ชื่อ-นามสกุล นายอาณัติ กันทะพิงค์
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ชำนาญการ ตำแหน่งเลขที่ 5089
สถานศึกษา โรงเรียนบ้านหนองโค้ง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 1
ห้องเรียนที่จัดการเรียนรู้ ห้องเรียนวิชาสามัญหรือวิชาพื้นฐาน
ข้าพเจ้าขอแสดงเจตจำนงในการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ
ซึ่งเป็นตำแหน่งและวิทยฐานะที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันกับผู้อำนวยการสถานศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 23 ชั่วโมง/สัปดาห์ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
รายวิชา ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 จำนวน 20 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
รายวิชา แนะแนว ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ลูกเสือ-เนตรนารี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ชุมนุมบรรณารักษ์น้อย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 7 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่พัสดุ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่งานบรรณรักษ์ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้น จำนวน 2.5 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมจิตศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมผู้เรียนทุกเช้าตลอดสัปดาห์ จำนวน 2.5 ชั่วโมง/สัปดาห์
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 23 ชั่วโมง/สัปดาห์ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
รายวิชา ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 จำนวน 20 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
รายวิชา แนะแนว ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ลูกเสือ-เนตรนารี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ชุมนุมบรรณารักษ์น้อย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 7 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่พัสดุ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่งานบรรณรักษ์ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้น จำนวน 2.5 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมจิตศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมผู้เรียนทุกเช้าตลอดสัปดาห์ จำนวน 2.5 ชั่วโมง/สัปดาห์
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 23 ชั่วโมง/สัปดาห์ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
รายวิชา ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 จำนวน 20 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
รายวิชา แนะแนว ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ลูกเสือ-เนตรนารี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา ชุมนุมวิทย์พลังสิบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชา การศึกษาเพื่อการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 1 คาบ/สัปดาห์
รายวิชา ต้านทุจริต ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 1 คาบ/สัปดาห์
รายวิชา วิชาชีพพื้นฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 1 คาบ /สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 7 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่พัสดุ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่งานบรรณรักษ์ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้น จำนวน 2.5 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมจิตศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมผู้เรียนทุกเช้าตลอดสัปดาห์ จำนวน 2.5 ชั่วโมง/สัปดาห์
ประเด็นที่ท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนของผู้จัดทำข้อตกลง ซึ่งปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ต้องแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะครูชำนาญการ คือ แก้ไขปัญหา การจัดการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือมีการพัฒนามากขึ้น (ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายอาจจะแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังในวิทยฐานะที่สูงกว่าได้)
