกเป็นพ่อของไมเคิล ทำให้อลิสันทุกข์ใจมากเพราะคิดว่าเพราะตัวเองดูแลไม่ดีทำให้พ่อของไมเคิลทรุดหนัก แต่ไมเคิลก็บอกวว่าอลิสันไม่ได้ผิดอะไรไม่ต้องกังวล ไมเคิลยังบอกอีกว่าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อรักเขาไหม เพราะทะเลาะกันตลอด

อลิสันที่ยังรู้สึกผิดก็พยายามหาทางรักษาลุงเอิร์ลให้ได้ จนไปพบว่าลุงเอิร์ลสามารถพักรักษาตัวในโรงพยาบาลดังใกล้บ้านได้แต่แกก็ยังมารักษาตัวในโรงพยาบาลที่ไมเคิลทำงานอยู่ และก่อนที่อลิสันจะย้ายแผนกลุงเอิร์ลก็ฟื้นและพ่อลูกก็ได้ปรับความเข้าใจกัน

ตอนที่เดินออกมาเห็นแดลเนียลยุ่งๆ อยู่ เมื่อถามจะรู้ว่าเขากำลังยุ่งเรื่องการสร้างปีกอาคารโรงพยาบาลใหม่ ในตอนที่อลิสันทำงานอยู่ในแผนกจ่ายยาก็ได้รู้ว่ายาแอมเฟตามีนของโรงพยาบาลหายไป และคนเอาไปก็คือแดลเนียลนั้นเอง เขาเครียดมากจึงใช้ยาเป็นจำนวนมาก ซึ่งการที่ยาหายไปมันดันไปเดือดร้อนกับแผนกอื่นๆ เช่นกัน อลิสันจึงช่วยให้แดลเดียลเลิกยาให้ได้โดยให้เขาขังตัวเองอยู่ที่บ้าน

ในแผนกใหม่อลิสันได้พบกับชายผู้ซึ่งอาการหนักมากไม่รู้จะรักษาหายหรือไม่ ลูกสาวของเขาเป็นห่วงพ่อมาก ทำให้อลิสันนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ ทำให้อลิสันตั้งใจรักษาคนนี้เป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เด็กน้อยมีประสบการณ์แย่ๆ เหมือนกับตน แล้วในที่สุดเขาก็ฟื้นแล้วสามารถกลับบ้านได้

แดเนียลได้เปิดปีกโรงพยาบาลใหม่อย่างภาคภูมิใจแต่ก็ถูกพ่อต่อว่าในความผิดพลาดที่ทำอย่างหนัก จึงไปกินเหล้าจนเมาตกบ้าน อลิสันที่รู้ขึ้นรถพยาบาลคอยปฐมพยาบาลมาตลอดทาง แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดรถพยาบาลเกิดแหกโค้งตกเหวลงไปในแม่น้ำ อลิสันช่วยแดเนียลกับเจนนี่ออกมาได้แต่ช่วยโจคนขับรถไม่ทันเพราะรถเกิดการระเบิดซ้ำขึ้น

หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้นเดเนียลก็ไม่พูดไม่จา กลายเป็นคนเงียบขรึมไป งานศพของโจถูกจัดขึ้นแต่แดเนียลก็ไม่กล้าเข้ามาร่วมงาน 

ระหว่างนั้นอลิสันได้ย้ายมาอยู่แผนกรังสีวิทยาก็ได้เจอแผ่นเอกซเรย์แปลกๆ เข้าจึงปรึกษากับทุกคนจึงรู้ว่าผู้ป่วยคนนี้อาการหนักแล้ว อวัยวะภายในใกล้ล้มเหลวต้องรักษาด่วน ซึ่งอลิสันก็จะได้รู้ในเวลาต่อมาว่าคนไข้คนนั้นคือคุณพ่อที่มีลูกสาวคนนั้นนั้นเอง ด้วยความที่ถึงจะรักษาก็อาจอยู่ไม่นาน เขาจึงปฎิเสธการรักษาและเลือกที่จะอยู่กับลูกสาวจนวินาทีสุดท้าย

ท้ายที่สุดคุณพ่อคนนั้นถูกส่งเข้าโรงพยาบาลกระทันหันด้วยอาการโคม่า และอลิสันตัดสินใจเป็นผู้ลงมีดผ่าตัดด้วยตัวเอง สุดท้ายการผ่าตัดก็ผ่านไปด้วยดีและอลิสันก็ได้รับการยอมรับให้เป็นหมอหลักในการผ่าตัด

โคดี้และเมย์เป็นคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกัน กำลังวางแผนที่จะหย่าร้างหลังจากที่โคดี้ทะเลาะกับเมย์เกี่ยวกับงานของเธอตลอดเวลา และเมย์เถียงกลับว่าโคดี้ไม่เคยแสดงความซาบซึ้งกับงานของเธอเลยแม้แต่น้อย หลังจากบอกโรสลูกสาวว่าพวกเขากำลังจะหย่า โรสจึงนำตุ๊กตาทำมือของเธอซึ่งดูเหมือนพ่อแม่ของเธอเข้าไปในกระท่อมของครอบครัว และน้ำตาเศร้าเสียใจของโรสได้หยดลงบนตุ๊กตา ทำให้พ่อแม่พบว่าตัวเองติดอยู่ในร่างของตุ๊กตาอันเนื่องมาจากน้ำตาที่ตกลงมาบนตุ๊กตา ดร.ฮาคิม ซึ่งเป้นหนังสือบำบัดความสัมพันธ์ในรูปแบบมนุษยวิทยา บอกเมย์และโคดี้ว่าเขาได้รับมอบหมายให้พยายามแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างที่พวกเขาพยายามตามหาโรส

การจะตามหาโรสก็ไม่ใช้เรื่องง่าย ทั้งสองได้ไปเจอเข้ากับเครื่องดูดฝุ่นตัวเก่าที่โคดี้ทำเสียเนื่องจากเอามันไปดูดพวกเศษดิน พอเครื่องเสีย เมย์ที่สัญญาว่าจะเอาไปซ่อมก็ลืมไป แล้วโคดี้ยังจะซื้อเครื่องใหม่อีกด้วย ทำให้เจ้าเครื่องดูดฝ่นโกรธมาก จึงจะจัดการทั้งสอง แต่ทั้งสองก็รอดมาได้

หลังจากเดินหาโรส ทั้งสองก็มาพบกับหัวค้อนที่กำลังหาร่างตัวเองอยู่ ซึ่งตัวค้อนก็น่าจะอยู่ที่กล่องเครื่องมือ เมย์จึงพกหัวค้อนติดตัวไปด้วย ระหว่างทางก็เจอเพื่อนของเจ้าค้อนคือเจ้าตะปูนั้นเอง จึงให้โคดี้เอาไปด้วยกัน ทั้งสองตะลุยปีนไปตามชั้นจนเจอกล่องเครื่องมือ แต่เจ้ากล่องไม่ยอมทำตามคำขอแถมยังล็อกตัวเองไม่ให้เปิดออก เพราะโกรธเมย์ที่เอาเครื่องมือไปใช้แล้วไม่ยอมเก็บเป็นที่เป็นทาง ในที่สุดทั้งสองก็สามารถเปิดกล่องได้ และได้ตัวค้อนมาต่อกับหัวค้อนจนได้ เหล่าเครื่องมือก็เลยช่วยส่งทั้งสองออกไปอีกห้องให้

ทั้งสองได้ออกมาเจอกับโรส แต่โรสดันออกจากกระท่อมหลังนี้ไปก่อนทำให้ทั้งสองตามไม่ทัน จึงต้องมาหาวิธีที่จะออกไปให้ได้ ทั้งสองไต่ไปตามสายไฟและช่องระบายอากาศจนไปถึง ห้องใต้หลังคาที่มีคุณกล้องส่องทางไกลอยู่ ทำให้ทั้งสองจึงรู้ว่าร่างของทั้งสองเหมือนกับกำลังนอนหลับอยู่ ทั้งสองเลยคิดว่านี้เป็นเวทย์มนต์ที่ต้องแก้ด้วยการใช้น้ำตาของโรส

ทั้งสองออกมาข้างนอกแล้วปีนไปตามต้นไม้จนไปติดกับดักของแก๊งทหารกระรอก กระรอกจึงบอกให้ทั้งสองไปจัดการสายลับที่ไปเข้ากับพวกตัวต่อที่ตอนนี้มายึดบ้านของพวกมันไป โดยกระรอกได้ให้ปีนยิงยางลูกนัทและปีนยิงจุดระเบิด ถ้าทำสำเร็จพวกมันจะให้ยืมเครื่องบินกางเกงใน

ทั้งสองจึงบุกตะลุยเข้าไปในรังต่อจนไปจัดการกับหุ่นยนต์นางผญาได้ จนได้รู้ว่าตัวที่บังคับตัวต่อนางผญาคือผึ้งน้อยน่ารักดูไม่มีพิษภัยจนเมย์ทำร้ายไม่ลง ทั้งสองจึงไม่ได้จัดการทำให้พวกกระรอกเข้าใจผิดคิดว่าโคดี้ทรยศจึงจะจัดการให้สิ้นซาก พวกโคดี้จึงขโมยเครื่องบินบินหนีไปที่บ้าน

แล้วทั้งสองก็เข้ามาในห้องโรสที่เต็มไปด้วยหมอน ในนี้ทั้งสองได้พบของเล่นที่เคยเล่นด้วยกันมากมาย และยังมีลิงอวกาศอีกตัวที่ออกมาจัดการกับทั้งสองเพราะทั้งสองจะทำให้โรสร้องไห้ เจ้าลิงเลยขับยานอวกาศมาไล่ยิงทั้งสอง ทั้งสองจึงได้ตอบโต้จนจัดการลิงได้ในที่สุด

จากนั้นทั้งสองก็ได้เจอโรสแต่โรสกับไม่เห็นทั้งสองคน ทั้งสองจึงจะทำให้ลูกร้องไห้โดนไปทำลายสิ่งที่โรสรัก นั้นก็คือตุ๊กตาช้างที่อยู่ในปราสาทนั้นเอง ทั้งสองจึงไปบุกตะลุยปราสาท ผ่านป่าไดโนเสาร์ ตะลุยโลกโจรสลัด ปะทะหมึกยักษ์คราเคน ฝ่าปราสาทลูกบอล ทะลวงปราสาทเวทย์มนต์ และไปทำให้ช้างน้อยแสนน่ารักหูขาด จนโรสร้องให้ออกมาแต่ก็ยังคงไม่สามารถแก้เวทย์มนต์ได้ แต่ทั้งสองเหมือนเห็นว่าโรสเขียนอะไรลงบนกระดาษจึงเข้าไปอ่าน แต่ก็ถูก ดร.ฮาคิม ขโมยไปฉีกออกเป็นสี่ส่วน

ดร.ฮาคิมให้ทั้งสองปรับความเข้าใจกัน เมย์บอกโคดี้ไม่รู้เวล่ำเวลา โคดี้ก็บอกเมย์ทำแต่งาน ไม่อยู่กับครอบครัว ทั้งสองจึงต้องไปผจญภัยปรับความเข้าใจในนาฬิกานกจุ๊กกรู๊ ผจญภัยในหอคอยแดนหิมะ อีกทั้งยังดำน้ำแก้ปัญหาเติมความหวาน จนเริ่มเข้าใจกันและกันขึ้นมา

อีกทั้งสองยังต้องมีความต้องการเป็นของตัวเอง โคดี้ที่ชอบปลูกต้นไม้ ดอกไม้ ทั้งสองจึงต้องไปแก้ไขสวนและโรงเรือนเพาะปลูกที่โดดี้ทิ้งเอาไว้นาน จนกาฝากขึ้นต้นไม้ทั้งสวน ทั้งสองจึงต้องทำให้มันกลับมาสวยเหมือนเดิมจนเมย์ยังร้องชมออกมา

