คู่มือปฏิบัติงาน Los Santos Police Department (LSPD) - อธิบายรายละเอียดแต่ละหัวข้อ
รายละเอียด:
พันธกิจและค่านิยมองค์กร: LSPD มุ่งมั่นที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยและสร้างความปลอดภัยในเมือง Los Santos ด้วยความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม และความเป็นมืออาชีพ
วิสัยทัศน์และเป้าหมายของ LSPD: สร้างความไว้วางใจจากชุมชน พัฒนาองค์กรให้เป็นผู้นำด้านการบังคับใช้กฎหมาย และลดอาชญากรรมในระยะยาว
โครงสร้างองค์กร: แนะนำหน่วยงานภายใน เช่น สายตรวจ, สายสืบสวน, หน่วย SWAT, และหน่วย Gang and Narcotics
รายละเอียด:
นโยบายการปฏิบัติต่อประชาชน: เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุภาพ มีเมตตา และให้ความเคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีของประชาชน
หลักปฏิบัติทางจริยธรรม: เจ้าหน้าที่ต้องมีความซื่อสัตย์ ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานการปฏิบัติงาน: ทุกการปฏิบัติงานต้องอยู่ในกรอบกฎหมายและนโยบายขององค์กร
รายละเอียด:
เจ้าหน้าที่สายตรวจ: รับผิดชอบดูแลพื้นที่ตามเขต ตรวจสอบรายงานเหตุด่วนเหตุร้าย และสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน
เจ้าหน้าที่สืบสวน: สืบสวนคดีอาชญากรรม เก็บหลักฐาน และทำงานร่วมกับทีมวิเคราะห์ข้อมูล
บทบาทของ Supervisor และ Command Staff: ตรวจสอบการปฏิบัติงาน สนับสนุนเจ้าหน้าที่ และประสานงานในเหตุการณ์สำคัญ
กฎระเบียบและข้อบังคับเป็นโครงสร้างสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในองค์กร LSPD และช่วยให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมืออาชีพ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ โดยรายละเอียดมีดังนี้:
การแต่งกาย:
เจ้าหน้าที่ต้องแต่งเครื่องแบบอย่างถูกต้องตามระเบียบของหน่วยงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ เช่น สวมหมวกตราโล่, ป้ายชื่อและเข็มขัดอุปกรณ์ครบชุด
เจ้าหน้าที่สายสืบที่ปฏิบัติงานในชุดลำลองต้องแต่งกายเรียบร้อยและเหมาะสมกับสถานการณ์
การแสดงบัตรประจำตัว:
เจ้าหน้าที่ต้องมีบัตรประจำตัวตำรวจติดตัวเสมอ และแสดงเมื่อมีการร้องขอจากประชาชนหรือผู้บังคับบัญชา
การเคารพกฎหมาย:
เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่สามารถละเมิดกฎหมายแม้ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่
ความโปร่งใสและยุติธรรม:
ห้ามมีพฤติกรรมเลือกปฏิบัติหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ เช่น การข่มขู่ การรับสินบน หรือการละเมิดสิทธิของประชาชน
การปฏิบัติงานทุกขั้นตอนต้องอยู่บนพื้นฐานความยุติธรรมและความโปร่งใส
การใช้กำลัง:
การใช้กำลังต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสมเหตุสมผลกับสถานการณ์ (Use of Force)
ห้ามใช้อาวุธหรือกำลังเกินความจำเป็น หากทำให้เกิดการบาดเจ็บต้องรายงานทันที
การจับกุม:
ต้องแจ้งข้อกล่าวหาและอ่านสิทธิ์ของผู้ต้องหา (Miranda Warning) ก่อนดำเนินการควบคุมตัว
ห้ามทำร้ายร่างกายหรือจิตใจของผู้ต้องหา
ยานพาหนะ:
ใช้ยานพาหนะที่ได้รับมอบหมายเพื่อปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ห้ามใช้เพื่อการส่วนตัว
ตรวจสอบสภาพยานพาหนะทุกครั้งก่อนและหลังการใช้งาน
อาวุธและอุปกรณ์:
การใช้อาวุธต้องปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยในการใช้อาวุธ (Four Rules of Gun Safety)
อุปกรณ์พิเศษ เช่น กล้องติดตัว (Body Camera) ต้องเปิดใช้งานขณะปฏิบัติหน้าที่เสมอ
การใช้วิทยุสื่อสาร:
ใช้รหัสและคำสั่งตามคู่มือสื่อสารของ LSPD เพื่อความชัดเจนและกระชับ
ห้ามใช้วิทยุสื่อสารเพื่อการส่วนตัว
การทำรายงาน:
เจ้าหน้าที่ต้องเขียนรายงานอย่างครบถ้วนและตรงเวลา เช่น รายงานการจับกุมหรือการใช้กำลัง
การบันทึกข้อมูลต้องเป็นความจริง ห้ามปลอมแปลงหรือปกปิดข้อเท็จจริง
การเคารพผู้บังคับบัญชา:
เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ยกเว้นกรณีคำสั่งนั้นขัดต่อกฎหมาย
การทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน:
แสดงความเป็นมืออาชีพ เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น และสนับสนุนการทำงานเป็นทีม
การวางตัว:
เจ้าหน้าที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรและแสดงออกอย่างเหมาะสมในที่สาธารณะ
การสื่อสารกับประชาชน:
เจ้าหน้าที่ต้องให้บริการด้วยความสุภาพและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน
ข้อมูลและเอกสาร:
ห้ามเปิดเผยข้อมูลคดีหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนต่อบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง
การป้องกันข้อมูลรั่วไหล:
ต้องปฏิบัติตามระเบียบการจัดเก็บและปกป้องข้อมูลขององค์กร
บทลงโทษ:
เจ้าหน้าที่ที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบจะถูกดำเนินการตามขั้นตอน เช่น การตักเตือน, การลดตำแหน่ง หรือการปลดออกจากตำแหน่ง
กระบวนการสอบสวน:
การกระทำผิดจะถูกสอบสวนโดย Internal Affairs Group (IAG) เพื่อความโปร่งใส
ช่องทางร้องเรียน:
ประชาชนหรือเจ้าหน้าที่สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติงานหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้ผ่านฝ่ายรับเรื่องร้องเรียน
การปกป้องผู้ร้องเรียน:
LSPD มีนโยบายปกป้องผู้ร้องเรียนจากการถูกตอบโต้หรือกลั่นแกล้ง
การปฏิบัติ Traffic Stop เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อรักษาความปลอดภัยทางถนน ป้องกันอาชญากรรม และสร้างความสงบเรียบร้อย การปฏิบัตินี้ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังและเป็นมืออาชีพเพื่อปกป้องทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชน
การประเมินสถานการณ์:
ระบุเหตุผลที่ชัดเจนสำหรับการหยุดยานพาหนะ เช่น การละเมิดกฎจราจร, พฤติกรรมที่น่าสงสัย หรือข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลต้องสงสัย (BOLO: Be On the Lookout)
ประเมินความเสี่ยง เช่น จำนวนผู้โดยสาร, ท่าทีที่ผิดปกติ หรือพื้นที่ที่เกิดเหตุ
แจ้งศูนย์ควบคุม (Dispatch):
แจ้งพิกัดของคุณ
รายงานข้อมูลเกี่ยวกับยานพาหนะ (รุ่น, สี, ทะเบียน) และจำนวนผู้โดยสาร (หากมองเห็นได้)
ระบุประเภท Traffic Stop เช่น การละเมิดจราจรทั่วไป หรือกรณีที่ต้องสงสัยเกี่ยวกับอาชญากรรม
ตำแหน่งที่ปลอดภัย:
เลือกสถานที่ที่เหมาะสมในการหยุดรถ เช่น บริเวณที่ไม่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุและมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการจอด
สัญญาณหยุดรถ:
ใช้ไฟไซเรนหรือไฟกระพริบสีแดง-น้ำเงิน พร้อมเปิดเสียงไซเรน (หากจำเป็น) เพื่อสั่งให้ยานพาหนะหยุด
ใช้ลำโพงหรือสัญญาณมือเพื่อสื่อสารเพิ่มเติม
ตำแหน่งจอดของเจ้าหน้าที่:
จอดรถสายตรวจให้เยื้องไปทางด้านซ้ายหรือขวาของยานพาหนะเป้าหมายเล็กน้อย
เปิดไฟหน้าและไฟฉุกเฉินเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
การเตรียมพร้อม:
ตรวจสอบท่าทีของผู้ขับขี่และผู้โดยสารก่อนเข้าหา
วางมือไว้ใกล้อาวุธปืนหรือตำแหน่งที่พร้อมใช้งานในกรณีฉุกเฉิน
การเข้าหาอย่างปลอดภัย:
เดินเข้าจากด้านซ้ายหรือด้านขวาของยานพาหนะ โดยประเมินท่าทีและการเคลื่อนไหวของผู้ขับขี่
หลีกเลี่ยงจุดบอดหรือการยืนอยู่ในเส้นทางของประตูยานพาหนะ
การแนะนำตัว:
แนะนำตัวพร้อมระบุหน่วยงาน เช่น “ผมเป็นเจ้าหน้าที่ [ชื่อ] จาก Los Santos Police Department”
การระบุเหตุผลในการหยุด:
แจ้งเหตุผลที่ชัดเจนสำหรับการหยุด เช่น “คุณถูกหยุดเพราะขับรถเร็วเกินกำหนด”
หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่มีลักษณะกล่าวหา
การขอเอกสาร:
ขอเอกสารที่จำเป็น เช่น ใบขับขี่, ทะเบียนรถ
สังเกตพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น ความล่าช้าในการตอบสนองหรือความวิตกกังวลเกินเหตุ
การตรวจสอบเอกสาร:
ตรวจสอบเอกสารกับฐานข้อมูลผ่านศูนย์ควบคุม MDC
ตรวจสอบประวัติอาชญากรรม (หากจำเป็น)
การตัดสินใจดำเนินการ:
คำเตือน: หากเป็นการละเมิดเล็กน้อยและไม่มีความเสี่ยง
ใบสั่งจราจร: สำหรับการละเมิดกฎจราจรที่ชัดเจน
การจับกุม: หากพบหลักฐานอาชญากรรม เช่น ใบขับขี่ปลอม หรือยานพาหนะต้องสงสัย
คืนเอกสารและอธิบายผลการตัดสินใจ:
หากออกใบสั่ง ให้ชี้แจงเหตุผลและกระบวนการในการชำระค่าปรับหรืออุทธรณ์
หากปล่อยตัว ให้ส่งคืนเอกสารและขอให้ขับขี่ปลอดภัย
การปล่อยยานพาหนะ:
ให้ผู้ขับขี่ขับรถออกไปก่อนและรอจนกว่าสถานการณ์จะปลอดภัย
แจ้งศูนย์ควบคุม:
รายงานสถานะ Traffic Stop ว่าเสร็จสิ้นและสถานการณ์ปกติ
การตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัย:
หากพบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เช่น การเข้าถึงอาวุธหรือการหลบหนี ให้แจ้งขอกำลังเสริมทันที
การจัดการความเสี่ยง:
ใช้คำสั่งด้วยวาจาอย่างชัดเจน เช่น “อย่าขยับ!”