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
ภาษาไทยถือว่ามีความสำคัญในยุคแห่งความเจริญก้าวหน้าเพราะทุกคนต้องใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือสื่อสารในชีวิตประจำวันและเรียนรู้วิชาต่าง ๆ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันมีวิทยาการใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาทำให้คนเราได้รับข้อมูลข่าวสารทางเทคโนโลยีสารสนเทศตลอดเวลาคนไทยในสังคมจึงต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ด้วยการศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัยการใช้ภาษาไทยเพื่อการอ่านทำความเข้าใจและสื่อความกันได้ถูกต้องการอ่านจึงเป็นทักษะที่สำคัญในชีวิตประจำวัน ดังพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ความว่า การศึกษาและการอ่านออกเขียนได้นี้เป็นประโยชน์มาก การอ่านออกเขียนได้จะช่วยให้มีโอกาสเรียนรู้วิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างมากมายและความรู้ความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ สามารถนำมาใช้ในทางสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ที่ต้องการได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ภาษายังเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด รวมทั้งคุณธรรมความดีทุกอย่าง (กรมวิชาการ, 2541: 73)
จากพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จะเห็นได้ว่า ภาษาเป็นปัจจัยพื้นฐานในการสร้างองค์ความรู้ ผู้ที่อ่านออกเขียนได้จะสามารถเข้าใจและเรียนรู้ สิ่งต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เป็นอย่างดี คนไทยทุกคนต้องตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยต้องมีความเข้าใจและศึกษาหลักเกณฑ์ทางภาษาและฝึกฝนให้มีทักษะในการฟัง พูด อ่าน และเขียน ในการใช้ภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพ สามารถนำไปใช้ในการสื่อสารการเรียนรู้เป็นการเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน เป็นการสร้างเอกภาพของชาติและความจรรโลงใจ เพื่อเกิดประโยชน์แก่ตนเอง ชุมชน สังคม และประเทศชาติ
ทักษะทั้งการอ่านและการเขียนเป็นสาระที่สำคัญอย่างไรก็ตามถ้าอ่านหนังสือไม่ออก ก็จะเขียนหนังสือไม่ได้ ดังนั้น การอ่านจึงจัดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการเรียนรู้ ครูควรปลูกฝังให้ผู้เรียนมีทักษะในการอ่าน โดยเฉพาะความสามารถในการอ่านจับใจความของเรื่องได้อย่างถูกต้อง ดังที่ ศรีวิไล พลมณี (2545: 122) กล่าวไว้ว่า การอ่านเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะการอ่านจับใจความ เพราะผู้ที่อ่านจับใจความของเรื่องที่อ่านได้มาก ย่อมมีโอกาสรับรู้เรื่องราวได้ดีกว่าผู้ที่ไม่สามารถ จับใจความของเรื่องที่อ่านได้
ด้วยความสำคัญของการอ่านหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย จึงได้กำหนดสาระที่ 1 ให้เป็นสาระ การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 คือ ผู้เรียนสามารถใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหาใน การดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน โดยหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานได้กำหนด ตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ว่า นักเรียนสามารถแยกข้อเท็จจริงข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต อ่านจับใจความ จากสื่อต่าง ๆ เช่น วรรณคดีในบทเรียน บทความ บทโฆษณา งานเขียนประเภทโน้มน้าวใจ ข่าว และเหตุการณ์ประจำวัน และอ่านหนังสือตามความสนใจ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 15)