เมย์ที่ชอบร้องเพลงแต่เลิกร้องมานานแล้ว เพราะไม่มีเวลาและต้องเสียเงิน ทั้งสองจึงได้ไปผจญภัยค้นหา ไมค์ ลำโพง และคนดูมาจัดคอนเสริตให้กับเมย์

โรสยังคงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ของเธอ แต่ร่างกายที่แท้จริงของทั้งโคดี้และเมย์ได้หมดสติและไม่ตอบสนองต่อเธอ โรสคิดว่าพ่อแม่ของเธอไม่สนใจเธอ โรสจึงเชื่อว่าเธอคือสาเหตุที่ทำให้ชีวิตแต่งงานของพวกเขาล่มสลาย และตัดสินใจหนีด้วยความหวังว่าจะทำให้พวกเขากลับมาอยู่ด้วยกัน

หลังจากการเดินทางที่ยาวนาน โคดี้และเมย์ได้เสร็จสิ้นการทดสอบครั้งสุดท้ายของ ดร.ฮาคิมโดยสร้างเพลงที่เมย์เคยร้องขึ้นมาใหม่ ขณะที่เมย์ร้องเพลง ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโคดี้ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง และทั้งคู่ก็จูบกัน ซึ่งทำให้มนต์สะกดของทั้งคู่คลายออก พวกเขาตื่นขึ้นในร่างกายที่แท้จริงของพวกเขาและตกใจเมื่อรู้ว่าโรสหนีไปแล้ว โชคดีที่พวกเขาสามารถพบเธอที่ป้ายรถเมล์ใกล้ ๆ และรับรองกับเธอว่าเธอไม่ใช่ต้นเหตุของความขัดแย้งและพวกเขาจะรักเธอเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จากนั้นทั้งสามก็กลับบ้านพร้อมมุมมองใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขา

การระบาดของเชื้อโรคติดต่อร้ายแรงที่มีชื่อเล่นว่า "Green Flu" ซึ่งทำให้เกิดการรุกรานอย่างรุนแรง เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ในร่างกาย สูญเสียการทำงานของสมอง Left 4 Dead ได้นำเสนอเหตุการณ์เกิดขึ้นสองสัปดาห์หลังจากการติดเชื้อครั้งแรก ผู้รอดชีวิตสี่คน ทหารผ่านศึกเวียดนาม “วิลเลียม บิล โอเวอร์เบ็ค” นักศึกษาวิทยาลัย “โซอี้” ผู้จัดการบัญชีประจำเขต “หลุยส์” และนักขี่มอเตอร์ไซค์นอกกฎหมาย “ฟรานซิส” ทั้งสี่ได้ออกจากเมืองแฟร์ฟิลด์(Fairfield)

ผู้รอดชีวิตได้รับการแจ้งจากเฮลิคอปเตอร์ที่บินผ่านไปยังจุดอพยพที่หลังคาของโรงพยาบาลเมอร์ซี(Mercy) ระหว่างการต่อสู้บนท้องถนน รถไฟใต้ดิน และท่อระบายน้ำ พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากหลังคาโรงพยาบาลโดยนักบินและเขาติดเชื้อ โซอี้ถูกบังคับให้ฆ่าเขา ทำให้เฮลิคอปเตอร์ตกในเขตอุตสาหกรรมนอกเมือง หลังจากสำรวจจนพบรถหุ้มเกราะแล้ว พวกเขาก็ใช้มันเพื่อไปถึงเมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำ หลังจากพบกับชายขี้ระแวงในโบสถ์ พวกเขาจึงรู้ว่าเมืองนี้ถูกบุกรุกจากผู้ติดเชื้อ จึงเลือกมุ่งหน้าไปยังอู่เรือเพื่อติดต่อกับเรือประมงขนาดเล็ก พวกเขาถูกนำมาทิ้งที่เมือง Newburg อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ และพบว่าเรือส่วนใหญ่เกิดไฟไหม้ ตอนแวะพักอยู่ในเรือนกระจก ผู้รอดชีวิตถูกขัดจังหวะโดยเครื่องบิน C-130 Hercules ของกองทัพที่แล่นผ่านเหนือศีรษะ ทำให้พวกเขาเชื่อว่าเครื่องจะลงจอดที่สนามบินในเมือง กองทัพสหรัฐฯ ได้ทิ้งระเบิดที่สนามบินเพื่อพยายามควบคุมการติดเชื้อ แต่รันเวย์ยังเหลือบางส่วน ทำให้ผู้รอดชีวิตสามารถเติมเชื้อเพลิงและหลบหนีโดยเครื่องบินที่รออยู่

เช่นเดียวกับเฮลิคอปเตอร์ก่อนหน้า เครื่องบินลำนี้ก็ชน และผู้รอดชีวิตพบว่าตัวเองอยู่ที่ชานเมือง Allegheny National Forest พวกเขาเดินตามรอยรางรถไฟไป ในที่สุดก็ไปถึงด่านทหารที่ถูกทอดทิ้ง หลังจากรับสายสัญญาณวิทยุจากทหาร พวกเขาก็ตั้งป้อมเพื่อต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับฝูงผู้ติดเชื้อก่อนที่ APC ของทหารจะมาถึงเพื่อขนส่งพวกเขาไปยัง Northeast Safe Zone Echo ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ปลอดภัยไม่กี่แห่งที่เหลืออยู่ แต่พวกเขากลับถูกกักขังในค่ายทหาร และพวกเขายังได้รู้ว่าพวกเขาไม่มีภูมิคุ้มกันและเป็นพาหะซึ่งได้แพร่เชื้อให้หน่วยกู้ภัยส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกัน ฐานก็แตกโดยพวกกบฏ ผู้รอดชีวิตหลบหนีด้วยรถไฟและเดินทางลงใต้ตามคำเรียกร้องของบิล ซึ่งเชื่อว่าพวกเขาสามารถหาที่ปลอดภัยระยะยาวบนเกาะฟลอริดาคีย์ส(Florida Keys) ได้

ที่เมืองท่าของ Rayford ในจอร์เจีย พวกเขาพบเรือใบ แต่จะลงเรือได้ ต้องยกสะพานที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เมื่อสะพานยกขึ้น เครื่องกำเนิดไฟฟ้าไม่ทำงาน บิลจึงเสียสละตัวเองเพื่อเปิดเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อให้คนอื่นปลอดภัย ระหว่างที่รอให้ฝูงผู้ติดเชื้อสลายตัว สมาชิกที่เหลืออีกสามคนได้พบกับผู้รอดชีวิตจาก Left 4 Dead 2 พวกเขาตกลงที่จะช่วยผู้รอดชีวิตจาก Left 4 Dead 2 ลงสะพานอีกครั้งเพื่อที่พวกเขาจะได้ข้ามไปในรถของพวกเขาได้ จากนั้นหลุยส์ โซอี้ และฟรานซิสก็ขึ้นเรือและออกเดินทางไปยังฟลอริดาคีย์

เนื้อเรื่อง Left 4 Dead 2 เป็นเวลาของการติดเชื้อหนึ่งสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ในเกมก่อนหน้า ตอนนี้ ประมาณสามสัปดาห์หลังจากการติดเชื้อครั้งแรก

เรื่องราวเริ่มต้นประมาณเที่ยงวันในสะวันนา รัฐจอร์เจีย เมื่อเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยลำสุดท้ายออกไป ผู้รอดชีวิตที่โชคร้ายทั้งสี่คนกำลังปีนขึ้นไปบนโรงแรมแต่พบว่าพวกเขาสายไปเพียงไม่กี่วินาที โอกาสหลบหนีเดียวได้หมดไป ทั้งกลุ่มเลยตัดสินใจไปที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งซึ่งมีการกล่าวกันว่าเป็นศูนย์อพยพที่ยังคงอยู่ ขณะออกจากโรงแรม พวกเขาทำความรู้จักกันและกัน เอลลิส โค้ช โรเชลล์ และนิค พวกเขาต่อสู้ไปตามท้องถนนที่ทรุดโทรมในสะวันนาโดยซื้ออุปกรณ์ที่ร้านขายปืนของวิเทเกอร์ และทำข้อตกลงกับวิเทเกอร์เพื่อเข้าถึงห้างสรรพสินค้า แต่กลับพบว่ามันถูกทิ้งร้างและเต็มไปด้วยผู้ติดเชื้อ ด้วยความสิ้นหวัง พวกเขาตัดสินใจที่จะเจาะลึกเข้าไปในอาคารด้วยความหวังว่าศูนย์อพยพจะอยู่ลึกเข้าไปข้างใน ปรากฎว่าศูนย์อพยพถูกทำลายและตัวแทน CEDA ทั้งหมดเสียชีวิตหรือติดเชื้อ ด้วยความสิ้นหวัง พวกเขาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของห้างสรรพสินค้าและค้นพบรถสต็อกของจิมมี่ กิ๊บส์ จูเนียร์ในตำนาน จู่ๆ เอลลิสก็เกิดความคิดที่จะเติมน้ำมันรถ พวกเขาหาน้ำมันมาเติมและขับรถหลบหนีไป

จากนั้นทั้งสี่ก็มาถึง Rayford และพบสะพานยกระดับที่พวกเขาไม่สามารถข้ามไปได้ พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากผู้รอดชีวิตจาก Left 4 Dead พวกเขาได้แจ้งว่าพวกเขาไม่สามารถลดสะพานได้เนื่องจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้ลดสะพานนั้นเชื้อเพลิงหมดและพวกเขาต้องดูแลผู้บาดเจ็บ ผู้รอดชีวิตดั้งเดิมสามคนตกลงที่จะช่วยเหลือโดยปกป้องพวกเขาจากที่สูง ทั้งสี่ตามหาถังน้ำมัน เติมเครื่องปั่นไฟ ข้ามสะพานที่ลดระดับแล้ว จึงขับรถออกไปที่นิวออร์ลีนส์

ขับรถมาถึง Griffin County และค้นพบกองพาหนะขนาดใหญ่ที่ถูกทิ้งร้าง บังคับให้พวกเขาต้องลงจากรถและเดินเท้าสำรวจ โดยพวกเขาพบคนติดผู้ติดเชื้อและฆ่าพวกเขา เมื่อลงไปใต้สะพานลอย จะเห็นแสงไฟส่องทางสว่างอยู่แต่ไกล ทั้งกลุ่มตัดสินใจมุ่งหน้าไปทางแสงไฟเพราะพวกเขาเชื่อว่าอาจมีผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ  รออยู่ที่สวนสาธารณะ มาถึงจึงรู้ว่าแสงไฟมาจากสวนสนุก Whispering Oaks และผู้รอดชีวิตพบว่าสวนแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้ติดเชื้อ พวกเขาต่อสู้ฝ่าฟันฝูงคนติดเชื้อ และเมื่อพวกเขาออกจากอุโมงค์แห่งความรัก พวกเขาจะพบเฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือศีรษะ และเหมือนจะพยายามค้นหาผู้รอดชีวิตอยู่ ขณะที่พวกเขาต่อสู้ฝ่าฟัน  เฮลิคอปเตอร์ก็บินกลับมาอีกครั้ง โค้ชก็เกิดความคิดดีๆ ที่จะใช้อุปกรณ์ของ Midnight Riders ใน The Peach Pit เพื่อเริ่มคอนเสิร์ตดึงดูดความสนใจของนักบินเฮลิคอปเตอร์ กลเม็ดนี้ได้ผลและผู้รอดชีวิตสามารถหลบหนีไปกับเฮลิคอปเตอร์ได้ ในขณะที่ฝูงคนติดเชื้อรุมล้อมสนามกีฬา

