ชื่อ-นามสกุล นายอาณัติ กันทะพิงค์
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ชำนาญการ ตำแหน่งเลขที่ 5089
สถานศึกษา โรงเรียนบ้านหนองโค้ง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 1
ห้องเรียนที่จัดการเรียนรู้ ห้องเรียนวิชาสามัญหรือวิชาพื้นฐาน
ข้าพเจ้าขอแสดงเจตจำนงในการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ
ซึ่งเป็นตำแหน่งและวิทยฐานะที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันกับผู้อำนวยการสถานศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 24 ชั่วโมง/สัปดาห์ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
รายวิชา ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 18 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
รายวิชา แนะแนว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ลูกเสือ-เนตรนารี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ชุมนุมภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา การศึกษาเพื่อการเรียนรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ต้านทุจริต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา วิชาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 7 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่พัสดุ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่งานบรรณรักษ์ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้น จำนวน 2.5 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมรักการอ่าน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 17 ชั่วโมง/สัปดาห์ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
รายวิชา ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-2 จำนวน 12 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
รายวิชา แนะแนว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ลูกเสือ-เนตรนารี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ชุมนุม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา การศึกษาเพื่อการเรียนรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา วิชาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่พัสดุ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้น จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมรักการอ่าน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
ประเด็นที่ท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนของผู้จัดทำข้อตกลง ซึ่งปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ต้องแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะครูชำนาญการ คือ แก้ไขปัญหา การจัดการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือมีการพัฒนามากขึ้น (ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายอาจจะแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังในวิทยฐานะที่สูงกว่าได้)
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่าการอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้ทางด้านการศึกษา การพัฒนาตนเอง และช่วยเพิ่มพูนความรอบรู้ที่สำคัญทำให้คนมีความคิดกว้างไกลและมีวิสัยทัศน์ เนื่องจากการอ่านเป็นการจุดประกายความคิดของผู้อ่านทำให้เกิดพัฒนาการทางความคิดและสติปัญญา โดยการนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปบูรณาการกับความคิดและความรู้เดิมของตนเองจนเกิดเป็นความคิดใหม่ในการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ เป็นไปตามนโยบายและจุดเน้นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568-2569 ที่ได้ส่งเสริมการอ่าน เพื่อเป็นวิถีในการค้นหาความรู้และต่อยอดองค์ความรู้ที่สูงขึ้น โดยให้ส่งเสริมการอ่านเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตและพัฒนาความสามารถด้านการอ่านตามแนวทางการประเมิน PISA ซึ่งสอดคล้องกับอาภรณ์พรรณ พงษ์สวัสดิ์ (2550, หน้า 4) กล่าวถึง ความสำคัญของการอ่านที่มีต่อการดำรงชีวิตว่า การอ่าน ทำให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์หลายด้าน ทั้งด้านการเพิ่มพูนความรู้ ความคิด สติปัญญา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะการอ่านจับใจความซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อการอ่านทุกประเภทเพราะเป็นทักษะพื้นฐานที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจสิ่งที่อ่านได้เร็วและถูกต้องตรงตามที่ผู้เขียนต้องการ และดังที่ จิรวัฒน์ เพชรรัตน์และอัมพร ทองใบ (2555, หน้า 66) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็นสิ่งจำเป็นต่อมนุษย์ต่อความเจริญในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์มาก การอ่านหนังสือนอกจากจะทำให้ผู้อ่านเป็นผู้หูตากว้างแล้ว คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวของโลกปัจจุบันและอาจเป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดความสงบในใจ ส่งเสริมวิจารณญาณและประสบการณ์ให้เพิ่มพูนขึ้น การอ่านยังทำให้บุคคลเป็นผู้มีคุณค่าในสังคมมีประสบการณ์ชีวิตและช่วยยกฐานะสังคมสังคมใดที่มีบุคคลที่มีประสิทธิภาพในการอ่านอยู่มากสังคมนั้นย่อมจะเจริญพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
สาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ได้กำหนดให้ทักษะการอ่านเป็นหนึ่งใน 5 ทักษะ ที่ผู้เรียนต้องรู้ เนื่องจากทักษะการอ่านเป็นทักษะที่มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ ช่วยให้เกิดการใช้เหตุผลด้วยตนเอง
ช่วยแสดงความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ได้มากที่สุดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานได้กำหนดให้ให้ทักษะการอ่านนำไปสู่ความรู้ ความคิด ไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหา สร้างวิสัยทัศน์ การดำเนินชีวิตและการสร้างนิสัยรักการอ่าน (กรมวิชาการ, 2546, หน้า 180-181) กระทรวงศึกษาธิการตระหนักถึงความสำคัญของการอ่าน และประโยชน์ของการอ่านจับใจความสำคัญ ซึ่งกำหนดเรื่องการอ่านไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, หน้า 15)
จะเห็นได้ว่าทักษะการอ่านเป็นทักษะที่สำคัญต่อการเรียนอย่างมาก ไม่เฉพาะแต่ในรายวิชาภาษาไทยเท่านั้น ผู้เรียนจึงจำเป็นต้องมีทักษะการอ่านจับใจความ เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้เรื่องต่างๆ ทำให้เข้าใจเนื้อหามากยิ่งขึ้น ดังที่ เมขลา ลือโสภา (2556, หน้า 109) ได้กล่าวว่า การอ่านจับใจความเป็นทักษะสำคัญ สามารถช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องที่อ่านอย่างถูกต้อง สำหรับผู้เรียนวิชาต่างๆ ทุกสาขา ผู้เรียนจะใช้ทักษะการอ่านจับใจความเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันนี้เทคโนโลยีรุดหน้าไปเรื่อย ๆ มีการวิจัยสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา การอ่านจับใจความจะทำให้ผู้อ่านรู้ข่าวสารทันต่อเหตุการณ์และทันต่อความเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าของโลก ตลอดทั้งทำให้การดำรงชีวิตประจำวันเป็นปกติสุขและมีคุณภาพ กล่าวคือการอ่านจับใจความเป็นพื้นฐานสำคัญมาสำหรับการอ่านระดับสูงต่อไป เช่น ถ้านักเรียนจับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้ คือ ไม่รู้เรื่องก็คงไม่สามารถอ่านเพื่อพิจารณาเรื่องนั้นดีหรือไม่ดีได้เลย ปัจจุบันปัญหาที่พบมากในการจัดการเรียนการสอนคือ ปัญหาการอ่านจับใจความ สาเหตุมาจากนักเรียนอ่านหนังสือแล้ว ไม่สามารถสรุปสาระสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ นักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีนิสัยรักการอ่านหนังสือ ส่วนหนึ่งเกิดจากนักเรียนจำนวนหนึ่งอ่านจับใจความไม่เป็น หรืออ่านแล้วทำให้เกิดความเมื่อยหน่าย ในการอ่านจากปัญหาดังกล่าวทำให้มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความสนใจศึกษาถึง การอ่านจับใจความไว้เป็นจำนวนมาก
จากการที่ผู้สอนได้ปฏิบัติการสอนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบปัญหาการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนสรุปได้ 4 ประการ ดังนี้ คือ ประการแรก นักเรียนไม่มีนิสัยรักการอ่าน ปัญหานี้ครูส่วนมากยอมรับว่าเกิดจากตัวครูเป็นส่วนใหญ่เพราะเด็กไม่ได้รับการฝึกฝน ประการที่สอง นักเรียนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อหนังสือ เบื่อหน่ายการอ่านหนังสือ ไม่อยากอ่านแต่ต้องอ่านเพื่อให้ทำข้อสอบได้ ดังนั้นเมื่อพ้นจากห้องเรียนหรือช่วงปิดภาคเรียน จึงรู้สึกหลุดพ้นจากการอ่านหนังสือไป ประการที่สาม นักเรียนบางส่วนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 อ่านหนังสือไม่คล่อง ซึ่งนักเรียนเองก็ไม่สนใจที่จะฝึกฝนให้อ่านได้ ทั้ง ๆ ที่การอ่านเป็นพื้นฐานสำคัญในการแสวงหาความรู้ และประการสุดท้าย นักเรียนอ่านจับใจความสำคัญไม่ได้ หรือจับใจความสำคัญได้ไม่ถูกต้องจะจับใจความสำคัญได้เพียงเรื่องสั้นๆ ข้อความสั้น ๆ และใช้วิธีลอกข้อความหรือเนื้อเรื่อง ไม่สามารถสรุปเป็นคำพูดของตนเองได้
จากรายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน โรงเรียนบ้านหนองโค้ง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 - 2567 ปรากฏว่า ผลการทดสอบในสาระการอ่านเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 64.66, 69.10 และ 55.56 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับผลการทดสอบระดับประเทศในสาระการอ่านเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 58.47, 63.08 และ 59.32 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสาระการอ่านเป็นสาระที่โรงเรียนควรเร่งพัฒนา เนื่องจากคะแนนเฉลี่ยของ โรงเรียนต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ ทั้งนี้สาเหตุของปัญหาอาจจะมาจากผู้เรียน ผู้สอน และบริบทที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน หรือวิธีการสอน อีกทั้งวิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่ต้องอาศัยความเข้าใจ โดยเฉพาะการเรียนวิชาภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในเนื้อหา เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ มีการศึกษาเกี่ยวกับการการวิเคราะห์ความและสรุปความจากเรื่องที่อ่าน โดยนักเรียนจะได้เรียนรู้การระบุใจความสำคัญและรายละเอียดที่สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน รวมถึงการวิเคราะห์ความหมายของคำและการเขียนกรอบความคิด
จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยตระหนักถึงความสำคัญของการอ่าน และการอ่านจับใจความสำคัญจึงมุ่งจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรให้บรรลุตามตัวชี้วัดและมาตรฐานการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนให้สูงขึ้น ส่งผลให้นักเรียนมีเทคนิคการอ่านในรายวิชาอื่นต่อไป
จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาดังกล่าว ผู้ศึกษาในฐานะครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองโค้ง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ศึกษาค้นคว้าและออกแบบวิธีการสอนแบบ ROPES โมเดล เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ขึ้น เพื่อเป็นแนวทางที่ช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยเน้นการออกแบบการเรียนรู้ใน 5 ขั้นตอนที่สอดคล้องกับหลักการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1) การเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ (R : Review) 2) การสร้างกรอบแนวคิด (O : Overview) 3) ความหลากหลายในการนำเสนอ (P : Presentation) 4) การเน้นการลงมือปฏิบัติ (E : Exercise) 5) การสรุปและย้ำประเด็นสำคัญ (S : Summary)
ซึ่งการสอนแบบ ROPES โมเดลนั้น ได้มีการกระตุ้นและพัฒนาทั้งทักษะการถอดรหัสคำ (Word-Recognition Skills) และ ทักษะความเข้าใจภาษา (Language Comprehension Skills) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเกลียวเชือกการอ่าน (พิพรรธ วงศ์วิวัฒน์, 2567) นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ซึ่ง ROPES โมเดล ไม่ได้เป็นเพียงการถ่ายทอดความรู้ทางเดียว แต่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ ตั้งแต่การทบทวนความรู้เดิม การทำความเข้าใจภาพรวม การมีปฏิสัมพันธ์ในการนำเสนอ ไปจนถึงการลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง
จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาข้างต้น วิธีการสอนแบบ ROPES โมเดล เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง และใช้กระบวนการในการแก้ปัญหา ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้หลายๆ ด้าน ทำให้นักเรียนเกิดทักษะด้านการอ่าน มีความมุ่งมั่นในการทำงานและนำความรู้ ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง และนอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถให้นักเรียนมีคุณภาพตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีพื้นฐานในการเรียนรู้ที่ดี สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการทดสอบเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ในระดับต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและที่สำคัญสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปศึกษาต่อในระดับชั้นที่สูงขึ้นได้อย่างมีคุณภาพต่อไป ผู้ศึกษาในฐานะครูผู้สอน จึงสนใจที่จะใช้วิธีการสอนแบบ ROPES โมเดล เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ
โดยผู้ศึกษาได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือที่นำมาใช้ในการทดลองตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. ออกแบบการจัดการเรียนการสอน โดยการใช้วิธีสอนแบบ ROPES โมเดล เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้
1.1 ศึกษาหลักสูตร เอกสาร ตำรา ขอบข่าย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยศึกษาวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ รวมทั้งคู่มือครู หนังสือเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และวิธีการสร้างกิจกรรมสอนภาษาไทยจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1.2 กำหนดผลการเรียนรู้ โดยให้สอดคล้องกับคำอธิบายรายวิชาและจุดประสงค์การเรียนรู้ในหลักสูตรและเนื้อหา
1.3 ออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ ROPES โมเดล โดยวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านหนองโค้ง กำหนดองค์ประกอบของวิธีสอนแบบ ROPES โมเดล ดังนี้ 1) จุดประสงค์การเรียนรู้ 2) แบบทดสอบก่อนเรียน 3) กิจกรรม 4) ใบกิจกรรม 5) แบบฝึกหัด 6) แบบทดสอบหลังเรียน