ถึงแม้การอ่านจะเป็นสาระสำคัญที่มีการกำหนดไว้ในทุกระดับชั้น แต่จากประสบการณ์การสอนของผู้วิจัยที่ผ่านมา พบว่าผู้เรียนจำนวนมากยังขาดทักษะการอ่านจับใจความของเรื่อง ไม่สามารถจับประเด็นหรือลำดับเหตุการณ์ของเรื่องได้ถูกต้อง มีการคิดอย่างไม่เป็นระบบ ไม่สามารถถ่ายทอดใจความจากการอ่านของตนเองให้ผู้อื่น เข้าใจได้อย่างชัดเจนไม่มีความมั่นใจในการตอบคำถามหรือแสดงความคิดเห็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นอกจากนี้ยังพบว่านักเรียนมีปัญหาด้านทักษะการอ่าน คือ นักเรียนไม่มีนิสัยรักการอ่าน เป็นเพราะขาดการได้รับการฝึกฝนจากครูผู้สอน นักเรียนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อหนังสือเบื่อหน่ายการอ่านหนังสือสอบ บางครั้งเด็กไม่ได้อ่านหนังสือเพราะอยากอ่าน แต่อ่านเพื่อต้องการทำข้อสอบได้ หรือครูบังคับให้อ่าน แต่ก็สามารถทำได้ในเฉพาะโรงเรียนเท่านั้น เมื่อพ้นจากห้องเรียนไปหรือช่วงปิดภาคเรียน เด็กก็ขาดความใส่ใจในการอ่านหนังสือ ทำให้เด็กอ่านหนังสือไม่ออก หรืออ่านออกแต่ไม่คล่อง ซึ่งตัวนักเรียนเองก็ไม่สนใจที่จะฝึกฝนให้อ่านได้ทั้งๆที่การอ่านเป็นพื้นฐานสำคัญในการแสวงหา ความรู้ โดยเฉพาะทักษะการอ่านจับใจความจากเรื่องที่อ่าน อ่านแล้วไม่สามารถจะจับใจความได้ แม้แต่เรื่องสั้น ๆ หรือข้อความสั้น ๆ เด็กจะใช้วิธีการลอกข้อความหรือเนื้อเรื่อง ไม่สามารถสรุปเป็นคำพูดของตนเองได้ เช่น ไม่สามารถลำดับเหตุการณ์ของเรื่องได้ แยกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นในเรื่องที่อ่านไม่ได้ ด้วยปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดส่งผลให้การเรียนการสอนอ่านจับใจความยังไม่ ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
จากปัญหาดังกล่าวสามารถสรุปได้ว่า การอ่านไม่ใช่เพียงแค่นักเรียนไม่มีนิสัยรักการอ่านเท่านั้น เพราะถ้าเรามองให้ลึกลงไปในขั้นการสอนจะพบปัญหาว่า นักเรียนส่วนมากประสบปัญหาในการอ่านจับใจความเนื่องจากอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจ ไม่สามารถสรุปหรือจับใจความของเรื่องที่อ่านได้ ซึ่งนอกจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักเรียนแล้ว ด้านครูผู้สอนก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหา ซึ่ง สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2537: 8) กล่าวถึงปัญหาเกี่ยวกับตัวครูผู้สอน ว่าครูไม่เข้าใจวิธีการสอนอ่านอย่างแท้จริง ส่วนมากจะกำหนดวัตถุประสงค์ให้นักเรียนอ่านเรื่อง โดยไม่มีวัตถุประสงค์อื่น เพื่อให้นักเรียนบรรลุวัตถุประสงค์ของการอ่านในลักษณะต่าง ๆ เพราะ ครูภาษาไทยมีความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับการสอนอ่านไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นจิตวิทยาการอ่าน หรือ วิธีการสอนอ่านตามจุดมุ่งหมายเฉพาะ ทั้งนี้การจัดการเรียนรู้มีอยู่หลายวิธี ที่น่าสนใจ เช่น การ สอนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) การสอนแบบสอบสวนสืบสวน (Inquiry Learning) การสอนแบบบูรณาการ (Integrated Learning) การสอนวิธีวิทยาศาสตร์ (Scientific Learning) (กระทรวงศึกษาธิการ, 2543: 138) โดยเฉพาะการใช้กระบวนการกลุ่มที่แยกออกไปได้อีกหลาย เทคนิค เช่น กระบวนการเรียนการสอนเทคนิคจิ๊กซอร์ (Jigsaw) แบบกลุ่มสัมฤทธิ์ STAD (Student Teams – Achievement Division) แบบกลุ่มช่วยสอนเป็นรายบุคคล TAI (Team-Assisted Individualization) และแบบกลุ่มแข่งขัน TGT (Team Games Tournament) เป็นต้น (ทิศนา แขมมณี, 2548: 266-268)
โดยเฉพาะการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) มีความสำคัญใน ศตวรรษที่ 21 เพราะเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาทั้งองค์ความรู้ ทัศนคติ ทักษะและพฤติกรรมของผู้เรียนได้สูงสุด เนื่องจากเป็นการเรียนรู้ที่ดึงประสบการณ์ ศักยภาพของผู้เรียน ออกมาใช้อย่างเต็มที่ การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือที่ พัฒนาขึ้นโดย Ogle ( Donna Ogle, 1986 , อ้างถึงในวัชรา เล่าเรียนดี, 2552 : 122 ) ถือว่าเป็น เทคนิคการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งที่เสริมสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนเป็นอย่างดี ทำให้ผู้เรียน เกิดความเข้าใจในการเรียนที่คงทนมากกว่าการเรียนการสอนแบบปกติที่มีผู้สอนเป็นผู้นำในชั้น เรียนรวมทั้งเป็นการเสริมสร้างการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมที่ใช้ได้ผลดี สามารถใช้ได้ทั้งผู้เรียน รายบุคคลหรือผู้เรียนเป็นกลุ่ม วัชรา เล่าเรียน