แต่ครั้งนี้โชคไม่เข้าข้างพวกเขา นักบินเฮลิคอปเตอร์ติดเชื้อ นิคจึงยิงเขาและทำให้เฮลิคอปเตอร์ตก  ผู้รอดชีวิตหนีออกจากเฮลิคอปเตอร์ที่ตกและพบว่าพวกเขาอยู่ในลำธาร พวกเขาค้นพบหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชาวเมืองตัดสินใจปกป้องตนเอง แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวเพราะถูกบุกรุก พวกเขาเจอฟาร์มจระเข้และเดินต่อไปจนพบซากเครื่องบินลำหนึ่ง พวกเขาถูกบังคับให้เปิดใช้งานทางออกฉุกเฉินของเครื่องบิน และดึงดูดผู้ติดเชื้อที่ได้ยินเสียงทางออกฉุกเฉิน พวกเขาฟันฝ่าออกไปและไปถึงหมู่บ้านซึ่งดูเหมือนจะไม่เสียหายมากนัก น่าเสียดายที่พวกเขาพบว่าหมู่บ้านนี้ถูกบุกรุกเช่นกัน แต่ผู้รอดชีวิตได้แจ้งให้ผู้สัญจรไปที่ Plantation House ซึ่งพวกเขาค้นพบวิทยุ เมื่อโต้ตอบกับวิทยุ พวกเขาพบผู้รอดชีวิตอีกคน เวอร์จิล และแจ้งเขาว่าพวกเขาอยู่ที่บ้านไร่ เวอร์จิลรู้ที่ตั้งและเปิดประตูออกหลังจากที่ผู้รอดชีวิตได้ป้องกันฝูงผู้ติดเชื้อและหลบหนีไปบนเรือก่อนที่พวกเขาจะเอาชนะได้

เวอร์จิลส่งทั้งกลุ่มไปที่นิวออร์ลีนส์ ทั้งกลุ่มกล่าวคำอำลาเมื่อเขาขับเรือออกไปตามหาผู้รอดชีวิตเพิ่ม  โค้ชรู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันทีที่พวกเขาเห็นเครื่องบินขับไล่บนท้องฟ้า ในขณะที่เขารู้ว่ากองทัพยังไม่ได้ละทิ้งเมืองนี้ แม้ว่านิคจะสงสัยเกี่ยวกับการปรากฏตัวของพวกเขา พวกเขาพิจารณาว่าสะพานที่อยู่ไกลออกไปเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการเอาตัวรอดและค้นพบศพของผู้ที่ไม่ติดเชื้อระหว่างทาง ผู้รอดชีวิตสรุปได้อย่างถูกต้องว่ากองทัพเข้าควบคุมสถานการณ์ พวกเขาเดินผ่านพื้นที่ถูกทิ้งระเบิด และเร่งฝีเท้าไปที่สะพาน นิคระมัดระวังเกี่ยวกับกองทัพเพราะพวกเขาอาจไม่ได้มีเจตนาดี แต่คนอื่นๆ มองโลกในแง่ดี ว่าพวกเขาน่าจะได้รับการช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ทหารสองคนบอกผู้รอดชีวิตว่าพวกเขาโชคดี และพวกเขามีเวลาสิบนาทีในการไปถึงอีกฟากหนึ่งของสะพาน ผู้รอดชีวิตต่อสู้ผ่านผู้ติดเชื้ออยู่บนสะพานและไปถึงหน่วยกู้ภัย 7 เพราะเมื่อหน่วยกู้ภัย 7 ออกไป เครื่องบินขับไล่ก็จะทิ้งระเบิดที่สะพานเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อออกจากเมือง และนักบินพาพวกเขาไปที่เรือสำราญของทหารในทะเล

กมลาเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองที่เรียกว่า "วันอเวนเจอร์ส" ซึ่งเปิดตัวสำนักงานใหญ่แห่งที่สองของอเวนเจอร์สในซานฟรานซิสโกและยานของพวกเขาเองที่ชื่อว่าคิเมร่า พิธีถูกขัดจังหวะด้วยการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่นำโดย Taskmaster การต่อสู้นี้นำไปสู่การระเบิดแกนกลางที่ขับเคลื่อนด้วย Terrigen Crystal ของคิเมร่า และการตายของกัปตันอเมริกา

ซานฟรานซิสโกถูกทำลายและปกคลุมไปด้วย Terrigen Mist  ซึ่งหมอกนี้ในภายหลังทำให้บุคคลจำนวนมากแสดงพลังเหนือมนุษย์โดยไม่ได้ตั้งใจในฐานะ Inhumans รวมถึงกมลาด้วย เหตุการณ์นี้ถูกจดจำในฐานะโศกนาฏกรรมที่เรียกว่า "A-Day"

ห้าปีต่อมาที่บ้านของเธอในเจอร์ซีย์ซิตี กมลาค้นพบวิดีโอที่เสียหายซึ่งดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการตายของกัปตันอเมริกาในทาร์ลตัน เธอพบการติดต่อจากกลุ่มต่อต้านเอ.ไอ.เอ็ม. ขบวนการต่อต้านที่เรียกว่า "Tiny Dancer" แต่ถูก ทาร์ลตัน และ โมนิก้า จับตัวไว้ กมลาหลบหนีและเดินทางไปยังยูทาห์เพื่อค้นหาฐานปฏิบัติการของกลุ่มต่อต้าน การค้นหาของเธอนำเธอไปสู่ซากของ คิเมร่า ที่เสียหาย 

ซึ่งเธอได้พบกับ Hulk ที่เข้าโจมตีเธอก่อน เธอหลบหนีและ Hulk กลับไปเป็น Banner เธอเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยเธอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเหล่าอเวนเจอร์ส เดินทางไปยังอดีตหน่วย S.H.I.E.L.D.  เพื่อดึงตัว J.A.R.V.I.S. กลับมา ทั้งสองเผชิญหน้ากับ A.I.M. และ Abomination Hulk ได้เข้าปะทะและเอาชนะเขา ก่อนที่เขาและกมลาจะกลับไปที่ คิเมร่า เพื่อเปิดใช้งาน J.A.R.V.I.S. 

ทั้งสองออกเดินทางเพื่อรวบรวมเหล่าอเวนเจอร์ส ขณะที่พวกเขาพบสตาร์คในที่ดินของครอบครัว เขาไม่พอใจแบนเนอร์เพราะคำให้การของเขาเกี่ยวกับ A-Day กล่าวหาพวกอเวนเจอร์ส เมื่อทราบหลักฐานของกมลา สตาร์คก็ตกลงที่จะร่วมกับพวกเขาและซ่อมแซมคิเมร่า

ท่ามกลางการค้นหาชิ้นส่วนเพื่อซ่อมแซมคิเมร่า กมลาและแบนเนอร์สะดุดกับแอนท์ฮิลล์ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้มนุษยธรรม และสำนักงานใหญ่ของกลุ่มต่อต้านที่ดำเนินการโดยแฮงค์ พิม ขณะช่วยเหลือพวกเขา กมลาไม่เชื่อฟังคำสั่งและพยายามโจมตี A.I.M. เพื่อช่วยเหลือนักโทษแต่ถูกจับได้ 

ขณะถูกควบคุมตัว เธอได้เรียนรู้ว่า โมนิก้า พยายามรักษา Inhuman แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้ ทาร์ลตัน ให้ความสำคัญกับการผลิตหุ่นยนต์ Adaptoid นาตาชา โรมานอฟปกปิดตัวตนของเธอใน A.I.M. และแทรกซึมเข้าไป เธอจับโมนิก้า แปลดปล่อยกมลา และเปิดเผยตัวตนของเธอในฐานะ Tiny Dancer 

แบนเนอร์พยายามสอบปากคำ โมนิก้า เกี่ยวกับที่อยู่ของห้องปฏิบัติการ Adaptoid แต่กลับถูกตลบหลัง A.I.M. ยกกองกำลังเข้าโจมตี คิเมร่า และช่วย โมนิก้า กลับคืนไป เมื่อเห็นการโจมตี Thor ก็เข้ามาแทรกแซงและเข้าร่วมกับเหล่าอเวนเจอร์ส J.A.R.V.I.S. เรียกคืนภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากัปตันอเมริกาสั่งให้ทาร์ลตันผนึกเขาไว้ข้างในเพื่อที่เขาจะได้ทำลายเครื่องปฏิกรณ์ของคิเมร่า ซึ่งเห็นได้ชัดว่านั้นทำให้เกิดการระเบิดขึ้น และเชื่อว่า A-Day เป็นความผิดของพวกเขาจริงๆ ส่วนเวนเจอร์สก็แตกเป็นเสี่ยงๆ

ขณะตรวจสอบภาพการสอบสวน กมลาพบว่าห้องทดลอง Adaptoid ของ A.I.M. นั้นตั้งอยู่นอกโลกในดาวเทียมชื่อ Ambrosia เธอส่งต่อข้อมูลนี้ไปยังเหล่าอเวนเจอร์สและคุยกับพวกเขาด้วยคำพูดที่จริงใจ สตาร์คอัพเกรดชุดของเขาเพื่อเดินทางไปในอวกาศและแทรกซึมเข้าไปในดาวเทียม ซึ่งเขาค้นพบว่ากัปตันอเมริกายังมีชีวิตอยู่และถูกใส่ไว้ในอุปกรณ์ระงับการเคลื่อนไหว เพื่อให้โมนิก้าสามารถเก็บเกี่ยวเลือดของเขาเพื่อเสริมพลังให้กับอแดปทอยด์และเร่งการกลายพันธุ์ของทาร์ลตันอย่างลับๆ 

ขณะหนีออกจากดาวเทียม ธอร์ได้มาช่วยพวกเขาและกัปตันอเมริกาได้เปิดเผยว่าเขาทำลายเครื่องปฏิกรณ์เพราะว่าตรวจเจอวัตถุที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ใต้อ่าวซึ่งขู่ว่าจะทำลายรอยเลื่อนซานแอนเดรียสและทำลายแคลิฟอร์เนีย ในขณะเดียวกัน ทาร์ลตัน พบว่าซีรั่มของ โมนิก้า ดูเหมือนจะทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ และมันทำให้เขาเกิดการกลายพันธุ์ เขาจึงฉีดมันคืนให้ โมนิก้า

เมื่อรวมตัวกันอีกครั้ง เหล่าอเวนเจอร์สสรุปได้ว่า โมนิก้า จ้าง Taskmaster เพื่อจี้คิเมร่า และขโมย Terrigen Crystal ซึ่งพบวัตถุฝังอยู่ในอ่าว พวกเขารู้ว่า ทาร์ลตัน ซึ่งปัจจุบันเรียกตัวเองว่า "MODOK" มีแผนจะกำจัดพวก Inhumans ทั่วโลกและฆ่าตัวตายในภายหลัง เหล่าอเวนเจอร์สบุกโจมตีป้อมปราการในซานฟรานซิสโก 

MODOK เปิดใช้งาน Kree Sentry ขนาดยักษ์และควบคุมมันได้ กมลาเติบโตเป็นขนาดยักษ์โดยไม่คาดคิด เธอทุบทำลาย Kree Sentry และส่ง MODOK ตกลงไปในอ่าว หลังจากที่เธอหายดีแล้ว กมลาก็ได้กลับบ้านไปหาพ่อของเธอ ซึ่งยอมให้เธอเข้าร่วมอเวนเจอร์ส

เมื่อเราลงมาจากห้องนอนก็ได้ยินการค้นพบเกียราโดสสีแดงในทะเลสาบ ทำให้เพื่อนของเรารีบมาตามเราไปสำรวจทะเลสาบ เมื่อไปถึงพวกเราได้พบกับชายแก่และหญิงสาวอยู่ริมทะเลสาบ พวกเขาเหมือนกับไม่เจอสิ่งที่ต้องการแล้วรีบร้อนกลับกัน จนลืมกระเป๋าเอาไว้

พวกเราสงสัยจึงเข้าไปสำรวจแต่ด้วยความโชคร้ายทำให้เจอโปเกมอนเข้าจู่โจม ทั้งสองไม่รู้จะทำยังไง จึงรื้อค้นกระเป๋าเผื่อจะมีทางรอดและได้ค้นพบโปเกบอลที่บรรจุโปเกมอนเอาไว้ ทั้งสองต่อสู้ร่วมกับโปเกมอนในโปเกบอลจนเอาชนะมาได้