1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ที่มีองค์ประกอบตามที่กำหนดไว้
1.5 นำวิธีสอนแบบ ROPES โมเดลเรื่อง อ่านจับใจความ ไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาไทยด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การผลิตสื่อ การใช้สื่อการสอน จำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาประเมินคุณภาพของวิธีสอนแบบแบบ ROPES โมเดล พร้อมทั้งตรวจสอบความถูกต้องตามหลักการสร้าง ความครอบคลุมเนื้อหา ความสอดคล้องระหว่างเนื้อหากับจุดประสงค์
1.6 นำผลคะแนนมาหาค่าเฉลี่ยเทียบกับเกณฑ์ของบุญชม ศรีสะอาด (2545: 103) โดยให้ค่าความเหมาะสมเฉลี่ย 3.50 ขึ้นไป จึงจะถือว่าเป็นวิธีสอนแบบ ROPES โมเดล ที่สมบูรณ์ ผลการประเมินวิธีสอนแบบแบบ ROPES โมเดล เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.07 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ซึ่งถือได้ว่าเป็นวิธีสอนแบบที่สมบูรณ์
1.7 นำวิธีสอนแบบแบบ ROPES โมเดล เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ไปใช้กับประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองโค้ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 64 คน ระหว่างวันที่ 1 – 31 กรกฎาคม 2568
2. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้
2.1 ผู้ศึกษาได้ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เพื่อกำหนดเทคนิค วิธีการและกิจกรรมการเรียนการสอนโดยวิเคราะห์หลักสูตร สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ และศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้
2.2 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ จำนวน 5 แผน ใช้เวลาสอน 10 ชั่วโมง โดยรายละเอียดของแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย 1) มาตรฐานการเรียนรู้ 2) ตัวชี้วัด 3) สาระสำคัญ 4) จุดประสงค์การเรียนรู้ 5) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 6) สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 7) สาระการเรียนรู้ 8) กระบวนการจัดการเรียนรู้ 9) นวัตกรรม สื่อการเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้ 10) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
2.3 นำแผนการจัดการเรียนรู้ ไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาไทย ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 3 ท่าน พิจารณาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของสาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล และสื่อและแหล่งเรียนรู้ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไข
2.4 นำผลคะแนนมาหาค่าเฉลี่ยเทียบกับเกณฑ์ของบุญชม ศรีสะอาด (2545: 103) โดยให้ค่าความเหมาะสมเฉลี่ย 3.50 ขึ้นไป จึงจะถือว่าเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ ผลการประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.59 มี ความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ซึ่งถือได้ว่าเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่สมบูรณ์
2.5 ดำเนินการปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีความเหมาะสมตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ
2.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ ไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกับประชากร คือ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองโค้ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 64 คน ระหว่างวันที่ 1 – 31 กรกฎาคม 2568
3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
3.1 ศึกษาวิธีสร้างข้อสอบจากหนังสือเทคนิคการเขียนข้อสอบของ ชวาล แพรัตนกุล (2538:99-102) หลักการวัดและประเมินผลของ พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545:61–118) และดำเนินการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3.2 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
3.3 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผลการศึกษา จำนวน 3 ท่าน ได้ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม พร้อมทั้งหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence) โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง IOC (Index of Item Objective Congruence) ใช้เกณฑ์การพิจารณาดังนี้ (กาญจนา คุณารักษ์, 2540: 188)
+1 เมื่อแน่ใจว่าข้อคำถาม มีความเหมาะสม
0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อคำถาม มีความเหมาะสม
-1 เมื่อแน่ใจว่าข้อคำถาม ไม่มีความเหมาะสม
พบว่า ข้อสอบผ่านเกณฑ์การพิจารณาจำนวน 25 ข้อ โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.80 ขึ้นไป