ดี (2545: 92-94) ได้กล่าวว่า เทคนิค KWL สามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาทักษะในการอ่านได้ทุกระดับ เป็นวิธีสอนหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการสอนอ่านจับใจความได้ดี ซึ่งเป็นวิธีที่มุ่งเน้นให้นักเรียนมีวิธีการอ่านที่เป็นระบบ อ่านอย่าง รอบคอบ รู้จักบูรณาการทักษะ ซึ่งเป็นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและสอดคล้องกับทักษะการอ่านอย่างรู้ตัวว่า ตนคิดอะไร มีวิธีคิดอย่างไร สามารถตรวจสอบความคิดของตนเองได้โดย ผู้เรียนจะได้รับการฝึกให้ตระหนักในกระบวนการทำความเข้าใจตนเอง มีการจัดระบบข้อมูล เพื่อดึงมาใช้ภายหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ, 2545: 8) การนำเทคนิค KWL มาใช้พัฒนาทักษะการอ่านและทักษะการคิดทำได้ง่าย เนื่องจากมีกรอบและ แนวทางฝึกให้คิดเป็นลำดับขั้นตอน K (what we Know) นักเรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่าน W (what we Want to know) นักเรียนต้องการรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่าน และ L (what re have Learned) นักเรียนได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเรื่องที่อ่าน และจากงานวิจัยของ ฐิติกมณฑ์ จันทโกศล (2551: 6) ได้ทำวิจัยเรื่องการพัฒนาการอ่านจับใจความด้วยเทคนิค KWL สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านจับใจความด้วยเทคนิค KWL มี ผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่ง สอดคล้องกับ สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์ (2544: 75) ที่กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบ KWL เป็น กระบวนการเรียนที่เน้นให้ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการอ่านที่สอดคล้องกับทักษะการคิดอย่างรู้ ตนเองว่าตนคิดอะไร มีวิธีคิดอย่างไร สามารถตรวจสอบความคิดของตนเองได้ โดยผู้เรียนจะได้รับ การฝึกให้ตระหนักในกระบวนการการทำความเข้าใจตนเอง มีการจัดระบบข้อมูลเพื่อการดึงมาใช้ ภายหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในการศึกษางานวิจัยหลายเล่ม ครูผู้สอนพบว่า การจัดการเรียนรู้เทคนิค KWL สามารถพัฒนาการอ่านจับใจความได้ดี ซึ่งสอดคล้องกับ จิราภรณ์ บุญณรงค์ (2554: 53) ที่พบว่าผลสัมฤทธิ์ ด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนด้วยเทคนิค KWL กับ วิธีสอนแบบปกติแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยผลสัมฤทธิ์ทางการอ่าน จับใจความที่ได้รับการสอนด้วยเทคนิค KWL สูงกว่าวิธีสอนแบบปกติ ทั้งนี้เนื่องมาจากวิธีการสอน ด้วยเทคนิค KWL มีขั้นตอนในการทำกิจกรรมที่ชัดเจน อาจกล่าวได้ว่า เทคนิค KWL สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในการเรียนรู้ จับใจความจากเรื่องที่อ่านได้ถูกต้อง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และสามารถนำไปปรับใช้ใน การแสวงหาความรู้ในเรื่องอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครูผู้สอนจึงสนใจที่จะนำเทคนิค KWL มาใช้ ในการสอนอ่านจับใจความครั้งนี้ นอกจากเทคนิควิธีสอน KWL แล้ว การจัดการเรียนการสอนควรมีการฝึกฝนซ้ำ ๆ แบบฝึกจึงเป็นสื่อที่มีความสำคัญและสามารถนำแบบฝึก มาใช้ร่วมกับวิธีการสอนเพื่อพัฒนาทักษะ ในการเรียนเรื่องการอ่านจับใจความจนเกิดความชำนาญ ซึ่งสอดคล้องกับ นงเยาว์ ประโมนะกัง (2546: 6) ที่ได้แสดงความคิดเห็นว่า สิ่งที่จะช่วยให้พัฒนาการทางภาษาดีขึ้นนั้น คือ การนำความรู้ที่ได้เรียนมาแล้ว มาฝึกให้เกิดความเข้าใจกว้างขวางมากขึ้นโดยอาศัยแบบฝึกเสริมทักษะโดยตรงซึ่งหัวใจหลักของการสอนวิชาทักษะทางภาษาอยู่ที่การฝึก การฝึกอย่างถูกวิธีเท่านั้นที่จะทำให้เกิด ความชำนาญ คล่องแคล่ว ว่องไว ทักษะทางภาษา จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องฝึกให้แก่เด็ก รวมถึง วันเพ็ญ คุณพิริยะทวี (2548: 61) ได้กล่าวว่า แบบฝึกเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาทักษะการ เรียนรู้วิชาภาษาไทยของผู้เรียน เพราะการที่ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดมาก ๆ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้นำ ความรู้ที่เรียนมาแล้วฝึกให้เกิดความรู้ ความเข้าใจที่กว้างขวางและเกิดความชำนาญมากขึ้น