หากสถานการณ์รุนแรง ให้ใช้ Code 6 ADAM หรือ Felony Stop
รักษาความสุภาพ:
ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างสุภาพและเป็นมืออาชีพ
เคารพสิทธิ์:
หลีกเลี่ยงการค้นหรือยึดทรัพย์สินโดยไม่มีเหตุอันควร
เพิ่มความปลอดภัย:
ตื่นตัวตลอดเวลาเพื่อลดความเสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่และประชาชน
การปฏิบัติ Traffic Stop ต้องเน้นความปลอดภัย ความชัดเจน และการสื่อสารอย่างมืออาชีพเพื่อลดความขัดแย้งและเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน.
การเรียกหยุดรถบนท้องถนนแล้วลงไปตรวจสอบ หรือการ Traffic Stop / Code 6 and Code 6Adam
ตัวอย่างที่ 1: Callsign + Code 6 + ลักษณะรถ ป้ายทะเบียน สีรถ + ลักษณะคนและจำนวนคนบนรถ + สถานที่.
ตัวอย่างที่ 2: Callsign + Code 6Adam + ลักษณะรถ, ป้ายทะเบียน, สีรถ, ลักษณะคนและจำนวนคนบนรถ + สถานที่ + 10-31 จำนวนกี่หน่วยต้องบอก.
1L15, Show me Code 6 พบเป็นรถ Sedan 4 ประตู สีขาว ป้ายทะเบียน 3K77XPY บริเวณ El Rancho เขต Cypassflat พบคนบนรถเพียง 1 คนเป็นชายผิวขาว.
1L35, Show me Code 6Adam พบเป็นรถ Sedan 2 ประตู สีขาว ป้ายทะเบียน 6K27XGH บริเวณ El Rancho เขต Cypassflat พบคนบนรถ 2 คนเป็นชายผิวขาว เราต้องการ 10-31 จำนวน 1 Unit.
Felony Stop หรือ High-Risk Stop เป็นการหยุดยานพาหนะที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การหยุดผู้ต้องสงสัยในคดีร้ายแรง การคาดการณ์ว่ามีอาวุธในยานพาหนะ หรือการหยุดยานพาหนะที่มีพฤติกรรมหลบหนี เจ้าหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงและดำเนินการตามขั้นตอนที่เข้มงวดเพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย
การระบุเหตุผล:
กำหนดเหตุผลที่ชัดเจนสำหรับ Felony Stop เช่น การพบผู้ต้องสงสัยตามหมายจับ การหลบหนีการจับกุม หรือมีข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธในรถ
การแจ้งศูนย์ควบคุม (Dispatch):
แจ้งตำแหน่งพิกัดที่แน่นอน
ระบุข้อมูลยานพาหนะ (รุ่น, สี, ทะเบียน) และจำนวนผู้โดยสาร
ระบุประเภทการหยุด “Felony Stop” และขอกำลังเสริมตามขั้นตอน Code 6 CHARLES
การเลือกพื้นที่:
เลือกสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับการดำเนินการ เช่น บริเวณที่มีพื้นที่กว้างขวางและห่างไกลจากบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง
การจัดตำแหน่งรถสายตรวจ:
วางรถสายตรวจในลักษณะ "V-Formation" โดยให้รถสายตรวจจอดขนานกับเป้าหมายเล็กน้อย
ใช้รถสายตรวจเป็นที่กำบังสำหรับเจ้าหน้าที่
การเปิดไฟและไซเรน:
เปิดไฟไซเรนและไฟกระพริบเพื่อแจ้งเตือนผู้ขับขี่และประชาชนรอบข้าง
การใช้ระบบเสียง (PA System):
ใช้ลำโพงของรถสายตรวจ (PA System) เพื่อสื่อสารกับผู้ต้องสงสัย
ออกคำสั่งชัดเจน เช่น “ดับเครื่องยนต์”, “วางมือบนพวงมาลัย”, “ห้ามขยับ”
การออกคำสั่งให้ผู้ต้องสงสัยออกจากรถทีละคน:
เริ่มจากผู้ขับขี่ ตามด้วยผู้โดยสารทีละคน
สั่งให้ผู้ต้องสงสัยเปิดประตูจากด้านนอก, ชูมือขึ้น และเดินถอยหลังมาที่เจ้าหน้าที่อย่างช้าๆ
การค้นหาและควบคุมตัว:
หลังจากที่ผู้ต้องสงสัยออกจากรถ ให้เจ้าหน้าที่ค้นหาอาวุธและควบคุมตัวด้วยกุญแจมือ
จัดผู้ต้องสงสัยไปยังจุดปลอดภัยที่กำหนด
การตรวจสอบความปลอดภัย:
หลังจากควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมด ให้เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกฝนดำเนินการตรวจค้นยานพาหนะ
ตรวจหาหลักฐานหรืออาวุธที่ซ่อนอยู่ในยานพาหนะ
การระมัดระวังเพิ่มเติม:
เจ้าหน้าที่ที่เหลือคอยรักษาความปลอดภัยรอบพื้นที่
การตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม:
ตรวจสอบข้อมูลผู้ต้องสงสัยและยานพาหนะในฐานข้อมูล
แจ้งศูนย์ควบคุมเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน
การดำเนินการต่อ:
หากพบความผิด ให้ดำเนินการจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหา
หากไม่มีการละเมิด ให้ปล่อยตัวโดยแจ้งเหตุผลของการหยุด
การเตรียมพร้อมรับสถานการณ์รุนแรง:
หากผู้ต้องสงสัยมีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือพยายามหลบหนี ให้แจ้งเพื่อขอกำลังเสริมเพิ่มเติม
หากมีการใช้อาวุธ ให้ดำเนินการตาม Use of Force Policy อย่างระมัดระวัง
การรักษาความปลอดภัยสำหรับประชาชน:
หากสถานการณ์มีความเสี่ยงต่อประชาชน ให้ปิดล้อมพื้นที่และแจ้งเตือนประชาชนในบริเวณใกล้เคียง
การสื่อสารที่ชัดเจน:
ใช้คำสั่งที่กระชับและเข้าใจง่ายเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน
ความร่วมมือกับทีม:
ทำงานเป็นทีม โดยแต่ละคนต้องรู้บทบาทของตนเอง
หลีกเลี่ยงการประมาท:
ประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
การปฏิบัติ Felony Stop ต้องใช้ทักษะและความเป็นมืออาชีพสูงสุดเพื่อปกป้องความปลอดภัยของทุกฝ่าย การฝึกอบรมและการปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรับมือกับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยง.