3.4 นำแบบทดสอบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 25 ข้อ ไปทดลองใช้ (Try out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองโค้ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 30 คน เพื่อหาความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r)
3.5 ทำการวิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แล้วคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าความยากง่ายและค่าอำนาจจำแนกที่เหมาะสมตามเกณฑ์ คือ ค่าความยากง่าย ตั้งแต่ 0.20 – 0.80 และค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.2 ขึ้นไป จากผลการวิเคราะห์ พบว่า ได้ข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 20 ข้อ โดยมีค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.38 – 0.69 และค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.25 – 0.75
3.6 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผ่านเกณฑ์ทั้ง 20 ข้อไปทดลองสอบ (Try out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองโค้ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 30 คน เพื่อหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์โดยใช้สูตรการคำนวณของ คูเดอร์ ริชาร์คสัน (KR-20) พบว่า ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.50 ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ในระดับปานกลาง (เกียรติสุดา ศรีสุข, 2552: 144)
3.7 จัดพิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฉบับสมบูรณ์ แล้วนำไปใช้ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนกับประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 64 คน ระหว่างวันที่ 1 – 31 กรกฎาคม 2568
4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้วิธีสอนแบบ ROPES โมเดล เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้
4.1 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการวัดผลประเมินผลการศึกษา และเอกสารเกี่ยวกับการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ
4.2 กำหนดลักษณะของแบบสอบถามความพึงพอใจเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ
4.3 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจตามที่กำหนด จำนวน 5 ข้อ โดยกำหนดเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้
1 หมายถึง ความพึงพอใจน้อยที่สุด
2 หมายถึง ความพึงพอใจน้อย
3 หมายถึง ความพึงพอใจปานกลาง
4 หมายถึง ความพึงพอใจมาก
5 หมายถึง ความพึงพอใจมากที่สุด
4.4 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผลการศึกษา จำนวน 5 ท่าน ได้ตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสมของข้อรายการทั้ง 5 ข้อ
4.5 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่ได้ปรับแก้แล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมอีกครั้ง เพื่อพิจารณาความสอดคล้องของข้อคำถาม โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง IOC (Index of Item Objective Congruence) ใช้เกณฑ์การพิจารณาดังนี้ (กาญจนา คุณารักษ์, 2540: 188)
+1 เมื่อแน่ใจว่าข้อคำถาม มีความเหมาะสม
0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อคำถาม มีความเหมาะสม
-1 เมื่อแน่ใจว่าข้อคำถาม ไม่มีความเหมาะสม
4.6 จากการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ข้อคำถามทั้ง 5 ข้อมีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.60 ขึ้นไปทุกข้อคำถาม
4.7 นำแบบสอบถามความพึงพอใจไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2568 โรงเรียนบ้านหนองโค้ง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 30 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้ทดลองหาประสิทธิภาพของวิธีสอน เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ เพื่อวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์อัลฟาของ ครอนบาค (บุญชม ศรีสะอาด, 2545: 86) พบว่า แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.76 ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ในระดับสูง (เกียรติสุดา ศรีสุข, 2552: 144)
4.8 นำแบบสอบถามความพึงพอใจไปใช้กับประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 64 คน ระหว่างวันที่ 1 – 31 กรกฎาคม 2568
การดำเนินการทดลอง
ในการดำเนินการทดลองจัดทำนวัตกรรมทางการศึกษาการใช้วิธีสอนแบบ ROPES โมเดล เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียน เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ที่สร้างขึ้น ผู้ศึกษามีขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้