ครูผู้สอนได้ศึกษาแนวคิดและงานวิจัยเกี่ยวกับการสร้างและพัฒนาทักษะภาษาไทยโดยใช้ แบบฝึกแล้วพบว่า การที่ครูใช้แบบฝึกร่วมกับการเรียนการสอนภาษาไทยนั้น จะสามารถพัฒนา ทักษะทางภาษาของผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนได้ดียิ่งขึ้น และส่งผลให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น เช่น รัตนาภรณ์ คล่องแคล่ว (2548: 8) ได้วิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แบบฝึก ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังใช้แบบฝึกสูงขึ้นกว่าก่อนใช้แบบฝึก และนักเรียนมี ความคิดเห็นว่าแบบฝึกทำให้นักเรียนเข้าใจวิธีการอ่านจับใจความ และสามารถอ่านจับใจความได้ ดีขึ้น และรังสิมา สุริยารังสรรค์ (2555: 79) ได้วิจัยเรื่องการพัฒนาแบบฝึกการอ่านจับใจความของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า ผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความโดยใช้ข้อมูลท้องถิ่นของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการใช้แบบฝึกสูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึก อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความคิดเห็นต่อแบบฝึกการอ่านจับใจความอยู่ใน
ระดับมากที่สุด จากผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทย ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าแบบฝึกที่สร้างขึ้น สามารถใช้พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนได้ โดยนักเรียนที่เรียนด้วยการใช้แบบฝึกมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะทำการวิจัย เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความด้วยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับ การใช้แบบฝึก สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองโค้ง เพื่อให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านจับใจความที่สูงขึ้น
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ
การศึกษาครั้งนี้ครูผู้สอนได้ดำเนินการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือทั้ง 4 ชนิด โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ทั้งนี้จะแสดงรายละเอียดของการดำเนินการสร้าง เครื่องมือแต่ละชนิดนั้นไปโดยลำดับ ดังนี้
1. แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการอ่านจับใจความ ด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึก จำนวน 5 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง ใช้เวลาสอน 10 ชั่วโมง มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน รวมทั้งหมด 12 ชั่วโมง ดังนี้
1.1 ศึกษารายละเอียดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านหนองโค้ง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สาระที่ 1 การอ่าน รวมถึงศึกษาเอกสารประกอบการใช้หลักสูตรเพื่อศึกษาจุดมุ่งหมายของหลักสูตร เนื้อหาและ จุดประสงค์การเรียนรู้ภาษาไทย
1.2 ศึกษาเอกสาร ตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ และการจัดการเรียนด้วยเทคนิค KWL
1.3 ศึกษาและคัดเลือกบท อ่านให้ตรงกับตัวชี้วัด ของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5
1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย หัวข้อการอ่านจับ ใจความด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึก ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วยขั้นตอน การจัดการเรียนรู้ดังนี้
1.4.1 การเตรียมความพร้อมและให้ความรู้พื้นฐานด้านการอ่านจับใจความ และการเรียนรู้ตามขั้นตอนของเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึกได้แก่
1.4.1.1 ชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้
1.4.1.2 ชี้แจงกิจกรรมการเรียนรู้และการบันทึกข้อมูลในตาราง KWL
1.4.2 การจัดกิจกรรมฝึกความสามารถด้านการอ่านมีขั้นตอน ดังนี้
1.4.2.1 นำเข้าสู่บทเรียน ครูจัดกิจกรรมกระตุ้นความสนใจของ นักเรียนเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่บทเรื่องที่จะอ่าน โดยให้ดูภาพที่สัมพันธ์กับเรื่องที่อ่าน แกมทาง การศึกษา การใช้คำถาม พร้อมทั้งอธิบายการดำเนินกิจกรรม
1.4.2.2 จัดกิจกรรมการอ่านจับใจความ ด้วยเทคนิควิธีสอน KWL ร่วมกับแบบฝึกมี 5 กิจกรรม ดังนี้
กิจกรรมที่ 1 ก่อนการอ่าน เรียกว่า ขั้น K (what we Know) คือ นักเรียนมีความรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน โดยครูกระตุ้นหรือถามให้นักเรียนระดมสมองถึง สิ่งที่นักเรียนรู้แล้วนำข้อมูลที่ได้มาจำแนก และบันทึกไว้ในตารางช่อง K