ด้วยความรู้สึกผิดทั้งสองจึงเอากระเป๋ามาคืนพร้อมบอกสิ่งที่เกิดขึ้น ชายแก่ไม่ได้ว่าอะไร และได้แนะนำตัวว่าชื่อ “โรแวน” กำลังวิจัยเกี่ยวกับโปเกมอน เขาได้ให้โปเกมอนกับเราโดยแลกกับการให้เราเดินทางเก็บข้อมูลโปเกมอนให้กับเขา

เราสองคนจึงไปขอทางบ้านออกเดินทาง โดยทั้งสองมุ่งเป้าสู่โปเกมอนลีค แต่ก่อนหน้านั้นต้องไปเอาชนะยิมต่างๆ ทั้ง 8 ยิมให้ได้ก่อน เพื่อนเราด้วยความอยากลองวิชา จึงท้าเราสู้แต่ได้พ่ายแพ้ไป ทำให้เพื่อนอยากเก่งขึ้น จึงรีบเดินทางออกไปก่อนโดยไม่รอเรา

เราได้เรียนรู้กับหลานสาวของ ดร.โรแวน เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลแล้วจึงออกเดินทางไปยังยิมแรกเพื่อเก็บสะสมเหรียญตรา

เราได้เดินทางลอดใต้ภูเขาจนไปถึงหน้ายิม แต่คนเฝ้ากลับบอกว่าหัวหน้ายิม “โลค” ไม่อยู่ เขาได้ลงไปยังเหมืองให้เราไปตามดู เราก็ลงไปตามทางที่บอกและได้เจอหัวหน้ายิมและได้ต่อสู้กันในที่สุด

เมื่อเอาชนะมาและได้เหรียญตราแรก เราจึงออกเดินทางไปยิมต่อไป ระหว่างทางเราได้ผ่านหมู่บ่านที่เต็มไปด้วยดอกไม้ และกังหันลมผลิตไฟฟ้า ที่นี่เราได้เผชิญหน้ากับแก๊งกาแลคติคที่กำลังพยายามขโมยกระแสไฟฟ้า เราจึงเข้าไปขัดขว้างเอาไว้

หลังจากช่วยชาวบ้านไว้ เราก็เดินทางต่อไปยังยิมต่อไปซึ่งหัวหน้ายิมเป็นสาวขี้เล่นผู้ใช้โปเกมอนพืชมาสู้กับเรา

เมื่อเอาชนะและได้เหรียญตราที่สอง เราออกเดินทางต่อ ซึ่งขณะจะเดินทางเราก็เจอสาวงามผู้ลึกลับนาม “ซินเทีย” ที่เข้ามาถามเรื่องงานที่เราช่วย ดร.โรแวน อยู่ ซึ่งเราตัดสินใจซื้อจักรยานแต่ลุงเจ้าของคนขายดันถูกพวกแก๊งกาแลคติคเอาตัวไป เราเลยบุกไปที่ตึกของพวกมัน และช่วยลุงออกมา จนได้จักรยานมาในที่สุด

เราขี่จักรยานผ่านเส้นทางจักรยานเพื่อไปยังเมืองต่อไป เราตัดสินใจตัดผ่านเทือกเขาโคโรเน็ตเพื่อย่นระยะทาง ในเทือกเขานี้เราได้พบกับชายประหลาดที่เอาแต่พูดเรื่องการกำเนิดของภูมิภาคชินโอ

เมื่อเราทะลุผ่านเทือกเขามาได้ เราก็จับโปเกมอนที่วิ่งเล่นไปมาได้ หญิงสาวที่เป็นเจ้าของจึงมาขอบคุณเรา และให้เราลองไปหาที่สถานจัดงานประกวดโปเกมอน เพราะเธอเป็นกรรมการอยู่ที่นั้น

เมื่อเรามาถึงสถานที่จัดงาน เราก็ต้องตกใจเมื่อเจอแม่ของเราเองคุยกับหญิงสาวคนนั้นอยู่ และเราก็ได้รู้ว่าแม่ของเราเคยเป็นคนชนะการประกวดโปเกมอนมาก่อน และแม่ยังแนะนำให้เราลองลงประกวดดูแถมยังให้ชุดมาเสร็จสับ

เราจึงลองลงประกวด แต่ด้วยความฟรุ๊คหรืออะไรก็แล้วแต่เราก็สามารถเอาชนะมาได้ แม้จะเป็นระดับมือใหม่ก็ตาม หลังจากออกจากงานเราเดินทางไปเมืองถัดไป สู้กับยิม

หลังจากชนะออกมา เราจะเจอกับหลานสาว ดร. ที่มาบอกว่าโปเกเด๊ก โดนขโมยไปโดยแก๊งกาแลคติค เราจึงไปทวงคืนมาให้โดยการบุกถล่มโกงดังเก็บของที่เมืองนี้ หลังจากนั้นเราเดินทางไปอีกเมืองสู้ยิมเสร็จก็เดินทางต่อ

ระหว่างทางเราจะเจอกับเพื่อนเราที่มาท้าสู้ ซึ่งเราก็เอาชนะเพื่อนได้อีกครั้ง เพื่อนจึงออกเดินทางฝึกฝีมืออีกครั้ง เราจึงไปเดินเล่นในสวนซาฟารีจับโปเกมอน แล้วจึงออกเดินทางต่อ

แต่ในระหว่างทางเราดันเจอกับฝูงโปเกมอนขวางทางเอาไว้ แต่ก็ได้ซินเทียเอาของมาให้ช่วยเปิดทางให้ ซินเทียเลยวานเราให้เอาของไปให้คุณย่าเธอหน่อยเนื่องจากเราผ่านทางพอดี 

ขณะที่เราผ่านหมู่บ้านที่มีซากโบราณสถานอยู่เราก็พบเข้ากับแก๊งกาแลคติคกำลังจะระเบิดโบราณสถาน เราจึงเข้าขัดขวาง แต่พวกนั้นก็เหมือนจะได้ในของที่ต้องการไปแล้ว เราจึงได้รู้จากคุณย่าซินเทียที่เราเอาขอมาให้เกี่ยวกับตำนานของโปเกมอนมายา

ตอนออกจากซากเราจะเจอชายที่พูดเกี่ยวกับการกำเนิดภูมิภาคชินโอมาแนะนำตัวว่าชื่อ “ไซรัส” มาพูดให้เราฟังเกี่ยวกับการสร้างโลก ซึ่งเขาต้องการจะสร้างโลกขึ้นมาใหม่

เราเลยเอาเรื่องนี้มาบอกกับซินเทีย ซึ่งเธอก็ขอให้เราไปห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมให้หน่อย เราจึงเดินทางไปสู้กับยิมต่อไป ซึ่งอยู่ที่เมืองเดียวกับหอสมุด ระหว่างทางเราก็ได้เจอเพื่อนเราอีกครั้ง และได้สู้กันเราก็ยังชนะอีก

ในหอสมุดเราจะเจอเรื่องเกี่ยวกับตำนานแห่งท้องทะเล ซึ่งเกี่ยวกับโปเกมอนมายาสามตัว แต่ในระหว่างหาข้อมูลเราจะเจอเพื่อนเรามาเรียกไปเจอ ดร.โรแวน ซึ่งดร. กำลังทำการวิจัยเกี่ยวกับพลังงานที่เกิดจากการพัฒนาร่างของโปเกมอน แต่โปเกมอนในตำนานนั้นไม่เคยพัฒนาร่าง ดร. อยากรู้เรื่องนี้ จึงให้เราสามคนออกค้นหาโปเกมอนมายาทั้งสามจากสามทะเลสาบของชินโอ

แต่ตอนนั้นเองก็มีการระเบิดที่ทะเลสาบ เราจึงรีบเดินทางไปที่ทะเลสาบแล้วได้รู้ว่าแก๊งกาแลคติกได้ออกจับตัวโปเกมอนมายาทั้งสามไปแล้ว

เราตัดสินใจไปช่วยโปเกมอนมายาโดยการบุกตึกศูนย์บัญชาการใหญ่ของแก๊ง ซึ่งเราสามารถช่วยโปเกมอนออกมาได้ แต่แก๊งกาแลคติกก็สามารถสร้างโซ่แดงจากพลังของโปเกมอนทั้งสาม และกำลังจะเอาพลังนี่ไปทำอะไรบ้างอย่างที่ยอดเขาโคโรเน็ต

เราจึงมุ่งหน้าสู้ยอดเขา ที่ตั้งของวิหารของโปเกมอนในตำนาน บนนี้เราจะได้รู้เรื่องว่าพลังของโซ่แดงเอาไว้บังคับโปเกมอนในตำนานให้ทำลาล้างโลกในนี้ แต่เราก็สามารถขัดขวางได้สำเร็จด้วยความช่วยเหลือของโปเกมอนมายาทั้งสาม

หลังจากจบเรื่องเราจึงเดินทางเพื่อมุ่งหน้าสู่โปเกมอนลีค

เรื่องราวในครั้งนี้นั้นเกี่ยวกับ “ราจี” นักแสดงละครสัตว์ เธอนั้นกำพร้า ครอบครัวเดียวที่เธอมีอยู่ก็คือ “โกลู” น้องชายของเธอ ในงานวัน Raksha Bandhan อสูรได้เข้าโจมตีงานรื่นเริงที่พี่น้องได้ทำงานอยู่ ขณะที่กองทัพอสูรกำลังทำลายทุกสิ่ง สามตนในนั้นได้ลักพาตัวโกลูไป 

สิ่งนี้ทำให้ราจีต้องเดินทางเอาตัวน้องชายของเธอกลับมาให้ได้ ในขณะเดียวกัน เธอก็ถูกจับตาโดยพระแม่ทุรคา และพระวิษณุ พระแม่ทุรคา สนับสนุนสาวกที่อายุน้อยของเธอในขณะที่พระวิษณุมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเธอ

ราจีได้ผ่านซากปรักหักพัง และเมื่อไปถึงวิหาร พระแม่ทุรคาได้ประทาน Trishul (ตรีศูล) อันศักดิ์สิทธิ์ให้กับเธอ ซึ่งเธอใช้เพื่อต่อสู้และฆ่าอสูรและช่วยเหล่าเชลยที่ถูกจับ แล้วเธอยังค่อยๆ นึกถึงความทรงจำในวัยเด็กของเธอ

ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังการลักพาตัวของโกลูและการบุกรุกของอสูรก็คือจอมอสูรมหาพละสุระ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นหนึ่งในพวกพราหมณ์ ผู้มีความรู้ทางจิตวิญญาณ แต่ถูกขับไล่เพราะความเย่อหยิ่งของเขา เขาจึงบำเพ็ญเพียรเพื่อขอพรจากพระพรหม ให้ประทานพรแห่งความเป็นอมตะและตรีศูลอันทรงพลังให้กับเขา ด้วยพลังเหล่านี้ เขาได้รวมกลุ่มอสูรและเริ่มการทำลายล้างโลก เมื่อพระแม่ธรณีเรียกร้องให้เขาหยุดกระทำสิ่งเหล่านี้ เขาก็ได้ฆ่าเธอ พระศิวะทรงโกรธกริ้วเป็นอย่างยิ่งนักและได้กักขังเขาเอาไว้ หลังจากถูกกักขังมาหลายปี มหาพละสุระก็กลับมาอีกครั้ง

ราจีได้ตามอสูรที่พาโกลูและเด็กๆ อีกหลายคนไปที่ป้อมปราการ Jaidhar ที่นี่เธอได้รับคันศรศักดิ์สิทธิ์จากพระวิษณุซึ่งเริ่มพบว่าเธอมีความสามารถ เมื่อไปถึงป้อมปราการ หัวหน้าอสูรได้ส่งโกลูไปให้ มหาพละสุระ ผ่านประตูเวทย์มนตร์ก่อนที่ราจีมาถึง ราจีจึงได้สังหาร Chieftain