การเรียกหยุดรถที่อันตรายความเสี่ยงสูง หรือ บุคคลตาม BOLO หรือการ Felony Stop / Code 6Charles
ตัวอย่างที่ 1: Callsign + Code 6Charles + ลักษณะรถ + ป้ายทะเบียน + สีรถ + ลักษณะคนและจำนวนคนบนรถ + สถานที่ + ชื่อคนใน BOLO
1L35, Show me Code 6Charles, พบเป็นรถ Muscle Car 2 ประตู สีดำ ป้ายทะเบียน 6K27XGH บริเวณ El Rancho เขต Cypassflat พบผู้โดยสาร 2 คนเป็นชายผิวขาว, ชื่อใน BOLO: Frank Dalton
เป็นกระบวนการที่มีระเบียบปฏิบัติชัดเจน เพื่อให้การไล่ล่าเป็นไปอย่าง ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และควบคุมความเสี่ยงต่อสาธารณะ ได้อย่างเหมาะสม โดยมีขั้นตอนสำคัญ ดังนี้:
เจ้าหน้าที่สามารถเริ่มต้นการไล่ล่าได้เมื่อ:
ผู้ต้องสงสัย ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง เช่น ขับรถหลบหนี, มีหมายจับ, มีอาวุธ, หรือพฤติกรรมที่เป็นภัยร้ายแรงต่อสาธารณะ
การไล่ล่ามีความ จำเป็นสมเหตุสมผล และมีการประเมินเบื้องต้นว่าความเสี่ยงจากการไล่ล่าจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริสุทธิ์มากเกินไป
เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งผ่านวิทยุทันทีว่า:
สถานที่และทิศทาง ที่กำลังไล่ล่า
ยานพาหนะของผู้ต้องสงสัย: สี, ยี่ห้อ, ทะเบียน (ถ้ามี)
พฤติกรรมของผู้ต้องสงสัย: มีอาวุธหรือไม่, ขับอันตรายหรือไม่
จำนวนผู้โดยสาร
สถานะของสภาพถนนและสภาพอากาศ
ตัวอย่าง:
2L29, in pursuit TAC 1, เป็นชายผิวสี ขับรถสปอร์ต 2 ประตู สีขาว หมายเลขทะเบียน T7154ZS, ขณะนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่ถนน Strawberry Ave มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ.
การเข้าร่วม / ออกจากการไล่ล่า TAC
เข้าร่วมการไล่ล่า (เมื่อมีการร้องขอหรือประสงค์เข้าร่วม)
[Callsign] + Code 3 to TAC 1.
ตัวอย่าง: 2L45, Code 3 to TAC 1.
ออกจากการไล่ล่า (ยุติบทบาทการติดตาม)
[Callsign] + Leave TAC 1.
ตัวอย่าง: 2L45, Leave TAC 1.
ตัวอย่าง: 2L21, Show Code 4, 10-15 at Rockford Drive.