กิจกรรมที่ 2 ระหว่างการอ่าน เรียกว่า ขั้น W (what we Want to find out) คือ นักเรียนต้องการรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน โดยให้นักเรียนกำหนดคำถามร่วมกับครูเช่น ผู้เขียนมีจุดมุ่งหมายอย่างไรบ้าง ในเรื่องนี้กล่าวถึงใครบ้าง เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างไร นักเรียนได้ข้อคิดอะไรจากการอ่านเรื่องนี้ เป็นต้น แล้วบันทึกคำถามลงในตารางช่อง W
กิจกรรมที่ 3 หลังการอ่าน เรียกว่า ขั้น L (what we have Learned) คือ นักเรียนได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเรื่องที่อ่าน โดยภายหลังจากการอ่านเรื่องนักเรียนเลือก ข้อมูลที่ได้จากการอ่านมาตอบคำถามที่กำหนดไว้ในช่อง W แล้วน าข้อมูลมาเปรียบเทียบระหว่าง ข้อมูลเดิมที่ตนเองมีอยู่กับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ ตลอดจนจัดลำดับข้อมูล แล้วบันทึกลงในช่อง L
กิจกรรมที่ 4 การฝึก ให้นักเรียนทำแบบฝึกการอ่านจับใจความ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบ่งออกเป็น 4 ชุดฝึก ดังนี้
แบบฝึกการอ่านจับใจความชุดที่ 1 ประเภทนิทาน
แบบฝึกการอ่านจับใจความชุดที่ 2 ประเภทเรื่องสั้น ๆ
แบบฝึกการอ่านจับใจความชุดที่ 3 ประเภทบทความ
แบบฝึกการอ่านจับใจความชุดที่ 4 ประเภทข่าว
แบบฝึกการอ่านจับใจความชุดที่ 5 ประเภทบทร้อยกรอง
การทำแบบฝึกในกิจกรรมที่ 4 ก็เพื่อเป็นการทบทวน ความรู้ที่เรียนมา และฝึกทักษะการอ่านให้มีความชำนาญ ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ที่ สูงขึ้น กิจกรรมที่ 5 สรุปเรื่องจากการอ่าน โดยให้นักเรียนเขียนสรุปใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านเพื่อเป็นการสรุปความคิดรวบยอด
1.4.3 การวัดและประเมินผล โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบระหว่างเรียน ตรวจผลงานและให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียน ครูและนักเรียนร่วมกันประเมินผล
1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึก จำนวน 5 แผน ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องจากนั้นปรับปรุงตามข้อแนะนำ
1.6 นำแผนจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึก ที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ด้านการจัดการเรียนการสอน และด้านการวัดผลประเมินผล ตรวจสอบความถูกต้องและความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ เนื้อหาและกิจกรรม การเรียนรู้ (Index of Item Objective Congruence: IOC) (มาเรียม นิลพันธุ์, 2549: 177)
1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ โดยปรับปรุงขั้นตอนและวิธีการสอนเพิ่มเติม
1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญแล้วไป ใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัย
2. แบบฝึกการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค KWL มีรายละเอียดการสร้างและการหา ประสิทธิภาพของเครื่องมือ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ ครูผู้สอนได้ดำเนินการสร้างและพัฒนาแบบฝึกการอ่านจับใจความภาษาไทย โดยยึด ลำดับขั้นตอนการสอนด้วยเทคนิค KWL ซึ่งบทอ่านมีความเหมาะสมกับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 คือ เรียงลำดับแบบฝึกจากง่ายไปหายาก มีภาพประกอบเพื่อดึงดูดความสนใจ ของผู้เรียน ทั้งนี้ครูผู้สอนได้ใช้สื่อประเภท นิทาน เรื่องสั้น ๆ บทความ ข่าว และบทร้อยกรอง ซึ่งแบบฝึกครูผู้สอนได้จัดสร้างขึ้นด้วยเทคนิค KWL มีทั้งหมด 5 ชุด ดังนี้
แบบฝึกการอ่านจับใจความชุดที่ 1 ประเภทนิทาน
แบบฝึกการอ่านจับใจความชุดที่ 2 ประเภทเรื่องสั้น ๆ
แบบฝึกการอ่านจับใจความชุดที่ 3 ประเภทบทความ
แบบฝึกการอ่านจับใจความชุดที่ 4 ประเภทข่าว
แบบฝึกการอ่านจับใจความชุดที่ 5 ประเภทบทร้อยกรอง
2.1 ศึกษาหลักสูตร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแบบฝึก
2.2. ศึกษาวิธีการสร้างแบบฝึกการอ่านจับใจความ จากงานวิจัยและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบฝึกการอ่านจับใจความ
2.3 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