จากนั้นราจีจะถูกส่งไปยังเมือง Hiranya Nagari ซึ่งเป็นเมืองแห่งสวรรค์และเทคโนโลยีขั้นสูงของพระวิษณุ ซึ่งถูกรังดา ราชินีอสูรผู้ทรงพลังเข้ายึดครอง ทำให้ยามของเมืองอยู่ภายใต้มนต์สะกดของเธอและวางยาพิษในผืนน้ำ 

ราจีวิ่งไปรอบเมืองและสังหารสมุนของรังดา เธอยังได้รับดาบและโล่ศักดิ์สิทธิ์จากเทพทั้งสองที่เฝ้าดูเธอ ในที่สุดราจีก็ปราบรังดาได้สำเร็จ จากนั้นจึงได้ขี่มยุรา นกยูงสีขาวขนาดยักษ์มายังดินแดนของมหาพละสุระ

เมื่อเธอไปถึงดินแดนแห่งมนตรา ราจีพบว่าหลายคนถูกมหาพละสุระฆ่าหรือถูกทำให้เป็นหิน หลังจากต่อสู้ผ่านฝูงอสูรและทำให้นาคสงบลง ในที่สุดเธอก็เผชิญหน้ากับมหาพละสุระ เขาบังคับให้หัวหน้าพราหมณ์มอบม้วนกระดาษโบราณให้เขาและหลบหนีไป 

ราจีได้รับบาดเจ็บสาหัส ราจีซึ่งใกล้ตายได้รับการชุบชีวิตโดยพราหมณ์และได้พบกับน้องชายของเธออีกครั้ง อย่างไรก็ตามมหาพละสุระต้องการแก้แค้นเทพที่กักขังเขาเอาไว้ แผนการของเขาคือการเปิดประตูสวรรค์ เพื่อเขาจะได้บุกอาณาจักรของเทพและสังหารพวกเขา ม้วนกระดาษที่เขาหยิบมาจากหัวหน้าพราหมณ์บรรจุคาถาเพื่อเปิดประตู 

ราจีได้รับเลือกให้เป็นนักรบที่จะหยุดยั้งเขาและฟื้นฟูความสมดุลของจักรวาล ดังนั้นเธอจึงเดินทางต่อโดยทิ้งโกลูไว้กับพวกพราหมณ์

ราจีไปถึงทะเลทรายธาร์ ที่ซึ่งมหามหาพละสุระได้เริ่มต้นแผนการของเขา ที่นี่เธอจะได้รับจักรสุดาชาน อาวุธที่ทรงพลังที่สุดของพระวิษณุ เธอตะลุยผ่านทะเลทรายและฆ่าอสูร ในที่สุดราจีได้เผชิญหน้ากับมหาพละสุระและเกือบจะพ่ายแพ้ เขาได้หลอกล่อเธอด้วยร่างโคลนของเขา 

ขณะที่ราจีต่อสู้กับร่างโคลน จอมอสูรก็บังคับกับโกลูซึ่งตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ท่องบทสวดเพื่อเปิดประตู (อาจบอกเป็นนัยได้ว่าเหตุที่โกลูถูกลักพาตัวไปก็เพราะบทสวดต้องการให้บุคคลที่มีใจบริสุทธิ์ทำงานดังที่เทพทั้งสองเคยกล่าวไว้) 

ตอนนี้ด้วยแผนการสำเร็จแล้ว มหาพละสุราจึงเริ่มโจมตีอาณาจักรแห่งทวยเทพ โกลูจะกลับมารวมตัวกับราจีอีกครั้ง เนื่องจากชะตากรรมของทั้งเทพเจ้าและมนุษยชาติจะเป็นอย่างไรต่อไป…

ในอดีตมนุษย์ได้ใช้ทรัพยากรบนโลกไปจนเกือบหมด เหล่านักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจึงได้ตระหนักถึงทรัพยากรที่น้อยลง ทุกคนจึงร่วมมือกันคิดค้นยานอวกาศเพื่อออกเดินทางหาทรัพยากร จนเกิดเป็นยุคสำรวจอวกาศเกิดขึ้น

รานี่และเบ๊ค ทั้งสองได้ประกอบอาชีพเป็นคนหาทรัพยากรตามดวงดาวต่างๆ ทั้งสองคนได้เดินทางกับยานอวกาศ “บันนี่” คู่ใจ ซึ่งยานของทั้งสองเนี่ยก็ยังคงผ่อนไม่หมด ทั้งสองจึงต้องทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเพื่อหาเงินมาผ่อนยานให้ได้ 

วันหนึ่ง ขณะที่พวกเขาเดินทางออกจากดวงดาวที่ทรัพยากรเริ่มร่อยหรอรวมถึงถังเชื้อเพลิงของยานเองก็เริ่มหมดลง ทั้งสองตัดสินใจลงจอด ณ ดวงดาวที่ใกล้ที่สุด ทั้งสองหวังเป็นอย่างมากว่าดาวนี้จะสามารถหาเชื้อเพลิงมาเติมให้กับยานแล้วกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย 

ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าขณะที่ลงจอดนั้นก็ได้มีสัญญาณรบกวนวิทยุของยานทำให้ไม่สามารถสแกนค้นหาเชื้อเพลิงได้ รานี่ก็เลยต้องออกสำรวจดูว่าเพราะเหตุอะไรทำไมวิทยุสื่อสารถึงโดนรบกวน 

ขณะที่กำลังสำรวจอยู่ รานี่เผอิญไปเห็นหมอกแปลกๆ สีดำๆ เกาะอยู่ตามส่วนต่างๆ ของดวงดาว ทั้งสองปรึกษากันแล้วรู้ว่าหมอกดำมันคือ The Gang นั่นเอง ซึ่งเป็นหมอกประหลาดที่ไม่ว่าจะไปเกาะที่ไหนก็จะดูดพลังชีวิตบริเวณนั้นจนหมด 

รานี่ก็ไม่ได้กลัวหมอกนั้นเพราะว่ารานี่มีสิ่งประดิษฐ์แขนกลอยู่ ซึ่งเจ้าแขนกลนี้สามารถดูดหมอกและทำให้มันสลายตัวไปได้ รานี่จึงได้ทำความสะอาดบริเวณรอบๆ ให้หมอกหมดไป เมื่อหมอกหมดไป สิ่งมีชีวิตพืชพันธุ์ต่างๆ ก็ฟื้นคืนชีวิตกลับมา รวมถึงสัญญาณวิทยุด้วยที่ฟื้นกลับคืนมาเหมือนเดิม ทำให้ทั้งสองรู้ว่าจะต้องกำจัดพวก “กั๊ง” หรือหมอกประหลาดไปให้หมดเพื่อจะได้ทวงสัญญานวิทยุกลับคืนมาเพราะว่าจะได้หาเชื้อเพลิงจากดาวดวงนี้ได้ง่ายขึ้น 

เมื่อได้จุดหมายแล้ว รานี่ก็ไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อกู้คืนสัญญาณวิทยุ แต่อยู่ๆ เธอได้เข้าไปยังโบราณสถานที่มีรูปปั้นประหลาด ไม่รู้ว่าอารยธรรมนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่และทำไมอารยธรรมนี้ถึงถูกทิ้งร้างไป 

รานี่รู้สึกอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอลองเข้าไปสำรวจดูซิว่าเมืองร้างแห่งนี้มันเป็นยังไง

เมื่อสำรวจไปเรื่อยๆ เธอก็ได้ไปเจอท่อประหลาดที่เปล่งแสงสีเขียวสดใส เมื่อสำรวจไปเรื่อยๆ เบ๊คก็รู้ว่าท่อนี้เป็นตัวขนส่งพลังงานบริสุทธิ์ เบ๊คจึงขอให้ราณีเดินตามท่อนี้ไปเผื่อจะเจอที่อยู่ของเชื้อเพลิงยานอวกาศ

รานี่เดินตามท่อไปก็ได้ไปพบเข้ากับเหมืองโบราณแห่งหนึ่ง ในเหมืองนั้นเธอได้พบกับอุปกรณ์แปลกๆ ที่เธอไม่เคยพบเคยเห็นที่ดาวดวงไหนมาก่อน อีกทั้งเธอได้ยังพบประชากรของดาวดวงนี้ที่ถูกกักขังอยู่ในอุปกรณ์บางอย่าง ด้วยความจิตใจดีของเธอ เธอจึงตัดสินใจช่วยคนๆ นี้ออกมา 

เมื่อช่วยออกมาแล้ว เธอจึงได้รู้ความลับของดาวดวงนี้ ในสมัยก่อนประชากรอยู่กับธรรมชาติ จนวันหนึ่งได้มีคิดค้นเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกขึ้นมา ทำให้ประชากรเสพติดความสะดวกสบาย อีกทั้งยังได้พบกับ “การ์เด้นเนอร์” 

เขาได้ให้คำแนะนำกับประชากรบนดวงดาวเกี่ยวกับวิธีทำให้ทุกคนสะดวกสบายยิ่งขึ้น ประชากรบนดาวไม่ได้เอะใจเลยว่าตัวเองนั้นกำลังถูกหลอกอยู่ ทำให้ประชากรดวงดาวทั้งหมดตกอยู่ภายในกำมือของการ์เด้นเนอร์ 

รานี่ที่ได้รู้เรื่องทั้งหมดจึงได้ตัดสินใจเข้าไปช่วยปลดปล่อยประชากรบนดาวนี้ให้เป็นอิสระ เพราะเหตุนี้ทำให้รานี่กับเบ๊คทะเลาะกัน คนหนึ่งต้องการช่วย อีกคนก็คิดว่าแค่ปัญหาของเราก็หนักเกินพอแล้ว

รานี่ไม่สนใจคำห้ามปรามของเบ๊ค แล้วได้เดินทางสู่หอคอยของการ์เด้นเนอร์ เมื่อเข้าไปในหอคอยแล้วรานี่ได้พบกับสิ่งประหลาดมากมายและรู้ว่าหอคอยแห่งนี้ได้เก็บรวบรวมพลังงานของดวงดาวเอาไว้ในหอคอยแห่งนี้โดยเฉพาะ 

เมื่อรานี่ขึ้นไปถึงบนยอดหอคอยเธอก็ได้เจอกับการ์เด้นเนอร์ เธอได้ลองพูดคุยได้ความว่า การ์เด้นเนอร์กำลังช่วยดาวดวงนี้อยู่โดยการใช้พลังงานบนดาวดวงนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่รานี่ยังบอกให้การ์เด้นเนอร์ปล่อยทุกคนออกมา 

เมื่อความเห็นต่างกันจึงต้องวัดกันว่าใครกำปั้นใหญ่กว่า แต่รานี่ก็ไม่สามารถสู้ได้ จึงต้องหลบหนีออกมา 

รานี่หลบหนีอย่างไม่ลืมหูลืมตาไม่ดูหน้าดูหลังทำให้หลงทางอยู่ในทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ในทะเลทรายนี้เองที่รานี่ได้รู้ความจริงว่าที่รกร้างเวิ้งว้างนี้คือเหมืองพลังงานเก่าของดาวดวงนี้ ประชากรบนดวงดาวดวงนี้ได้ดึงดูดพลังงานทั่วบริเวณไปจนหมดแล้วทำให้ทุกอย่างแห้งแล้งดุจทะเลทราย

รานี่เดินโซซัดโซเซจนเกือบคิดว่าตัวเองจะตายแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้เบ๊คขับยานมาช่วยออกไป ทั้งสองได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันและตัดสินใจบุกไปหาการ์เด้นเนอร์อีกครั้ง 

ครั้งนี้รานี่บุกไปด้วยวิธีแอบเข้าไปในเหมืองเพื่อปิดพลังงานที่จ่ายให้กับหอคอย เมื่อพลังงานถูกปิดทำให้กระจกพลังงานที่ป้องกันหอคอยหายไป เมื่อกระจกป้องกันหอคอยหายไปพวกหมอกกั๊งที่ปกคลุมอยู่รอบๆหอคอยได้บุกเข้าไปในหอคอย 