Supervisor (สารวัตร/หัวหน้าหน่วย) จะเป็นผู้ ประเมินและตัดสินใจ ว่าจะอนุญาตให้ดำเนินการต่อหรือยุติการไล่ล่า
เจ้าหน้าที่ภาคสนาม ไม่มีอำนาจยุติหรือดำเนินต่อเองได้โดยลำพัง
ไม่เกิน 2-3 คัน ในการขับตามผู้ต้องสงสัยโดยตรง
จัดตำแหน่ง: 1 คันนำ, 1 คันสนับสนุน, 1 คันควบคุมเส้นทาง
ขอ สนับสนุนจากเฮลิคอปเตอร์ (Air Unit) เพื่อเฝ้าติดตามจากอากาศ
หลีกเลี่ยงการสร้างอันตรายแก่ประชาชน เช่น ไม่ไล่ล่าผ่านเขตโรงเรียนหรือถนนแออัด
สามารถใช้ได้ เมื่อได้รับอนุญาตจาก Supervisor:
PIT Maneuver (Pursuit Intervention Technique)
ชนเข้าด้านท้ายรถของผู้ต้องสงสัยเพื่อให้รถหมุนและหยุด
Spike Strip (แถบตะปู)
วางเพื่อทำให้ยางรถผู้ต้องสงสัยแตกจนไม่สามารถขับต่อได้
Box-in / Contain
ประสานหลายคันเพื่อปิดทางรถของผู้ต้องสงสัย
Supervisor อาจสั่ง ยุติการไล่ล่า หาก:
ผู้ต้องสงสัยขับด้วยความเร็วอันตรายเกินไป
สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย (ถนนลื่น, เขตชุมชนหนาแน่น)
การไล่ล่ามีความเสี่ยงสูงกว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับ
มีเฮลิคอปเตอร์ติดตามอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องขับตามในระดับพื้นดิน
ควบคุมผู้ต้องสงสัยอย่างปลอดภัย
ปฐมพยาบาลหากมีผู้ได้รับบาดเจ็บ
ทำรายงานการไล่ล่าโดยละเอียด (Pursuit Report)
วิเคราะห์เหตุการณ์เพื่อปรับปรุงกระบวนการในอนาคต
ความปลอดภัยของประชาชนอยู่เหนือที่สุด
ไล่ล่าเมื่อ “จำเป็นจริง” เท่านั้น
ผู้บังคับบัญชาต้องอนุมัติทุกขั้นตอนที่สำคัญ
หยุดเมื่อสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย
PIT คือเทคนิคการสกัดรถโดยใช้กันชนของรถเจ้าหน้าที่ เบียดเข้าบริเวณด้านข้างของรถผู้ต้องสงสัย เพื่อทำให้รถเกิดการเสียหลักและหยุดเคลื่อนที่ได้อย่างปลอดภัย
การใช้เทคนิค PIT ต้องได้รับอนุญาตจาก Supervisor ทุกครั้ง
การทำ PIT จะต้องมี จุดประสงค์ชัดเจนว่า ผู้ต้องสงสัยขับรถในลักษณะที่อันตรายต่อผู้อื่น หรือมีความเสี่ยงสูงที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เช่น ทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ในกรณีการไล่ล่าที่ยาวนานและผู้ต้องสงสัยมีพฤติกรรมขับรถหลบหนีแต่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายรุนแรง อาจรอคำสั่งจาก Supervisor ให้ใช้ PIT เพื่อสกัดและจับกุมได้
เทคนิค BOX หมายถึง การใช้รถเจ้าหน้าที่จอดล้อมรอบรถผู้ต้องสงสัยในลักษณะเป็น “กล่อง” เพื่อ ปิดกั้นไม่ให้รถผู้ต้องสงสัยเคลื่อนที่ออกจากพื้นที่ได้
เทคนิคนี้มักใช้ร่วมกับ PIT หลังจากที่รถผู้ต้องสงสัยเสียหลัก
เจ้าหน้าที่ต้องใช้เบรกมือและเทคนิคการควบคุมรถเพื่อป้องกันไม่ให้รถเคลื่อนที่หนีออกไป
การ BOX จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและควบคุมสถานการณ์ก่อนดำเนินการจับกุม
กรณีผู้ต้องสงสัยชนกับสิ่งกีดขวาง เช่น เสาไฟฟ้าแล้ว เจ้าหน้าที่สามารถสั่ง BOX เพื่อควบคุมพื้นที่และหยุดการหลบหนีตามคำสั่ง Supervisor
กฎความปลอดภัยเพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตในการเผชิญเหตุร้ายแรง
“กฎความปลอดภัย NEWHALL” (Newhall Safety Rules) ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานด้านความปลอดภัยในการเผชิญเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีที่มาจากโศกนาฏกรรม Newhall Incident ปี 1970 ซึ่งคร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ 4 นายของ California Highway Patrol และกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่เปลี่ยนรูปแบบการฝึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วสหรัฐฯ และต่อมาในวงการบังคับใช้กฎหมายสากลก็ได้นำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้เช่นกัน
กฎความปลอดภัยเพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตในการเผชิญเหตุร้ายแรง
1. ห้ามประมาท (Never assume anything)
อย่าคิดเอาเองว่าเหตุการณ์ “ธรรมดา” จะไม่อันตราย — ตำรวจต้องเตรียมพร้อมเสมอสำหรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด
2. ระวังตัวตลอดเวลา (Expect the unexpected)
ฝ่ายตรงข้ามอาจมีอาวุธซ่อนอยู่หรือมีเจตนาร้าย แม้สถานการณ์ดูสงบก็ตาม — จงรักษาความระแวดระวังให้เป็นนิสัย
3. ใช้ตำแหน่งป้องกันให้เป็นประโยชน์ (Watch your position)
ห้ามเปิดช่องว่างให้ตัวเองถูกลอบทำร้าย — ใช้สิ่งกำบัง, ระยะห่าง, และมุมยิงให้เป็นประโยชน์
4. มีสติและควบคุมสถานการณ์ (Have control)
ควบคุมผู้ต้องสงสัยและสถานการณ์อย่างเด็ดขาดด้วยท่าทีมืออาชีพ ไม่ปล่อยให้สถานการณ์ควบคุมคุณ
5. ระวังเพื่อนร่วมงาน (Look out for your partner)
หมั่นเช็กและสื่อสารกับคู่ของคุณ — ตำรวจไม่เคยปฏิบัติการคนเดียว ความร่วมมือช่วยชีวิตได้
“You do not rise to the occasion; you sink to the level of your training.”
(คุณจะไม่ลุกขึ้นสู้ได้ดีในเหตุการณ์ร้ายแรง หากไม่ได้ฝึกมา — คุณจะตกลงไปสู่ระดับที่คุณฝึกเท่านั้น)
ตัวย่อที่ใช้สำหรับแผนสำรองฉุกเฉิน
แผนสำรองฉุกเฉิน (Contingency Plan) คือ "PACE". PACE ย่อมาจาก Primary, Alternate, Contingent, และ Emergency.
Primary (แผนหลัก):
แผนที่คุณต้องการใช้ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน.