2.4 ศึกษาเอกสารตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้เทคนิค KWL
2.5 ศึกษาความสนใจในการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายโดยสัมภาษณ์จากครูผู้สอนวิชาภาษาไทย โรงเรียนบ้านหนองโค้ง ในระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้นและตอนปลายและสอบถามจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เกี่ยวกับ ความสนใจในการอ่านของนักเรียน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกเนื้อหาจากความสนใจในการอ่านของนักเรียน ประกอบด้วย นิทาน เรื่องสั้น ๆ บทความ ข่าว และบทร้อยกรอง โดยได้กำหนดเกณฑ์ร่วมกันระหว่างครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สรุปว่าควรเลือก เรื่องที่มีลักษณะดังนี้
2.5.1 ภาษาที่ใช้มีความยากง่ายเหมาะสมกับวัยและระดับชั้นของนักเรียน
2.5.2 เนื้อเรื่องแต่ละประเภทมีความยาวพอเหมาะกับช่วงความสนใจของนักเรียน
2.5.3 เนื้อเรื่องที่นำมาให้อ่านเป็นเนื้อเรื่องที่นักเรียนไม่เคยอ่านหรือไม่เคยทำแบบฝึกหัดมาก่อน
2.6 สร้างแบบฝึกการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค KWL จำนวน 5 ชุดได้แก่ แบบฝึกการอ่านจับใจความชุดที่ 1 ประเภทนิทาน ชุดที่ 2 ประเภทเรื่องสั้น ๆ ชุดที่ 3 ประเภท บทความ ชุดที่ 4 ประเภทข่าว และชุดที่ 5 ประเภทบทร้อยกรอง จะมีกิจกรรมตามขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL
2.7 เสนอแบบฝึกการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค KWL สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้นปรับปรุงแก้ไขแบบฝึกการอ่านจับใจความตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
2.8 นำแบบฝึกการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค KWL ที่ได้รับการแก้ไขปรับปรุง แล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ด้านการจัดการเรียนรู้ และด้านการวัดและประเมินผลเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) แล้วหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์เนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้ (Index of Objective Congruence: IOC) (มาเรียม นิลพันธุ์, 2549: 177)
2.9 นำแบบฝึกการอ่านจับใจความด้วยเทคนิค KWL ที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจเรียบร้อย แล้วมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อแนะนำต่าง ๆ เกี่ยวกับภาพประกอบในการสื่อความ โดยปรับเปลี่ยน ให้สื่อความหมายได้ดี ดึงดูดความสนใจ โดยเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีการเรียงลำดับเนื้อหาของแบบฝึกทั้ง 5 ชุด จากง่ายไปยาก คือ 1) แบบฝึกการอ่านจับใจความนิทาน 2) แบบฝึกการอ่านจับใจความเรื่องสั้น ๆ 3) แบบฝึกการอ่านจับใจความบทความ 4) แบบฝึกการอ่านจับใจความข่าว และ 5) แบบฝึกการอ่านจับใจความบทร้อยกรอง โดยแบบฝึก แต่ละชุดมีขั้นตอนที่ไม่สับสนง่ายต่อการเข้าใจ ข้อความอธิบายชี้แจงในแต่ละกิจกรรมของแบบฝึก มีการปรับเปลี่ยนให้มีความสมบูรณ์ เพื่อให้สามารถสื่อความได้ชัดเจนและเข้าใจมากยิ่งขึ้น
3. แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความ เป็นข้อสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ทั้งหมด 20 ข้อ ใช้ทดสอบก่อนและหลังเรียน ซึ่งผู้วิจัยดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
3.1 ศึกษาและหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
3.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และวิธีการสร้างเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา วิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้
3.3 สร้างตารางวิเคราะห์ข้อสอบ โดยศึกษาจากเนื้อหาและผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ซึ่งข้อคำถามสอดคล้องกับผลการเรียนรู้และครอบคลุมเนื้อหาในแบบฝึกและแผนการเรียนรู้
3.4 จัดทำตารางวิเคราะห์ข้อสอบ
3.5 สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความที่เป็นข้อสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 1 ฉบับ รวม 45 ข้อ จากนั้นคัดเลือกข้อสอบที่มีคุณภาพ 20 ข้อ มาใช้
3.6 เสนอแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบการใช้ภาษา ความถูกต้อของข้อคำถาม จากนั้นปรับปรุงและแก้ไขตาม คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