1. ผู้ศึกษาได้นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ไปทดสอบกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองโค้ง จำนวน 2 ห้องเรียน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 64 คน เก็บคะแนนไว้เป็นคะแนนก่อนเรียน (Pre-test)
2. ดำเนินการทดลองโดยใช้วิธีสอนแบบ ROPES โมเดล เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ และเก็บคะแนนจากใบกิจกรรมและแบบฝึกหัด การปฏิบัติกิจกรรม ผลงานนักเรียน และการประเมินด้านคุณลักษณะ ไว้เป็นคะแนนระหว่างเรียน (E1) โดยมีรายละเอียดการจัดการเรียนการสอน ดังนี้
ขั้นทบทวนเพื่อเชื่อมโยงความรู้เดิม (R : Review)
1. ครูแจก ROPES CHART ให้กับนักเรียนแต่ละคน
2. ครูตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นความรู้และประสบการณ์เดิม
- เวลาเราอ่านหนังสือ หรือดูคลิปวิดีโอ มีอะไรที่เราคิดว่าเป็น ส่วนที่สำคัญที่สุด
- ทำไมเราถึงต้องหา ส่วนที่สำคัญที่สุด ของเรื่องที่เราอ่าน
3. นักเรียนบันทึก ใน ROPES CHART โดยนักเรียนเขียนสิ่งที่ตนเองรู้เกี่ยวกับ การอ่านจับใจความสำคัญ ลงในช่อง (R : Review) ของ ROPES CHART ของตนเอง (เช่น รู้ว่ามันคือประเด็นหลัก, รู้ว่าต้องหาหัวข้อเรื่อง, รู้ว่าต้องอ่านให้เข้าใจ)
4. นักเรียนแลกเปลี่ยนความรู้ (Pair-Share) โดยให้จับคู่และแลกเปลี่ยนสิ่งที่บันทึกในช่อง R กับเพื่อน แล้วครูอาจสุ่มถาม 2-3 คู่ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้เริ่มต้น
ขั้นนำเสนอภาพรวมของเนื้อหา/เป้าหมายการเรียนรู้ (O : Overview)
1. ครูนำเสนอภาพรวมของบทเรียนวันนี้ อาจเป็นแผนภาพความคิดง่าย ๆ เพื่อเป็นแผนที่การเรียนรู้ โดยชี้ให้เห็นว่าวันนี้เราจะเรียนรู้อะไรบ้าง
- ใจความสำคัญคืออะไร และต่างจากพลความอย่างไร
- เทคนิคการหาใจความสำคัญ ฝึกปฏิบัติการหาใจความสำคัญ
2. ครูเชิญชวนให้นักเรียนตั้งคำถามจากภาพรวมที่ครูนำเสนอ หรือจากสิ่งที่ยังสงสัยเกี่ยวกับ การอ่านจับใจความสำคัญ
- จากที่ครูเล่ามา มีอะไรที่นักเรียนอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการอ่านจับใจความสำคัญ
- นักเรียนอยากรู้วิธีการหาใจความสำคัญแบบไหน
3. นักเรียนเขียนสิ่งที่ตนเอง อยากรู้ หรือ ต้องการรู้ ลงในช่อง (O : Overview) ของ ROPES CHART ของตนเอง เช่น
- อยากรู้วิธีหาใจความสำคัญในประโยคยาว ๆ
- อยากรู้ว่ามันอยู่ตรงไหนของเรื่อง
4. ครูย้ำว่าเป้าหมายของวันนี้คือการหาคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ร่วมกัน
ขั้นนำเสนอเนื้อหาใหม่โดยเชื่อมโยงกับสิ่งที่รู้และสิ่งที่ต้องการรู้ (P : Presentation)
1. ครูอธิบายและยกตัวอย่าง ใจความสำคัญ (Main Idea) ว่าคือแก่นเรื่อง หัวใจของเรื่องที่ขาดไม่ได้ เปรียบเทียบกับ พลความ (Supporting Details) คือรายละเอียดปลีกย่อยที่มาเสริมใจความสำคัญ
2. ใช้ตัวอย่างบทอ่านสั้น ๆ ง่าย ๆ สาธิตการแยกใจความสำคัญออกจากพลความ
3. อธิบายคำศัพท์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน เช่น ใจความหลัก, สาระสำคัญ
4. ครูนำเสนอเทคนิคการหาใจความสำคัญ พร้อมสาธิตไปทีละขั้นตอน โดยใช้บทอ่านตัวอย่าง 1 บทอ่าน (ใหม่)
(1) อ่านคร่าว ๆ ก่อน เพื่อจับใจความรวม (Skimming)
(2) อ่านละเอียด จับประเด็นสำคัญในแต่ละย่อหน้า (Scanning)
(3) สังเกตตำแหน่ง ใจความสำคัญมักอยู่ต้น กลาง หรือท้ายย่อหน้า
(4) หา ใคร-ทำอะไร-ที่ไหน-เมื่อไหร่-ทำไม-อย่างไร (5W1H) คำถามเหล่านี้จะนำไปสู่ใจความสำคัญ
(5) ตัดส่วนขยายที่ไม่จำเป็นออก เน้นประโยคหรือวลีหลัก
5. หากมีคำศัพท์ยากหรือคำที่อ่านออกเสียงยากในบทอ่านตัวอย่าง ครูชวนนักเรียนสะกดหรือออกเสียงคำนั้น ๆ เพื่อเสริม ทักษะการถอดรหัสคำ หรือ การจดจำคำได้ทันที
6. ครู อธิบายคร่าว ๆ ว่าบทอ่านแต่ละประเภทจะมีใจความสำคัญอยู่ส่วนใด จากนั้นนักเรียนเขียนสิ่งที่ตนเอง ได้จากการเชื่อมโยงกับสิ่งที่รู้และสิ่งที่ต้องการรู้ลงในช่อง (P : Presentation) ของ ROPES CHART ของตนเอง
ขั้นฝึกปฏิบัติเพื่อพัฒนาทักษะและหาคำตอบ (E : Exercise)
1. ครูแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 3-4 คน
2. จากนั้นครูแจกบทอ่าน (ใหม่) (ความยาว 1-2 ย่อหน้า) ที่มีระดับความยากเหมาะสม (อาจเตรียม 2-3 บทอ่านที่แตกต่างกัน เพื่อให้แต่ละกลุ่มได้อ่าน)
3. ครูให้สมาชิกในกลุ่มผลัดกันอ่านบทอ่านทีละย่อหน้า (เน้น การถอดรหัสคำ และ ความคล่องแคล่วในการอ่าน) หากเจอคำยากที่ไม่เข้าใจ ให้ช่วยกันหาความหมายหรือสอบถามครู
4. นักเรียนใช้ปากกาเน้นข้อความเน้นคำตอบสำหรับ 5W1H ในบทอ่าน
5. ครูและนักเรียนร่วมกันระบุและเขียนใจความสำคัญของบทอ่านด้วยภาษาของกลุ่มตนเอง และเขียน รายละเอียดสำคัญ 3-5 ข้อ ที่สนับสนุนใจความนั้น
6. นักเรียนเตรียมนำเสนอใจความสำคัญและรายละเอียดสำคัญให้เพื่อนกลุ่มอื่นฟัง
7. ครูสังเกตุการทำงานของแต่ละกลุ่ม ให้คำแนะนำ แก้ไขข้อสงสัย และกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้เทคนิคที่สอนไป
8. นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกตัวแทนออกมานำเสนอใจความสำคัญและรายละเอียดสำคัญของบทอ่านที่ได้อ่าน กลุ่มอื่น ๆ สามารถซักถามหรือให้ข้อเสนอแนะได้ ครูสรุปและให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับแต่ละกลุ่ม
9. จากนั้นนักเรียนเขียนสิ่งที่ตนเอง ได้จากการฝึกปฏิบัติจริงเพื่อพัฒนาทักษะ และหาคำตอบสำหรับสิ่งที่ ต้องการรู้ ลงในช่อง (E : Exercise) ของ ROPES CHART ของตนเอง
ขั้นสรุปและจัดระเบียบความรู้ (S : Summary)
1. ครูสนทนาร่วมกับนักเรียนเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เรียนรู้
- วันนี้เราเรียนอะไรกันไปบ้าง
- เราได้เทคนิคอะไรใหม่ ๆ ในการอ่านจับใจความสำคัญบ้าง
2. นักเรียนเขียนสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้ลงในช่อง (S : Summary) ให้มากที่สุด
3. ครูขอตัวแทนนักเรียนอ่านสิ่งที่เขียนในช่อง S ให้เพื่อนฟัง เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้
4. ครูให้นักเรียนทบทวนคำถามในช่อง O ของตนเองว่า วันนี้เราได้คำตอบสำหรับคำถามที่เราอยากรู้ครบถ้วนหรือไม่
5. ครูสรุปประเด็นหลักและเทคนิคสำคัญของการอ่านจับใจความสำคัญอีกครั้ง เน้นย้ำประโยชน์ของการมีทักษะนี้ในการเรียนรู้และชีวิตประจำวัน
6. ครูให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในการฝึกฝนทักษะการอ่านจับใจความสำคัญในชีวิตประจำวัน เช่น อ่านข่าว, อ่านหนังสือเรียน, อ่านเรื่องสั้น แล้วลองสรุปด้วยตัวเอง
3. เมื่อดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว ผู้ศึกษาได้นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ซึ่งเป็นแบบทดสอบฉบับเดียวกับแบบทดสอบก่อนเรียน โดยการสลับข้อคำถามไปทดสอบกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองโค้ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 64 คน โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบลงในกระดาษคำตอบตามเวลาที่กำหนด เก็บคะแนนไว้เป็นคะแนนหลังเรียน (Post-test)
4. ให้นักเรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อวิธีสอนแบบ ROPES โมเดล เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
5. ผู้ศึกษานำผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบสอบถามความพึงพอใจ ของนักเรียนมาตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนด แล้วนำไปวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ
การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้ศึกษานำข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมมาทำการวิเคราะห์ ดังนี้
1. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการใช้วิธีสอนแบบ ROPES โมเดล เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เพื่อหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ด้วยสูตร E1/ E2
80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม การประเมินด้านคุณลักษณะ คิดเป็น ร้อยละ 80 (E1)
80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนที่ได้จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 80 (E2)
2. วิเคราะห์คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจากที่ได้เรียนด้วยการใช้วิธีสอนแบบ ROPES โมเดล เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการหาความก้าวหน้าผลต่างของคะแนนก่อนเรียนกับหลังเรียนของนักเรียนแต่ละคนและดัชนีประสิทธิผล โดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความถี่และร้อยละ
3. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้วิธีสอนแบบ ROPES โมเดล เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้ค่าพิสัย ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545: 103)
4.51 - 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด
3.51 - 4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก
2.51 - 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง
1.51 - 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย
1.00 - 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. หาประสิทธิภาพของการใช้วิธีสอนแบบ ROPES โมเดล เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้ สูตร (กัลยา วาณิชยบัญชา, 2552)
E1 = × 100
เมื่อ E1 = ประสิทธิภาพของกระบวนการ
ΣX = คะแนนรวม
A = คะแนนเต็ม
N = จำนวนนักเรียน
E2 = × 100
เมื่อ E2 = ประสิทธิภาพของผลลัพธ์
ΣF = คะแนนรวมแบบทดสอบหลังเรียน
B = คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน
N = จำนวนนักเรียน
2. หาค่าความเที่ยงตรงตามเนื้อหาของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยใช้สูตร (วิไรพร วรจิตตานนท์ , 2544 : 15)
IOC =
เมื่อ IOC = ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์
(Index of item – objective congruence)
ΣR = ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ
N = จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
3. หาค่าความยากง่ายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้สูตร (เกียรติสุดา ศรีสุข, 2552: 155)
ความยากง่าย (p) =
ค่าอำนาจจำแนก (r) =
เมื่อ p = ค่าความยากง่าย
r = ค่าอำนาจจำแนก
= จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มสูง
= จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มต่ำ
n = จำนวนนักเรียนทั้งหมดในกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ
เกณฑ์การแปลความหมายค่าความยากง่าย (พิสณุ ฟองศรี, 2553: 169)
0.80-1.00 หมายถึง ง่ายมาก ต้องปรับปรุง
0.60-0.79 หมายถึง ค่อนข้างง่าย
0.40-0.59 หมายถึง ปานกลาง
0.20-0.39 หมายถึง ค่อนข้างยาก
0.00-0.19 หมายถึง ยากมาก ต้องปรับปรุง
เกณฑ์การแปลความหมายค่าอำนาจจำแนก (พิสณุ ฟองศรี, 2553: 171)
0.60-1.00 หมายถึง ดีมาก
0.40-0.59 หมายถึง ดี
0.20-0.39 หมายถึง พอใช้
0.10-0.19 หมายถึง ต่ำ ต้องปรับปรุง
-1.00-0.01 หมายถึง ติดลบ ต้องปรับปรุง
4. วิเคราะห์หาความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการใช้วิธีสอนแบบ ROPES โมเดล โดยวิธีคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson,KR-20) โดยใช้สูตร ดังนี้ (เกียรติสุดา ศรีสุข, 2552: 149)
rtt =
เมื่อ rtt = ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
p = สัดส่วนของผู้ที่ตอบถูก
q = สัดส่วนของผู้ที่ตอบผิด (1- p)
= ความแปรปรวนของคะแนนรวมทั้งฉบับ
k = จำนวนแบบทดสอบ
หาค่าความแปรปรวน โดยใช้สูตร ดังนี้ (เกียรติสุดา ศรีสุข, 2552: 147)
=
เมื่อ = ความแปรปรวน
X = คะแนนการทดสอบของแต่ละคน
ΣX = ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
= ผลรวมกำลังสองของคะแนนแต่ละตัว
= ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกำลังสอง
N = จำนวนนักเรียน
เกณฑ์การแปลความหมายค่าความเชื่อมั่น (เกียรติสุดา ศรีสุข, 2552 : 144)
0.71-1.00 หมายถึง มีความเชื่อมั่นสูง
0.41-0.70 หมายถึง มีความเชื่อมั่นปานกลาง
0.21-0.40 หมายถึง มีความเชื่อมั่นต่ำ
0.00-0.20 หมายถึง มีความเชื่อมั่นต่ำมาก
5. หาค่าความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้วิธีสอนแบบ ROPES โมเดล เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ จากแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยนำข้อมูลจากแบบสอบถามมาหาค่าเฉลี่ยและ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดังนี้
5.1 หาค่าเฉลี่ย โดยใช้สูตร (วิไรพร วรจิตตานนท์, 2544: 84)
µ =
เมื่อ µ X = ค่าเฉลี่ย
ΣX = ผลรวมของคะแนนทุกตัวในกลุ่ม
N = จำนวนสมาชิกในกลุ่ม
5.2 หาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) โดยใช้สูตร (วิไรพร วรจิตตานนท์, 2544: 87)
=
เมื่อ = ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน
X = คะแนนแต่ละจำนวน
µ X = ค่าเฉลี่ยของคะแนนประชากร
= ผลรวมของค่าเบี่ยงเบนของคะแนนแต่ละตัวจากค่าเฉลี่ย
N = จำนวนนักเรียนทั้งหมด
5.3 หาความเชื่อมั่นของแบบประเมินความพึงพอใจด้วยวิธีการหาความคงที่ภายในจากสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่า ( - Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) โดยใช้สูตร (เกียรติสุดา ศรีสุข, 2552: 152)
เมื่อ = ค่าความเชื่อมั่น
k = จำนวนข้อ
= ความแปรปรวนแต่ละข้อ
= ผลรวมของคะแนนความแปรปรวนของแต่ละข้อ
= ความแปรปรวนของคะแนนรวม
เกณฑ์การแปลความหมายค่าความเชื่อมั่น (เกียรติสุดา ศรีสุข, 2552: 144)
0.71-1.00 หมายถึง มีความเชื่อมั่นสูง
0.41-0.70 หมายถึง มีความเชื่อมั่นปานกลาง
0.21-0.40 หมายถึง มีความเชื่อมั่นต่ำ
0.00-0.20 หมายถึง มีความเชื่อมั่นต่ำมาก
6. ดัชนีประสิทธิผล เป็นค่าที่บอกความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ก่อนใช้นวัตกรรม และหลังใช้นวัตกรรมซึ่งจะทำให้ทราบพัฒนาการเรียนรู้ที่เกิดจากการใช้นวัตกรรมโดยใช้สูตร ดังนี้ (สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่, 2551 : 141)
E.I. =
เมื่อ E.I. = ดัชนีประสิทธิผลของนวัตกรรม
= คะแนนเฉลี่ยของคะแนนสอบหลังการใช้นวัตกรรม
= คะแนนเฉลี่ยของคะแนนสอบก่อนการใช้นวัตกรรม
T = คะแนนเต็มของแบบทดสอบทั้งฉบับ
ทั้งนี้ค่า E.I. ควรมีค่าตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป
การสรุปผลและการเขียนรายงาน
1. ครูนำผลการจัดกิจกรรมของผู้เรียนมาวิเคราะห์ปัจจัยที่เอื้อให้ประสบผลสำเร็จ ปัญหา อุปสรรค จุดที่ควรพัฒนา ข้อเสนอแนะพร้อมทั้งเขียนรายงานผลการจัดกิจกรรม
2. เผยแพร่วิธีการเรียนการสอน เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ให้กับเพื่อนครูในโรงเรียนและต่างโรงเรียนตามช่องทางต่างๆ
ลงชื่อ ..........อาณัติ กันทะพิงค์..........
(นายอาณัติ กันทะพิงค์)
ตำแหน่งครูชำนาญการ
ผู้จัดทำข้อตกลงในการพัฒนางาน
1 กันยายน พ.ศ. 2567