Alternate (แผนสำรอง):
แผนที่ใช้หากแผนหลักไม่สามารถดำเนินการได้.
Contingent (แผนเผื่อกรณี):
แผนที่ใช้หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน หรือการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์.
Emergency (แผนฉุกเฉิน):
แผนที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินที่ต้องใช้การตัดสินใจอย่างรวดเร็วและสำคัญ.
การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (BLS) เป็นการดูแลฉุกเฉินเบื้องต้นที่ให้แก่ผู้ที่ประสบเหตุการณ์หัวใจหยุดเต้น หายใจลำบาก หรือทางเดินหายใจอุดตัน. BLS เน้นความรู้และทักษะในการช่วยชีวิตด้วยการปั๊มหัวใจ (CPR) การใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (AED) และการแก้ไขการอุดตันทางเดินหายใจ.
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ BLS:
เป้าหมาย:
BLS มีจุดประสงค์เพื่อรักษาหรือฟื้นฟูชีวิตเบื้องต้นจนกว่าจะสามารถช่วยชีวิตขั้นสูงได้.
องค์ประกอบหลัก:
การดูแลที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและรักษาทางเดินหายใจ การหายใจ และการไหลเวียนโลหิต.
ทักษะที่จำเป็น:
การช่วยชีวิตด้วยการปั๊มหัวใจ (CPR): การกดหน้าอกและการช่วยหายใจ.
การช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) เป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืนชีพได้ในกรณีที่หัวใจหยุดเต้นหรือหายใจไม่ได้. ในการทำ CPR มีขั้นตอนสำคัญคือการกดหน้าอกและการช่วยหายใจ (ผายปอด).
ขั้นตอนการทำ CPR:
1. ตรวจสอบการตอบสนอง:
ตรวจสอบว่าผู้ป่วยมีสติหรือไม่ โดยการเขย่าเบาๆ และตะโกนว่า "คุณโอเคไหม".
2. โทรขอความช่วยเหลือ:
หากผู้ป่วยไม่มีสติ ให้โทร 111, 211, 311 หรือหมายเลขฉุกเฉินในพื้นที่ และแจ้งรายละเอียดผู้ป่วย.
3. จัดท่าผู้ป่วย:
หากผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง ให้มีคน 2 คนช่วยพยุงผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้ศีรษะและคอบิด.
4. การกดหน้าอก:
วางส้นมือข้างหนึ่งไว้บนกระดูกหน้าอกตรงกลางระหว่างหัวนม วางส้นมืออีกข้างไว้ด้านบนของมือแรก วางร่างกายโดยตรงเหนือมือ กดหน้าอก 30 ครั้ง โดยกดลึกอย่างน้อย 2 นิ้ว และปล่อยให้หน้าอกกลับคืนสู่สภาพเดิมทุกครั้ง.
5. การช่วยหายใจ:
หากเป็นผู้ใหญ่ ให้ช่วยหายใจโดยการปิดปากผู้ป่วยและเป่าลมเข้าไปในปอด 2 ครั้ง หลังจากกดหน้าอก 30 ครั้ง (อัตรา 30:2).
6. ทำ CPR ต่อไป:
ทำ CPR ต่อไปจนกว่าผู้ป่วยจะฟื้นคืนชีพ หรือจนกว่าความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินจะมาถึง.
ข้อควรระวังในการทำ CPR:
1. กดหน้าอกให้เร็วและแรง ด้วยอัตราความเร็วอย่างน้อย 100 ครั้งต่อนาที.
2. กดลึกอย่างน้อย 2 นิ้ว หรือ 5 เซนติเมตร สำหรับผู้ใหญ่.
3. ปล่อยให้หน้าอกคืนตัวจนสุด หลังจากกดแต่ละครั้ง.
4. หากผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง ให้มีคน 2 คนช่วยพยุงผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้ศีรษะและคอบิด.
5. หากมีเครื่อง AED ให้ใช้ตามคำแนะนำ.
การทำ CPR จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหรือการหายใจ.
คำเตือน: มีข้อควรระวังหลายประการ รวมถึงการกดหน้าอกที่ไม่ถูกต้อง แรงไม่พอ หรือเร็วเกินไป. การกดหน้าอกแรงและเร็วเกินไปอาจทำให้กระดูกหน้าอกหักหรือหัวใจช้ำ. การช่วยหายใจที่ไม่เพียงพอ หรือไม่ถูกต้องอาจทำให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ. นอกจากนี้ การหยุด CPR เร็วเกินไป หรือไม่ใช้เทคนิคที่ถูกต้องก็เป็นข้อผิดพลาดที่อาจส่งผลต่อการฟื้นฟูของผู้ป่วย.
การใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED): อุปกรณ์ที่ตรวจจับจังหวะหัวใจผิดปกติและส่งกระแสไฟฟ้าช็อตเพื่อฟื้นฟูหัวใจ.
คำเตือน: AED ห้ามใช้กับผู้ที่มีสติ, ชีพจร, หรือกำลังมีอาการทางหัวใจที่ไม่ได้เป็นภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (cardiac arrest) นอกจากนี้ ไม่ควรใช้ AED กับเด็กเล็กหรือผู้ป่วยที่มีเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (pacemaker) หรือเครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติชนิดฝัง (ICD).
การใช้เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ (AED) เป็นวิธีสำคัญในการช่วยชีวิตผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลัน การใช้ AED อย่างถูกต้องและทันท่วงที สามารถเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตได้.