หมอกกั๊งเป็นตัวกัดกินพลังงานของการ์เด้นเนอร์ ทำให้รานี่สามารถสู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น สุดท้ายรานี่และเบ๊คร่วมมือกันพิชิตการ์เดนเนอร์ได้ในที่สุด 

ทั้งสองสามารถช่วยทุกคนออกมาจากที่คุมขัง ประชากรที่ได้รับอิสรภาพอีกครั้งสำนึกได้ถึงการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล ทุกคนหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง

หลังจากที่ทั้งสองช่วยประชากรบนดาวดวงนี้เรียบร้อยแล้วรวมถึงหาเชื้อเพลิงมาใส่ยาน ทั้งสองจึงเดินทางกลับบ้านอย่างมีความสุข 

เด็กหนุ่ม “เดน” เข้าไปขัดจังหวะการทะเลาะวิวาทระหว่างเพื่อนของเขา “เทย์” กับเด็กอันธพาล “ไอแซก” ซึ่งส่งผลให้ลอร์เรน แม่ของ เดน ถูกยิง ตอนที่เทย์และไอแซกแย่งปืนกัน ไอแซคยอมรับผิดและถูกจับขณะที่เทย์หนีไป 

“โรเบิร์ต” บิดาของเขาที่เป็นตำรวจ โทษว่าการที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตเป็นความผิดของเดน เดนได้รับความบอบช้ำทางใจอย่างหนักจากเหตุการณ์นี้ ทำให้เขาสร้างอีกตัวตนหนึ่งของเขาที่ชื่อว่า "The Quiet Man" ออกมา

หลายปีต่อมา เดนทำงานให้กับเทย์ ซึ่งเปิดไนท์คลับและเป็นผู้นำกลุ่มมาเฟียอเมริกัน เทย์แสดงความกังวลเกี่ยวกับแฟนสาวของเขา นักร้องสาวคนงามนาม “ลาล่า” ซึ่งมีหน้าตาเหมือนกับลอร์เรน เทย์ได้รับจดหมายลึกลับที่ส่งถึงเธอโดยสตอล์กเกอร์ 

เมื่อเดนพาลาล่าไปที่ไนท์คลับ การแสดงของเธอถูกขัดขวางโดยการเข้าโจมตีจาก SOL33 แก๊งคู่แข่งที่นำโดยไอแซค สตอล์กเกอร์ที่สวมหน้ากากพลางตัวได้ลักพาตัวลาล่าไประหว่างชุลมุน 

บีมันนี่ ลูกน้องของ เทย์ ต้องการให้เดนโทรหาเทย์เกี่ยวกับสงครามแก๊งค์ แต่เดนจะตามหาลาล่าด้วยตัวเอง บีมันนี่เพิกเฉยต่อคำของเดนและโทรหาเทย์อยู่ดี

เดนตามหาลาล่าไปทั่วทั้งเมือง ซึ่งนำเขาไปยังเพนต์เฮาส์ของไอแซค ที่นั่นเดนได้ต่อสู้กับไอแซค เดนโยนเขาออกไปนอกหน้าต่างและช่วยชีวิตลาล่า 

ขณะหนีออกจากอาคาร พวกเขาพบกับเทย์ซึ่งเชื่อว่าเดนเป็นสตอล์กเกอร์ และพยายามหลอกให้เทย์ทำสงครามกับไอแซกด้วยความอิจฉา ลาล่าอธิบายให้เทย์ฟังว่าเธอเป็นคนแกล้งลักพาตัวตัวเองไป แต่เทย์ไม่ฟัง ตัดสินใจฆ่าทั้งสองคน 

โรเบิร์ตซึ่งตอนนี้เป็นนักสืบ ได้ปรากฏตัวและช่วยชีวิตพวกเขาทั้งสองคน

ขณะที่เดนและโรเบิร์ตไล่ตามเทย์ไปที่สำนักงานของเขา เทย์ก็ยิงโรเบิร์ตและพยายามอธิบายให้เดนฟังว่าการตายของลอร์เรนเป็นอุบัติเหตุ เทย์ถูกลาล่าขัดจังหวะก่อนที่เขาจะยิงเดนได้ และเทย์ก็ไล่ตามเธอขึ้นไปบนหลังคา 

โรเบิร์ตที่ได้รับบาดเจ็บสนับสนุนให้เดนสวมหน้ากากชายเงียบเพื่อช่วยลาล่าในฐานะชายผู้เงียบขรึม เดนเผชิญหน้ากับเทย์และคนของเขา หลังจากแพ้การชกกับเดน เทย์ตัดสินใจยิงลาล่า แต่เดนเข้ารับกระสุนแทนเธอ

เมื่อได้รับบาดเจ็บ เดนฟื้นคืนชีพด้วยความสามารถเหนือธรรมชาติและสังหารเทย์ โรเบิร์ตสวมหน้ากาก Quiet Man และเปิดเผยว่าเขาเป็นสตอล์กเกอร์ และช่วยลาล่าลักพาตัวของเธอเองเพื่อจัดฉากให้ เดนฆ่าไอแซค และเทย์ เพื่อแก้แค้นให้ลอร์เรน เดนและโรเบิร์ตจึงทะเลาะกัน ทั้งคู่ชกต่อยจนล้มลงทั้งคู่

ฉากหลังเครดิตทำให้เดนได้รับการปล่อยตัวจากคุกอันเป็นผลมาจากการกระทำของเขา และได้พบกับโรเบิร์ตที่พร้อมชดใช้สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยเอโดะโบราณ ซึ่งสมัยนั้นเป็นสมัยที่ข้าวยากหมากแพงมีโจรร้ายออกปล้นไปทั่วหัวละแหงทำให้ชาวบ้านตาดำๆ ลำบากเดือดร้อน ทุกหมู่บ้านจำเป็นจะต้องดูแลตัวเอง

แต่ละหมู่บ้านจึงมีซามูไรที่ถูกฝึกสอนมาสำหรับปกป้องหมู่บ้านของตัวเอง ถึงแม้ว่าแต่ละหมู่บ้านจะสามารถยื่นเรื่องขอทหารจากส่วนกลางได้ แต่มันก็อาจจะไม่ทันการก็เป็นไปได้

ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งอันห่างไกลได้มีหนุ่มน้อยฮิโรกิที่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนเพื่อจะได้เป็นซามูไรที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับอาจารย์ซันจูโร่ของเขา

วันหนึ่งขณะที่ฝึกซ้อมกันอยู่ อยู่ดีๆ ก็มีคนมาตามหาอาจารย์ด้วยความเร่งรีบ อาจารย์ได้ตัดสินใจออกไปตามคำบอกของคนนั้น 

ความสงสัยส่วนตัวและคำยุยงจากไอโกะลูกสาวของอาจารย์ที่เห็นทีท่าไม่ดีก็เลยแนะนำให้ฮิโรกินั้นตามอาจารย์ออกไป แม้ว่าจะถูกห้ามปรามเอาไว้แล้วก็ตาม 

ความเป็นห่วงอาจารย์และคำแนะนำจากหญิงสาวที่ชอบ ฮิโรกิจึงได้รีบวิ่งตามอาจารย์ออกไป แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก เขาจึงไม่สามารถตามอาจารย์ได้ทัน ฮิโรกิไปถามจากชาวบ้านว่าอาจารย์นั้นวิ่งไปทางไหน เขาจึงวิ่งไปได้ถูกทางจนไปถึงหน้าหมู่บ้านทำให้เขาได้รู้ว่าหมู่บ้านตัวเองนั้นกำลังถูกโจรป่าบุกฆ่าฟันชาวบ้าน 

เขานั้นเป็นซามูไรบุชิโดวิถีของบูชิโดนั้นคือวิธีแห่งการปกป้อง เขาไม่สามารถทนเห็นชาวบ้านถูกฆ่าฟันตามใจชอบ เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นชักดาบออกมาเพื่อต่อต้านกลุ่มโจรช่วยเหลือชาวบ้าน 

ระหว่างที่เขาช่วยเหลือชาวบ้านไปเขาก็ตามหาอาจารย์ไปด้วย สุดท้ายเขาก็ได้ไปเจออาจารย์กำลังถูกรุมล้อมจากกลุ่มโจร เขาจึงรีบเข้าไปช่วย แต่อนิจจาก่อนที่เขาจะเข้าไปช่วยนั้นเอง เขาบังเอิญชนเข้ากับหัวหน้าของกลุ่มโจร แม้ว่าเขาจะสามารถฟาดฟันจมูกของหัวหน้าขาดลงไปได้ แต่เขาก็ไม่มีฝีมือพอที่จะเอาชนะได้ ขณะที่เขากำลังจะถูกฟันนั่นเอง อาจารย์ก็ได้เข้ามาช่วยเอาไว้ พร้อมศึกตัดสินกับหัวหน้าโจรว่าใครจะอยู่ใครจะไป ด้วย 1 ดาบนี้ของซามูไรและโจรสามารถรู้ผลได้ในทันใด 

ผลสุดท้ายอาจารย์ได้ปกป้องฮิโรกิจนเสียชีวิตลงพร้อมกับหัวหน้าโจร ก่อนตายอาจารย์ซันจูโร่ได้ขอร้องให้ฮิโรกิสัญญาว่าจะปกป้องผู้คนที่อยู่ภายใต้ฮิโรกิและปกป้องลูกสาวของเขา “ไอโกะ” เอาไว้ให้ได้ “ช่วยดูแลไอโกะด้วยฮิโรกิ” 

หลายปีผ่านไปทั้งฮิโรกิและไอโกะได้เติบโตขึ้น ตัวของอาจารย์ซันจูโร่นั้นเป็นผู้ดูแลหมู่บ้านมาเสมอทำให้ชาวบ้านพร้อมใจกันยกให้ไอโกะซึ่งเป็นลูกสาวของอาจารย์เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ไอโกะจึงเป็นหัวหน้าหมู่บ้านตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 

ไอโกะได้ดูแลหมู่บ้านอย่างดีพร้อมกับมีฮิโรกิที่คอยเป็นซามูไรประจำหมู่บ้านเฝ้าปกป้องทั้งหมู่บ้านและไอโกะไปพร้อมๆ กัน ตามคำสัญญาที่เขาได้ให้ไว้กับท่านอาจารย์

แต่ความสงบสุขไม่เคยคงทนถาวร เมื่อมีกลุ่มโจรเริ่มบุกปล้นสะดมและเข่นฆ่าหมู่บ้านรอบๆ ทำให้ไอโกะและฮิโรกิจะต้องมาปรึกษากันว่าเราจะทำอย่างไรดี 

ตามแผนการ เราจะทำลายสะพานที่ข้ามมายังหมู่บ้านเพื่อไม่ให้พวกโจรนั้นสามารถใช้สะพานแห่งนี้ข้ามมายังหมู่บ้านของเราได้ แต่อยู่ดีๆ ก็มีคนจากหมู่บ้านข้างเคียงได้มาขอความช่วยเหลือเพราะว่าพวกโจรนั้นได้บุกมาทำลายหมู่บ้านข้างเคียงแล้ว

ฮิโรกิจึงได้ตัดสินใจทันทีที่จะไปช่วยหมู่บ้านข้างเคียง ไอโกะเองก็สนับสนุนความคิดของฮิโรกิ ส่งซามูไรของหมู่บ้านออกไปเกินครึ่งเพื่อไปช่วยสนับสนุนฮิโรกิในการช่วยหมู่บ้านข้างเคียง 

ฮิโรกิและคนอื่นๆ กำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านข้างเคียง พวกเขาได้ไปเจอเข้ากับเศษซากขบวนเดินทางที่ถูกโจรร้ายจู่โจม ขณะที่กำลังสำรวจร่องรอยอยู่นั่นเอง พรรคพวกของฮิโรกิก็ถูกบุกจู่โจมจากพวกโจรแบบไม่ทันตั้งตัวและถูกจับตัวไป 

