ชื่อ-นามสกุล นางสาวนันทนา เทพเที่ยง
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
สถานศึกษา โรงเรียนบ้านหนองโค้ง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 1
ห้องเรียนที่จัดการเรียนรู้ ห้องเรียนวิชาสามัญหรือวิชาพื้นฐาน
ข้าพเจ้าขอแสดงเจตจำนงในการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ
ซึ่งเป็นตำแหน่งและวิทยฐานะที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันกับผู้อำนวยการสถานศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 24 ชั่วโมง/สัปดาห์ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รายวิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 6 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 6 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 6 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา วิชาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ต้านทุจริตศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา IS2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
รายวิชา ชุมนุม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา แนะแนว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ลูกเสือ-เนตรนารี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน - ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 6 ชั่วโมง/สัปดาห์
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
หัวหน้างาน ตามคำสั่งโรงเรียนบ้านหนองโค้ง ที่ 100/2567 เรื่อง มอบหมายการปฏิบัติหน้าที่กลุ่มบริหารงานวิชาการ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ลงวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2567 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้น จำนวน - ชั่วโมง/สัปดาห์
- โรงเรียน 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ
- โครงการโรงเรียน CONEXT ED
- โครงการพัฒนาคุณภาพวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีตามมาตรฐาน สสวท. (SMT)
- โครงการสถานศึกษาสีขาวปลอดยาเสพติดและอบายมุข
- งานจุดเน้น สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ และเขตพื้นที่การศึกษา
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 21 ชั่วโมง/สัปดาห์ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รายวิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 6 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 6 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 6 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
รายวิชา ชุมนุม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา แนะแนว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ลูกเสือ-เนตรนารี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน - ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 9 ชั่วโมง/สัปดาห์
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานวิชาการ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
หัวหน้างาน ตามคำสั่งโรงเรียนบ้านหนองโค้ง ที่ 45/2568 เรื่อง มอบหมายการปฏิบัติหน้าที่กลุ่มบริหารงานวิชาการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 ลงวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 จำนวน 4 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้น จำนวน - ชั่วโมง/สัปดาห์
- โรงเรียน 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ
- โครงการโรงเรียน CONEXT ED
- โครงการพัฒนาคุณภาพวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีตามมาตรฐาน สสวท. (SMT)
- โครงการสถานศึกษาสีขาวปลอดยาเสพติดและอบายมุข
- งานจุดเน้น สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ และเขตพื้นที่การศึกษา
ประเด็นที่ท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน ของผู้จัดทำข้อตกลง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ ต้องแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ คือ การริเริ่ม พัฒนา การจัดการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือมีการพัฒนามากขึ้น (ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายอาจจะแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังในวิทยฐานะที่สูงกว่าได้)
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
การจัดการศึกษาในยุคปัจจุบันมุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งประกอบด้วยทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และทักษะชีวิตและอาชีพ (วิจารณ์ พานิช, 2555) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศและการแข่งขันในระดับนานาชาติ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จึงต้องมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในหลักการทางวิทยาศาสตร์ มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนานวัตกรรมได้ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2560)
การทำโครงงานวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์และการคิดขั้นสูงของผู้เรียน โดยเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า สำรวจตรวจสอบ และปฏิบัติด้วยตนเองตามความสนใจ ความถนัด และความสามารถ อันจะนำไปสู่การค้นพบความรู้หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ (สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ, 2553) นอกจากนี้ การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ยังช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 (ทิศนา แขมมณี, 2560)
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาสภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ยังขาดความสามารถในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยมีปัญหาในการกำหนดหัวข้อโครงงาน การตั้งสมมติฐาน การออกแบบการทดลอง การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการนำเสนอผลงาน (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2562) นอกจากนี้ ยังพบว่านักเรียนมักขาดแรงจูงใจในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องยากและไม่เห็นความเชื่อมโยงกับชีวิตจริง (วรรณทิพา รอดแรงค้า, 2558)
การบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ โดยเป็นการเชื่อมโยงความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับบริบทในชีวิตจริงของผู้เรียน ทำให้การเรียนรู้มีความหมายและน่าสนใจมากขึ้น (สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ, 2556) การนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์จะช่วยให้นักเรียนเห็นคุณค่าของวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการอธิบายและพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น อันจะนำไปสู่การอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน (ประสาท เนืองเฉลิม, 2557)
การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่บูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นจำเป็นต้องอาศัยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสามารถพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียนได้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ B.R.I.T.E. (Brainstorm and Build objectives, Research and Rationalize data, Innovate and Illustrate solutions, Think critically and Transform understanding, Evaluate and Extend learning) เป็นแนวคิดใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยบูรณาการแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning) และการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry-based Learning) เข้าด้วยกัน (Smith & Johnson, 2022)
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ B.R.I.T.E. มีลักษณะเด่นในการส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งสอดคล้องกับทักษะที่จำเป็นในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ (Brown et al., 2023) นอกจากนี้ ยังเน้นการเชื่อมโยงความรู้กับบริบทจริง ซึ่งเอื้อต่อการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (Wilson & Lee, 2022) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการนำรูปแบบ B.R.I.T.E. มาใช้ในการส่งเสริมความสามารถในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่บูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในประเทศไทย
จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นช่วงที่สำคัญในการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และการคิดขั้นสูงของผู้เรียน เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้เรียนเริ่มมีพัฒนาการทางความคิดในระดับนามธรรมมากขึ้น (Piaget, 1964) และเป็นช่วงที่เหมาะสมในการปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์และการทำโครงงาน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2560) นอกจากนี้ เนื้อหาเรื่องสมบัติของสารในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความเชื่อมโยงกับภูมิปัญญาท้องถิ่นหลายด้าน เช่น การใช้สมุนไพร การย้อมผ้า การถนอมอาหาร ซึ่งสามารถนำมาบูรณาการในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าสนใจ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560)
ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ B.R.I.T.E. model เพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่องสมบัติของสารในภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมุ่งหวังว่าผลการวิจัยจะเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ส่งเสริมการทำโครงงานและการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น อันจะนำไปสู่การพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ การคิดขั้นสูง และการเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่นของผู้เรียนต่อไป
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้เป็นเครื่องมือที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น ประกอบด้วย
1) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
1.1 แบบสอบถามสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาความสามารถในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ สำหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
1.2 แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างสำหรับครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับสภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนาความสามารถในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
1.3 แบบประเมินความสามารถในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่องสมบัติของสารในภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
1.4 แบบทดสอบวัดความรู้เกี่ยวกับการทำโครงงานวิทยาศาสตร์และสมบัติของสารในภูมิปัญญาท้องถิ่น
1.5 แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้และการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
1.6 แบบประเมินผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
1.7 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น
1.8 แบบประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยผู้เชี่ยวชาญ
2) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง
2.1 รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ B.R.I.T.E. model เพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่องสมบัติของสารในภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ประกอบด้วย
- คู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
- แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ B.R.I.T.E. model จำนวน 16 แผน
2.2 สื่อและอุปกรณ์ประกอบการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ B.R.I.T.E. model ได้แก่
- ใบความรู้เกี่ยวกับสมบัติของสารในภูมิปัญญาท้องถิ่น
- ใบกิจกรรมการเรียนรู้และการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
- วัสดุ อุปกรณ์ และสารเคมีที่ใช้ในการทดลองและทำโครงงานวิทยาศาสตร์
- แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับสมบัติของสารในภูมิปัญญาท้องถิ่น
การดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล
วางแผนการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ B.R.I.T.E. model เพื่อส่งเสริมความสามารถในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมบัติของสารในภูมิปัญญาท้องถิ่น ดังนี้
1) ศึกษาความหมาย ขั้นตอนวิธีการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
2) วิเคราะห์หลักสูตรและเนื้อหาในสาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1
เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โดยนำนักเรียนไปศึกษาเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อเชื่อมโยงกับเนื้อหาในหลักสูตร เรื่อง สมบัติของสาร
3) กำหนดหัวข้อในการศึกษาให้ผู้เรียน ตามเนื้อหาที่กำหนด
4) กำหนดเทคนิควิธีการสอนที่ใช้ คือ การใช้เทคนิค B.R.I.T.E. model ในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน เรื่อง สมบัติของสารกับภูมิปัญญาท้องถิ่น
- จัดกิจกรรมการเรียนการสอน
- การสรุปผลและการเขียนรายงาน
1) ครูนำผลการจัดกิจกรรมของผู้เรียนมาวิเคราะห์ปัจจัยที่เอื้อให้ประสบผลสำเร็จ ปัญหา
อุปสรรค จุดที่ควรพัฒนา ข้อเสนอแนะพร้อมทั้งเขียนรายงานผลการจัดกิจกรรม
2) เผยแพร่รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ B.R.I.T.E. model เพื่อส่งเสริมความสามารถในการ
ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมบัติของสารในภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้กับเพื่อนครูในโรงเรียนและต่างโรงเรียนตามช่องทางต่างๆ
3. ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง
3.1 เชิงปริมาณ
ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ร้อยละ 100 เมื่อได้รับการส่งเสริมความสามารถในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมบัติของสารกับภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยใช้เทคนิค B.R.I.T.E. model ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมบัติของสาร สูงขึ้น
3.2 เชิงคุณภาพ
ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหา เรื่อง สมบัติของสารกับภูมิปัญญาท้องถิ่น และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้
ลงชื่อ ..............นันทนา เทพเที่ยง..............
(นางสาวนันทนา เทพเที่ยง)
ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ
ผู้จัดทำข้อตกลงในการพัฒนางาน
1 ตุลาคม พ.ศ. 2567