ขั้นตอนการใช้ AED:
1. เปิดเครื่องและติดแผ่นนำไฟฟ้า:
เปิดเครื่อง AED และติดแผ่นนำไฟฟ้า (pads) บนหน้าอกของผู้ป่วยตามตำแหน่งที่เครื่องแนะนำ. แผ่นหนึ่งติดใต้กระดูกไหปลาร้าด้านขวา และอีกแผ่นติดใต้ราวนมซ้ายด้านข้างลำตัว.
2. วิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจ:
เครื่อง AED จะวิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจ และจะบอกว่าจำเป็นต้องช็อตไฟฟ้าหรือไม่. ห้ามสัมผัสตัวผู้ป่วยขณะเครื่องวิเคราะห์.
3. ช็อตไฟฟ้า (ถ้าจำเป็น):
หากเครื่องบอกว่าจำเป็นต้องช็อตไฟฟ้า ให้กดปุ่มช็อตไฟฟ้าตามคำแนะนำของเครื่อง.
4. ทำ CPR:
หลังจากช็อตไฟฟ้าแล้ว หรือหากเครื่องไม่แนะนำให้ช็อตไฟฟ้า ให้เริ่มทำ CPR ทันที.
5. ส่งต่อผู้ป่วย:
เมื่อรถพยาบาลมาถึง ให้ส่งต่อผู้ป่วยและข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่.
ข้อควรระวัง:
ห้ามสัมผัสตัวผู้ป่วยขณะเครื่องวิเคราะห์หรือช็อตไฟฟ้า:
การสัมผัสตัวผู้ป่วยอาจทำให้กระแสไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อผู้ช่วยเหลือได้.
เช็คว่าผู้ป่วยแห้งสนิท:
ควรเช็ดหน้าอกของผู้ป่วยให้แห้งก่อนติดแผ่นนำไฟฟ้า.
ทำ CPR ต่อไป:
แม้ว่าเครื่องจะวิเคราะห์แล้ว และอาจไม่แนะนำให้ช็อตไฟฟ้า แต่ก็ควรทำ CPR ต่อไปจนกว่าผู้ป่วยจะหายใจได้เอง หรือจนกว่ารถพยาบาลจะมาถึง.
อย่าตกใจ:
การใช้ AED เป็นเรื่องง่ายและมีคำแนะนำที่ชัดเจน หากคุณตกใจหรือลังเลในการใช้ AED อาจทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับความช่วยเหลือทันเวลา.
ประโยชน์ของการใช้ AED:
เพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต:
การใช้ AED สามารถช่วยให้หัวใจกลับมาเต้นได้อีกครั้ง และเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ป่วย.
ง่ายต่อการใช้งาน:
เครื่อง AED ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและมีคำแนะนำที่ชัดเจน.
ไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์:
ใครก็ได้สามารถใช้เครื่อง AED ได้ หากได้รับการฝึกฝน.
การแก้ไขการอุดตันทางเดินหายใจ: การจัดการกับภาวะที่ทางเดินหายใจถูกอุดตัน.
กลุ่มผู้ที่ควรได้รับการฝึกอบรม:
ผู้ปฏิบัติงานฉุกเฉิน ผู้ให้บริการด้านการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสาธารณะ และบุคคลทั่วไปที่ต้องการเรียนรู้การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน.
ความสำคัญ:
BLS ช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของบุคคลที่ประสบเหตุการณ์ฉุกเฉิน.
การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (BLS) ในการหยุดเลือดหมายถึงการดูแลเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่อาจมีเลือดออกมาก โดยเน้นที่การห้ามเลือดและการดูแลผู้บาดเจ็บจนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์ขั้นสูง. การห้ามเลือดทำได้โดยการกดแผลโดยตรง การใช้ผ้าพันแผล หรือการใช้สายรัดห้ามเลือด (ถ้าได้รับการฝึกมา). นอกจากนี้ การดูแลผู้บาดเจ็บยังรวมถึงการตรวจสอบสัญญาณชีพ การป้องกันไม่ให้เกิดความเย็นหรือร้อนเกินไป และการให้การประเมินตามความเหมาะสม.
รายละเอียดเพิ่มเติม:
การห้ามเลือด:
ขั้นตอนการห้ามเลือดเบื้องต้น (ตามหลักการปฐมพยาบาล):
1. ประเมินสถานการณ์:
ดูว่าบาดแผลอยู่ที่ใด เลือดออกมากแค่ไหน และลักษณะของบาดแผล
2. กดทับแผล:
ใช้ผ้าสะอาดหรือผ้ากอซ กดทับแผลโดยตรงอย่างแรงและสม่ำเสมอจนกว่าเลือดจะหยุดไหล
3. หากเลือดไม่หยุด:
หากเลือดยังไหลไม่หยุด หรือซึมผ่านผ้าที่กดทับอยู่ ให้ใช้ผ้าสะอาดอีกแผ่นกดทับลงบนผ้าเดิม และห้ามเปลี่ยนผ้า
4. การรัดทูร์นิเก็ต (หากจำเป็น):
หากเป็นแผลใหญ่และเลือดไหลรุนแรงบริเวณแขนหรือขา และการกดทับไม่สามารถห้ามเลือดได้ อาจจำเป็นต้องใช้สายรัดห้ามเลือด (tourniquet) แต่ต้องได้รับการฝึกฝนและใช้ด้วยความระมัดระวัง
5. รักษาสภาพผู้ป่วย:
ช่วยให้ผู้ป่วยมีที่พักผ่อน หายใจสะดวก และป้องกันไม่ให้เกิดอาการช็อก
6. เรียกรถพยาบาล:
แจ้งเหตุฉุกเฉินและรอรถพยาบาลมาช่วยเหลือ
กดแผลโดยตรง: กดแผลด้วยผ้าสะอาดหรือวัสดุที่ไม่มีสิ่งสกปรกเพื่อหยุดเลือด.