ฮิโรกิที่เพิ่งรู้ตัวจึงได้รีบติดตามโจรที่จับตัวพวกพ้องไป ทำให้เขารู้ว่าพวกโจรไปยังหมู่บ้านคามิคาวามูระที่เป็นหมู่บ้านที่เขาจะไปช่วยนั่นเอง เขาจึงรู้ว่าหมู่บ้านนี้ถูกโจรยึดไปเรียบร้อยแล้ว 

เมื่อเดินทางไปถึงหมู่บ้าน ฮิโรกิฝ่าฟันพวกโจรเข้าไปจนถึงตัวหัวหน้า ซึ่งตัวหัวหน้านั้นได้วางแผนหลอกล่อฮิโรกิให้มาติดกับ สุดท้ายฮิโรกิก็ไม่สามารถช่วยพวกพ้องเอาไว้ได้ เขาจึงได้รู้ว่าเขานั้นเป็นคนทำให้ซามูไรที่ควรจะปกป้องหมู่บ้านออกมาจนทำให้พวกโจรมีโอกาสบุกหมู่บ้านของฮิโรกิ ฮิโรกิจึงรีบเร่งกลับไปยังหมู่บ้านเพื่อช่วยเหลือไอโกะและคนในหมู่บ้าน 

แม้ฮิโรกิแม้จะวิ่งจนสุดฝีเท้าแต่ก็ไม่อาจทันการ เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็เต็มไปด้วยกองเพลิงเสียแล้ว

ฮิโรกิได้รู้ความจริงจากเหล่าผู้รอดชีวิตว่ามีพวกโจรนับร้อยบุกเข้ามาในหมู่บ้านหลังจากที่ฮิโรกิออกไปได้ไม่นาน ฮิโรกิด้วยความเสียใจจึงเร่งมือเข้ากำจัดพวกโจรในหมู่บ้านเพื่อช่วยเหลือคนที่ยังรอดอยู่ ในระหว่างช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน ฮิโรกิก็ออกตามหาไอโกะไปด้วย 

ระหว่างเดินทางไปโรงฝึก ฮิโรกิได้ปะทะเข้ากับซามูไรอันแข็งแกร่งคนหนึ่ง ระหว่างการปะทะเขาได้รู้ความจริงว่าซามูไรคนนี้นั้นมันก็คือไอ้โจรร้ายที่เคยปะทะกับเขาเมื่อตอนยังเด็กและเป็นคนที่ฆ่าอาจารย์ของเขา แต่คนนี้มันตายไปแล้วไม่ใช่หรือทำไมมันยังอยู่ที่นี่อีก เขาไม่เข้าใจเลย

ฮิโรกิบุกเข้าฟาดฟัดอย่างเร่งรีบเพื่อไปช่วยไอโกะ แต่ด้วยฝีมือดาบของเขาแล้วไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้กับซามูไรคนนี้ได้สักนิดเดียว ทำให้เขาพลาดท่าถูกฟันจนล้มลงหมดสติไป 

ฮิโรกิฟื้นขึ้นมาท่ามกลางกองเพลิงและซากปรักหักพัง ตอนนั้นเองเขาก็ได้เห็นไอโกะกำลังกวักมือเรียกเขาอยู่ที่หัวมุมถนน เขารีบวิ่งตามไปทันที

ขณะที่เขาตามหลังไอโกะอยู่นั้นเขาก็ได้เดินทางผ่านหมู่บ้านที่มีคนประหลาดเป็นโรคร้ายกัดกินกันเอง หมู่บ้านแห่งนี้มันเป็นหมู่บ้านที่เสื่อมโทรมเป็นหมู่บ้านที่ถูกทอดทิ้ง ซามูไรที่เขาพบในหมู่บ้านก็ถือว่าเขานั้นเป็นพวกโจรที่มาทำลายหมู่บ้านมาฆ่าผู้คนในหมู่บ้านทำให้เขาจำเป็นต้องต่อสู้กับซามูไรเหล่านั้นเพื่อปกป้องชีวิตของตัวเอง 

ณ หนองน้ำ ปลายทาง ไอโกะได้เข้ามาบอกว่าตัวไอโกะเองได้เสียชีวิตไปแล้วและถามถึงคำสาบานที่ฮิโรกิได้เคยให้ไว้ ฮิโรกิจำต้องเลือกว่าเขานั้นจะทำตามคำสาบานที่ให้ไว้กับไอโกะว่าจะคอยดูแลปกป้องไอโกะตลอดไปหรือเขาจะทำตามคำสาบานที่ให้ไว้กับอาจารย์คือการปกป้องชีวิตของผู้คนที่เขาคอยดูแลหรือเขาเลือกที่แก้แค้นบุคคลที่พรากบุคคลอันเป็นที่รักของเขาไป 

สุดท้ายฮิโรกิได้เลือกหน้าที่แห่งบูชิโดปกป้องบุคคลที่เหลือรอดอยู่ทำให้เขาจำเป็นต้องผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับไอโกะคนรักของเขา

เขาจึงจะต้องเดินทางไปในห้วงอเวจี เขาถูกทดสอบมากมายถูกถามถึงคำสัญญาที่เขาเคยสาบานเอาไว้ถามถึงหนทางที่เขายังต้องเลือกเดินว่าเขาจะยังคงเดินก้าวไปในหนทางที่เลือกหรือไม่

คำสาบานนี้ได้วนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดเส้นทางที่เขาผ่านดินแดนอเวจี สุดท้ายเขาก็เลือกสู้เพื่อปกป้องผู้ที่เหลือรอดอยู่ 

ฮิโรกิลืมตาตื่นขึ้นมา ณ จุดเดิมที่เขาเคยพ่ายแพ้ในการต่อสู้ ซากปรักหักพัง เพลิงไหม้ยังคงอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนเวลาเพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เอง ฮิโรกิจึงรู้ว่าสิ่งที่เขาผ่านมาทั้งหมดนั้นมันเป็นความคิดของเขาเอง

ในเมื่อเขาได้ตัดสินใจแล้วที่จะทำตามวิถีแห่งบูโดแห่งการปกป้องเขาจึงเข้าปะทะกับหัวหน้าโจรอีกครั้ง แม้ว่าสุดท้ายเขาจะไม่เข้าใจก็ตามว่าทำไมหัวหน้าโจรนี้ไม่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยุคของอาจารย์ของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ได้ใช้พลังใจในการฝ่าฟันเอาชนะหัวหน้าโจรนี้ได้ในที่สุด 

ผู้ที่เหลือรอดจากการต่อสู้ลุกขึ้นมาสร้างหมู่บ้านขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ฮิโรกิได้กลายเป็นผู้ฝึกซามูไรในหมู่บ้านแห่งนี้และคอยปกป้องหมู่บ้านไปตลอดกาล

เจ้าชายเซลิอุสมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ แต่ใช้หนังสือคาถาของบิดาในทางที่ผิด เขาเผลอปลดปล่อยเงาแห่งจิตวิญญาณของเขาทำลายปราสาทของครอบครัว พ่อแม่จึงส่งเขาไปที่ Astral Academy แต่พ่อมดของ Academy ก็ไม่สามารถควบคุมเวทมนตร์ฝันร้ายของเจ้าชาย 

ในที่สุดเขาก็หนีออกมาได้ พ่อมด Amadeus, อัศวิน Pontius และ Zoya โจรสาว ได้รับมอบหมายจากอาจารย์ใหญ่ของ Academy ให้นำ Selius กลับมา 

ในตอนแรกทั้งสามคนพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขากลับมา แต่เซลิอุสปฏิเสธโดยเผยให้เห็นว่าสถาบันเพียงแค่ขังเขาไว้ในคุกใต้ดิน เวทมนตร์เงาที่ไม่เสถียรของเขาทำให้เกิดฝันร้ายของเขาเอง ฝันร้ายของเหล่าฮีโร่ และแม้แต่ผู้อยู่อาศัยในถิ่นทุรกันดารปรากฏออกมา และเซลิอุสก็หนีไป

ขณะติดตามเจ้าชาย ทั้งสามได้ช่วยสิ่งมีชีวิตในถิ่นทุรกันดารในการต่อสู้กับฝันร้าย ในทางกลับกัน วิญญาณธรรมชาติทั้งสามก็ให้ยาแห่งแสงแก่พวกเขา ซึ่งน่าจะช่วยเซลิอุสได้ มันสามารถทำได้แต่มันก็ยังเสริมพลังให้กับเงาของเซลิอุสด้วย เนื่องจากแสงที่เจิดจ้ามากขึ้น เงาก็ยิ่งทอดยาวมากขึ้นด้วย ทั้งสามคนช่วย Selius ในการต่อสู้กับเงาของเขาเอง ในที่สุด เจ้าชายก็สามารถใช้พลังแห่งแสงเพื่อผนึกเงาของเขากลับคืนสู่จิตวิญญาณของเขา เวทมนตร์ของเขาตอนนี้เสถียรแล้ว เขาตกลงที่จะกลับไปที่ Astral Academy

Unravel One&Two

ภาค 1

หญิงชราคนหนึ่งกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะที่เธอเดินขึ้นไปชั้นบน เส้นด้ายม้วนหนึ่งม้วนได้กลิ้งหล่นลงมา Yarny สิ่งมีชีวิตที่สร้างจากเส้นด้ายสีแดงและเป็นตัวเอกของเกมได้มีชีวิตขึ้นมา หลังจากตื่นก็มองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจกับสิ่งแวดล้อม 

Yarny สามารถเข้าเยี่ยมชมสถานที่สำคัญในชีวิตของเจ้าของบ้านผ่านกรอบรูปต่างๆ ในบ้านได้ เขาได้ค้นพบความทรงจำเกี่ยวกับสถานที่เหล่านั้น ความทรงจำช่วงแรกๆ นั้นมีความสุข เช่น ไปเที่ยวชายทะเล เดินป่าบนภูเขา 

แต่ในที่สุดความทรงจำที่มืดมนก็ถูกเปิดเผย ในพื้นที่ป่าชนบทที่กลายเป็นเขตอุตสาหกรรม ซึ่งเต็มไปด้วยขยะที่เป็นพิษ ทำให้ผู้คนเริ่มย้ายเข้าไปในเมือง ความทรงจำยังเผยให้เห็นว่าสามีของหญิงชราเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย

ในตอนท้ายของแต่ละด่าน Yarny จะพบป้ายไหมพรมสีแดงที่สะสมอยู่บนหน้าปกของอัลบั้มรูปในบ้าน ซึ่งจะเต็มไปด้วยภาพถ่ายความทรงจำที่พบระหว่างทาง อย่างไรก็ตามในสองระดับสุดท้าย Yarny พบตรารูปหัวใจเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น 

ในระดับสุดท้ายที่เล่นในสุสาน Yarny พยายามฝ่าพายุหิมะเพื่อค้นหาเหรียญตราครึ่งหลัง แต่มันหลุดจากมือเมื่อกระโดดตามไป ชิ้นส่วนถูกหยิบขึ้นมาด้วยมือมนุษย์

Yarny ตื่นขึ้นในเป้ตั้งแคมป์ ถือชิ้นส่วนที่หายไป มันวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็วเพื่อวางไว้ในอัลบั้มรูป เมื่อเด็กเข้ามาในห้องตกใจ ยานี่แสร้งทำเป็นไม่มีชีวิตอีกครั้ง และเมื่อเด็กจากไป ก็จะวางชิ้นส่วนที่หายไปนั้นไว้ที่ตำแหน่งสุดท้ายบนปกอัลบั้มรูป ซึ่งจะเปิดขึ้นเพื่อเปิดเผยข้อความสุดท้ายและจุดจบ เครดิต

ตามคำกล่าวของ Sahlin เส้นด้ายที่ประกอบขึ้นเป็น Yarny แสดงถึงความรัก และตัวละครดังกล่าวก็คลี่คลายเมื่อพวกเขาเดินทางออกจากสิ่งที่พวกเขารัก

ภาค 2

เส้นด้ายสีแดงถูกแยกออกจากบ้านและเจ้าของของเขาท่ามกลางพายุกลางทะเล และถูกซัดขึ้นฝั่ง เขาพบกับ Yarny สีน้ำเงินท่ามกลางซากเรืออับปาง 

