ยุโรปเป็นทวีปมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์
มาตั้งแต่ก่อนคริสต์ศักราชและเป็นศูนย์กลางของ
อารยธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อประชาคมโลก
ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
ยุคโบราณ
(เอเธนส์ ประเทศกรีซในปัจจุบัน)
(คาบสมุทรอิตาลีในปัจจุบัน)
ยุคกลาง
เป็นสมัยที่ “ยุโรปตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคริสต์ศาสนา”
เรียกอีกอย่างว่า “ยุคมืด” มีความหมายว่า ‘การหยุดนิ่งทางปัญญา’ คือ ศาสนจักรเรืองอำนาจมาก โบสถ์สามารถเรียกเก็บภาษีจากประชาชนได้โดยตรง พระสันตะปาปามีอำนาจแต่งตั้ง-ถอดถอนกษัตริย์ สามารถขับไล่ ลงโทษผู้ที่ต่อต้านศาสนาคริสต์ได้ และเกิดสงครามทางศาสนาที่เรียกว่า “สงครามครูเสด” ศาสนาคริสต์เข้ามาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวยุโรปและเข้ามามีอิทธิพลในวิถีชีวิตของชาวยุโรปในเวลาต่อมา สิ้นสุดสมัยนี้
เมื่อมีการค้นพบเส้นทางเดินเรือไปยังดินแดนต่าง ๆ เพื่อเปิด
เส้นทางการค้าทางทะเลและการกำเนิดวิทยาการด้านต่าง ๆ
ยุคใหม่
ก่อนสมัยใหม่มีการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ นำความรู้สมัยกรีก-โรมันกลับมาอีกครั้ง คนให้ความสนใจในเรื่องที่พิสูจน์ได้ เริ่มมีการสำรวจทางทะเล เพื่อแสวงหาดินแดนและทรัพยากร มีการปฏิวัติในด้านต่าง ๆ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก
ปฏิรูปศาสนา
ปฏิวัติอุตสาหกรรม
ปฏิวัติวิทยาศาสตร์
หลังการปฏิวัติทางศาสนา อุตสาหกรรม เกษตรกรรมและวิทยาศาสตร์ ชนชั้นสามัญชนมีโอกาสทางการศึกษา
และประกอบอาชีพมากขึ้น ทำให้เปลี่ยนสถานะทางสังคมเป็นชนชั้นกลาง เกิดแนวคิดแบบมนุษยนิยมและเสรีนิยม ทำให้เกิดการการแสวงหาความรู้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ รวมทั้งเกิดนักปรัชญาทางการเมืองที่สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตย
>> หลังการปฏวัติในอังกฤษ ประเทศใกล้เคียงเริ่มมีการปฏิวัติ เช่น ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา รัสเซีย
>> จากนั้นเกิดความขัดแย้งจากลัทธิจักรวรรดินิยมจนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
(มหาอำนาจกลาง VS สัมพันธมิตร)
>> ความไม่พอใจหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่งผลให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามมา
(อักษะ VS สัมพันธมิตร)
ยุคปัจจุบัน
เป็นยุคของการแข่งขันของมหาอำนาจแบบใหม่ระหว่าง
>> สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต <<
ที่โดยมีระบอบการปกครอง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและ
การแข่งขันด้านแสนยานุภาพเป็นเกณฑ์กำหนด มีการใช้ปรมาณูเพื่ออำนาจในการต่อรองทางการเมืองและเพื่อสันติ