ผ้าพันแผล: ใช้ผ้าพันแผลเพื่อปิดแผลและช่วยห้ามเลือด.
สายรัดห้ามเลือด: หากได้รับการฝึกอบรม ควรใช้สายรัดห้ามเลือดที่แขนหรือขาที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อหยุดเลือด.
สายรัดห้ามเลือด (TQ) เป็นอุปกรณ์สำคัญในการห้ามเลือดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ควรใช้เฉพาะบนแขนและขา เหนือข้อต่อและบนผิวหนังโดยตรง.
ข้อควรทำ:
ใช้บนแขนและขาเท่านั้น:
ห้ามใช้บนลำตัวหรือศีรษะ.
รัดบนผิวหนังโดยตรง:
ไม่ควรมีเสื้อผ้าหรือสิ่งของอื่น ๆ อยู่ระหว่างสายรัดกับผิวหนัง.
รัดแน่นพอสมควร:
รัดให้แน่นพอที่จะหยุดการไหลของเลือด แต่ไม่ถึงกับทำให้ผู้บาดเจ็บเจ็บปวดอย่างรุนแรง.
รัดเหนือข้อต่อ:
ควรวางสายรัดเหนือข้อต่อที่มีกระดูกคู่ (เช่น เข่าหรือข้อศอก).
ตรวจสอบสายรัดเป็นระยะ:
ตรวจสอบว่าสายรัดยังคงรัดแน่นอยู่ และไม่หลุดลื่น.
เมื่อหยุดเลือดได้:
หากเลือดหยุดไหลแล้ว ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ายังไม่มีเลือดไหลออกมาอีกครั้ง.
ข้อห้าม:
ไม่รัดทับข้อต่อ:
ไม่ควรวางสายรัดทับข้อต่อ (เข่า ข้อศอก).
ไม่รัดทับเสื้อผ้า:
ควรตัดเสื้อผ้าออกให้หมดก่อนใช้สายรัด.
ไม่รัดทับสิ่งของ:
ไม่ควรวางสายรัดทับซองหรือกระเป๋าที่มีสิ่งของขนาดใหญ่.
ไม่รัดบนลำตัวหรือศีรษะ:
สายรัดห้ามเลือดใช้เฉพาะบนแขนและขาเท่านั้น.
ไม่ทิ้งสายรัดไว้เป็นเวลานาน:
หากไม่มีเหตุผลที่จำเป็น ควรปลดสายรัดห้ามเลือดภายในเวลาที่เหมาะสม เช่น ทุกๆ 10 นาที.
ไม่ใช้สายรัดที่ชำรุด:
หากสายรัดชำรุดหรือเสื่อมสภาพ ควรเปลี่ยนสายรัดใหม่
การดูแลผู้บาดเจ็บ:
ตรวจสอบสัญญาณชีพ: ตรวจสอบการหายใจ การเต้นของหัวใจ และระดับสติสัมผัสของผู้บาดเจ็บ.
ป้องกันไม่ให้เกิดความเย็นหรือร้อน: ห่อผู้บาดเจ็บด้วยผ้าห่มเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเย็นหรือร้อนเกินไป.
ให้การประเมินตามความเหมาะสม: พิจารณาว่าผู้บาดเจ็บต้องการการดูแลเพิ่มเติมหรือไม่ และแจ้งให้หน่วยงานฉุกเฉินทราบ.
BLS: การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (BLS) เป็นการดูแลขั้นพื้นฐานที่ใช้กับผู้ที่ประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือหายใจลำบาก. การดูแลดังกล่าวต้องอาศัยความรู้และทักษะในการปั๊มหัวใจ (CPR) การใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) และการช่วยหายใจ.
สำหรับ RA (Rescue Ambulance) หรือหน่วยพยาบาลฉุกเฉิน โดยเฉพาะในระบบ EMS (Emergency Medical Services) หรือหน่วยกู้ชีพ-กู้ภัยในไทย โคตรสี (Color Code) จะใช้เพื่อระบุ "ระดับความเร่งด่วนของผู้ป่วย" ซึ่งจะช่วยให้บุคลากรสามารถจัดลำดับความสำคัญในการช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปนิยมใช้ 4 ระดับสีหลัก ดังนี้:
ผู้ป่วยมีภาวะคุกคามชีวิต ต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
เช่น หัวใจหยุดเต้น, หายใจลำบาก, มีเลือดออกมาก, หมดสติ
ต้องได้รับการดูแลภายใน 0-5 นาที
ผู้ป่วยยังมีสัญญาณชีพ แต่เริ่มเสี่ยงต่อภาวะวิกฤติ
เช่น อุบัติเหตุรุนแรง, เจ็บแน่นหน้าอก, ชัก, เบาหวานหมดสติ
ควรได้รับการดูแลภายใน 10 นาที
มีอาการเจ็บป่วยที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว แต่ไม่ถึงขั้นวิกฤติ
เช่น ไข้สูง, ปวดท้อง, อาเจียน, บาดแผลไม่รุนแรง
ควรได้รับการดูแลภายใน 30-60 นาที
อาการไม่รุนแรง ไม่คุกคามชีวิต
เช่น ปวดเมื่อยเล็กน้อย, แผลถลอก, ข้อแพลง
สามารถรอการรักษาได้โดยไม่กระทบต่อชีวิต
ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว หรือมีอาการวิกฤตเกินกว่าจะช่วยได้ในสถานการณ์ภัยพิบัติ
ใช้ในระบบ Triage ในภาวะภัยพิบัติ (Disaster Triage)