ทั้งสองเชื่อมโยงเส้นด้ายของทั้งสองเข้าด้วยกัน ก่อเป็นสายสัมพันธ์ ประกายไฟออกมาจากการเชื่อมต่อ Yarnys ทั้งสองสำรวจป่าและใต้ดินก่อนที่จะโผล่ขึ้นมาในประภาคารร้าง

Yarnys เข้าไปในโถงทางเดินของบ้านรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมซึ่งมีเด็กหนุ่มพยายามหลบหนีผู้ใหญ่ที่ไม่น่าเคารพ และ Yarnys ก็ช่วยเขาด้วยการใช้ประกายไฟเพื่อไล่ผู้ใหญ่ไป เด็กชายเคาะหน้าต่างห้องนอนของเขา และทั้งสองก็หนีผ่านหลังคาไปพร้อมกับเขา 

พวก Yarnys ติดตามเด็กๆ ผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ และเจอผู้ใหญ่ก็อยู่ในรูปของเงาดำที่มีประกายไฟสีแดงที่สามารถสลาย Yarnys เมื่อไปสัมผัสถูกเข้า

พวก Yarnys ปรากฏตัวขึ้นในชนบทที่มีแสงแดดส่องถึงท่ามกลางการเฉลิมฉลองช่วงกลางฤดูร้อน แต่เมื่อเด็กๆ ถูกผู้ใหญ่ที่เมาเหล้าทารุณกรรม สภาพแวดล้อมกลับมืดมนและคุกคาม Yarnys วิ่งหนีจากเงามืดและซ่อนตัวจากผู้ใหญ่พร้อมกับเด็กๆ ทั้งสองถูกไก่ป่าวิ่งไล่จิกและหนีพ้นอย่างหวุดหวิด ขณะที่เด็กๆ เล่นและว่ายน้ำในป่า พวก Yarnys สำรวจป่า

ในเวลากลางคืน ผู้ใหญ่ออกค้นหาเด็กๆ ด้วยไฟฉายและสุนัขล่าเนื้อในโรงงานเก่า เด็กชายถูกจับและขังไว้ แต่หลังจากนั้นก็หนีออกมาได้เมื่อพวก Yarny ทำให้เครื่องจักรทำงานผิดพลาดและเกิดความโกลาหลขึ้น 

เด็กๆ กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวก Yarnys ช่วยเด็กๆ ซ่อนตัวโดยไล่พวกผู้ใหญ่ออกไปด้วยประกายไฟ และทำให้รถบรรทุกไม้จำนวนมากชนเข้ากับรั้วไฟฟ้าจนเกิดไฟป่าลุกลามไปยังอาคารและคอกม้า ชาว Yarnys พยายามดิ้นรนเพื่อฝ่าฟัน และเห็นเด็กๆ ช่วยเหลือม้าที่เลี้ยงจากกองไฟให้รอดพ้นจากกองไฟ ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งเข้าไปในที่ปลอดภัย

พวก Yarnys เดินผ่านซากปรักหักพังของป่าที่ถูกไฟป่าทำลายล้าง และผ่านโรงสีที่ถูกทิ้งร้าง ทั้งสองค่อยๆ ทำให้มันกลับมาทำงานอีกครั้ง และพวกเขาก็เดินตามน้ำไปยังแก่งที่อยู่ใกล้เคียง พวกเขาเห็นเด็กๆ ผลักผู้ใหญ่ตกน้ำ 

ในฉากคัตซีนสุดท้าย ประภาคารรายล้อมไปด้วยวิญญาณแห่งความมืด แต่ประกายไฟไล่พวกมันออกไป และกลุ่มของ Yarnys ที่มีรูปร่างและสีต่างๆ ก็ปรากฏขึ้น พวกเขาช่วยกันนำประกายไฟมาสู่ใจกลางประภาคารและแสงสว่างกลับคืนมา และพายุภายนอกก็พัดผ่านไป

ในเดือนธันวาคม 1988 ยากูซ่า คาซึมะ คิริว ถูกใส่ร้ายในคดีฆาตกรรมในที่ร้างว่างเปล่าในคามุโระโช กรุงโตเกียว เขาเข้าต่อสู้กับ Sohei Dojima หัวหน้าตระกูลโทโจ และผู้นำ Daisaku Kuze, Hiroki Awano และ Keiji Shibusawa คิริวเพื่อที่จะปกป้องพ่อบุญธรรม ชินทาโร่ คาซามะ จากการลงโทษ คิริวจึงตัดสินใจออกจากตระกูลโทโจ

คิริวพบกับตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ เท็ตสึ ทาจิบานะ ซึ่งสัญญาว่าจะเคลียร์เรื่องนี้ให้กับเขาเขาเพื่อแลกกับการช่วยให้ทาจิบานะสามารถเข้าซื้อที่ว่างนั้นก่อนโดจิมะ คิริวยอมรับคำของทาจิบานะ หลังจากที่คิริวและจุน โอดะ มือขวาของทาจิบานะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้บุกรุกที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโดจิมะ 

โดจิมะบอกให้คิริวมอบตัวทาจิบานะ แต่คิริวปฏิเสธ ซึ่งกระตุ้นให้ตระกูลโดจิมะตามล่าเขา อากิระ นิชิกิยามะ น้องชายร่วมสาบานของเขาตัดสัมพันธ์กับคิริวเพื่อทำให้ทั้งสองปลอดภัย ทาจิบานะบอกคิริวว่าเจ้าของล็อตที่ว่างเปล่าคือมาโกโตะ มากิมูระ น้องสาวที่แยกกันอยู่ของเขา ซึ่งอาศัยอยู่ในโซเต็นโบริ โอซาก้าและตามองไม่เห็น

ในโซเต็นโบริ อดีตยากูซ่า โกโระ มาจิมะถูกบังคับให้เปิดคลับคาบาเร่โดยสึคาสะ ซากาวะ สมาชิกกลุ่มพันธมิตรโอมิ คู่แข่งของตระกูลโทโจ ตามคำสั่งของ Futoshi Shimano คู่แข่งของตระกูลโทโจ ซากาวะเสนอโอกาสให้มาจิมะเข้าร่วมครอบครัวชิมาโนะอีกครั้งด้วยการลอบสังหารมาโกโตะ

มาจิมะพบมาโกโตะภายใต้การคุ้มครองของเหวินไห่ลี อดีตนักฆ่า หลังจากที่มาจิมะตัดสินใจปกป้องมาโกโตะ ลีแนะนำให้ฆ่าคนที่หน้าตาเหมือนมาโกโตะเพื่อหลอกซากาวะ แต่มาจิมะปฎิเสธ Homare Nishitani ผู้ช่วยของ Shibusawa จึงทำการฆ่าแทนตามแผนของลี 

ด้วยความสงสัยว่าเป็นการโกหก ซากาวะจึงฆ่าลีทิ้ง จากนั้นซากาวะก็พยายามจะฆ่ามาจิมะและมาโกโตะ แต่มาซารุ เซระ พันธมิตรของคาซามะที่มาหาโกโตะไปขัดขวาง มาจิมะและซากาวะเผชิญหน้ากับเซระและพบว่าเขาส่งมาโกโตะให้คิริวพาไปคามุโระโช พวกเขาจึงเดินทางไปที่นั่น

ก่อนหน้าที่มาจิมะจะพบเซระ คิริวและโอดะได้พบกับเซระ ซึ่งบอกพวกเขาว่ามาโกโตะไม่เต็มใจรับมรดกพื้นที่ว่างจากปู่ของเธอ พวกเขาพามาโกโตะไปยังคามุโระโช แต่ถูกคนของชิบุซาวะไล่ตาม โอดะเปิดเผยความจริงที่เขาเคยทำให้มาโกโตะตาบอดและพยายามฆ่าคิริวกับมาโกโตะ 

คิริวปราบเขาลงได้ โอดะจึงอธิบายว่าเขากับทาจิบานะเคยเป็นอดีตนักเลงชาวจีนในญี่ปุ่น ในเวลานั้นมาโกโตะได้อพยพไปญี่ปุ่นเพื่อตามหาพี่ชายของเธอ แต่กลับเดินตามโอดะที่หลอกพาเธอไปขายให้กับแก๊งเกาหลี

โอดะค้นพบตัวตนของมาโกโตะหลังจากที่ทาจิบานะเห็นเธอในสารคดี และกลัวการแก้แค้นของเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่เขาก็บอกให้คิริวพามาโกโตะหนีไป เขาจะถ่วงเวลาให้ ก่อนจะถูกชิบุซาวะฆ่าตาย

คิริวพบกับทาจิบานะซึ่งเขารู้ว่ามาโกโตะกำลังตามหาเขาอยู่ นอกจากนี้เขายังเปิดเผยว่าเมื่อได้เรียนรู้มรดกจากพื้นที่ว่างเปล่าของเธอ เขาจึงหันไปหาคาซามะ ผู้ช่วยเขาก่อตั้งบริษัทเพื่อปกป้องมาโกโตะจากโดจิมะที่วางแผนจะทำลายล้างตระกูลคาซามะอีกด้วยด้วย 

ด้วยความสนใจที่ตรงกัน คิริวและทาจิบานะจึงพากันหนีออกไป แต่ทาจิบานะก็ถูกจับโดยลาว กุย นักฆ่าของโดจิมะ ผู้กระทำความผิดในคดีฆาตกรรมที่ว่างเปล่า ทาจิบานะถูกคุเสะและคนของเขาทรมานจนตาย ซึ่งคิริวโกรธแค้นเป็นอย่างมากที่เห็นทาจิบานะตายต่อหน้าต่อตา มาโกโตะได้มาพบร่างของพี่ชายของเธอที่เย็นชืด ด้วยความเสียใจจึงได้กลับมามองเห็นอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน มาจิมะได้รู้ว่าชิมาโนะตั้งใจให้มาจิมะมาปกป้องมาโกโตะจริงๆ เพื่อเธอเต็มใจขายที่ว่างเปล่าให้กับพันธมิตรโอมิ มาจิมะพบมาโกโตะในที่ว่างเปล่า มาโกโตะวางแผนแก้แค้นให้พี่ชายทาจิบานะ แม้ว่ามาจิมะจะกังวลใจ 

มาโกโตะจึงเข้าพบกับโดจิมะโดยเสนอพื้นที่ว่างเปล่าเพื่อแลกกับการฆ่าลูกน้องที่ทำให้พี่ชายของเธอตาย แต่โดจิมะปฏิเสธและสั่งให้ลาวกุยยิงเธอ เซระมาถึงและได้พามาโกโตะไปรักษาที่โรงพยาบาล 

อย่างไรก็ตามชิบูซาวะบุกมาหามาโกโตะและจับเธอไว้ได้บนเรือ คิริวที่ตามมาทีหลังบุกขึ้นเรือและช่วยมาโกโตะไว้ได้ ขณะที่มาจิมะก็สามารถเอาชนะตระกูลโดจิมะในตึกของโทโจ ส่งผลให้อาวาโนะเสียชีวิต

ในที่สุดเซระก็เข้าซื้อพื้นที่ว่างเปล่า เขาสั่งให้มาจิมะฆ่าชิมาโนะเนื่องจากการทรยศหักหลังของเขา แต่ชิมาโนะยุติการติดต่อกับกลุ่มพันธมิตรโอมิและเรียกมาจิมะกลับคืนสู่ตระกูลของเขา ส่งผลให้ซากาวะถูกลอบสังหาร 

ภายในปี 1989 เซระกลายเป็นประธานคนที่สามของตระกูลโทโจ โดยที่โดจิมะก็ได้แต่กัดฟันจากการสูญเสียลูกน้องของเขาไป ที่ว่างถูกรื้อถอนและ Millennium Tower ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ ในขณะเดียวกัน มาจิมะก็รับหน้าที่ใหม่ เขายอมให้มาโกโตะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับแฟนใหม่ของเธอ และพบกับคิริวในคามุโระโจอย่างร่าเริง