3.7 นำแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ได้แก่ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ด้านการจัดการเรียนรู้และด้านการวัดผล และประเมินผล ตรวจสอบการใช้ภาษาความถูกต้องของข้อคำถาม แล้วหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ เนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้ (Index of Item Objective Congruence: IOC) (มาเรียม นิลพันธุ์, 2549: 186)
3.8 นำแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความ ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้ (Tryout) กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองโค้ง จำนวน 26 คน ที่เคยเรียนเรื่องการอ่านจับใจความมาแล้ว
3.9 นำผลการทดสอบมาวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อหาประสิทธิภาพรายข้อ โดยหาค่า ความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) คัดเลือกข้อสอบที่มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.25-0.80 และค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.20-0. 67 โดยคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าความยากง่ายและอำนาจจำแนกตามเกณฑ์มาใช้จำนวน 20 ข้อ
3.10 วิเคราะห์ความเชื่อมั่น (Reliability) ตามสูตร KR-20 ของคูเดอร์ และริชาร์ดสัน (Kuder and Richardson) ซึ่งได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความเท่ากับ 0.78 3.11 นำแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความที่สมบูรณ์แล้วไปใช้กับ กลุ่มตัวอย่างโดยใช้ทดสอบก่อนการทดลอง และทดสอบหลังการทดลอง
4. แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWLร่วมกับแบบฝึก แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึก มีขั้นตอนดังนี้
4.1 ศึกษาการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็น จากเอกสาร ตำราที่เกี่ยวข้องเพื่อทราบรูปแบบโครงสร้างและหลักการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็น
4.2 แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การพัฒนาการอ่านจับใจความด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึก มาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) 3 ระดับ คือ หมายถึง 3 หมายถึง มาก 2 หมายถึง ปานกลาง 1 หมายถึง น้อย จำนวน 16 ข้อ ใช้สำหรับสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนรายบุคคล ซึ่งถาม 3 ด้าน คือ 1) ด้าน บรรยากาศการเรียนรู้ 2) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และ 3) ด้านประโยชน์ที่ได้รับ ซึ่งคำถามที่ ใช้มีการกำหนดค่าความคิดเห็น 3 ระดับ ดังนี้ เห็นด้วยมาก เห็นด้วยปานกลาง และเห็นด้วยน้อย
4.3 นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความเหมาะสมและครอบคลุมของด้านคำถาม จากนั้นปรับปรุงแก้ไขแบบสอบถามความคิดเห็นตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
4.4 นำแบบสอบถามความคิดเห็นที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ได้แก่ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ด้านการสอนและด้านการวัดและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ในการถาม (Index of Item Objective Congruence: IOC) (มาเรียม นิลพันธุ์, 2549: 197)
4.5 นำแบบสอบถามความคิดเห็นไปใช้สอบถามความคิดเห็นของนักเรียนหลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้การสอนอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึก ครบทั้ง 5 แผนการจัดการเรียนรู้
การดำเนินการทดลอง
ในการดำเนินการทดลอง ครูผู้สอนได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. ครูผู้สอนดำเนินการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) ด้วยแบบทดสอบที่ครูผู้สอนสร้างขึ้น โดยผ่านการตรวจสอบและแก้ไขปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว เป็นข้อสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ทั้งหมด 20 ข้อ 20 คะแนน นำมาทดสอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 3 ซึ่ง เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 26 คน ใช้เวลา 1 ชั่วโมง เพื่อเก็บคะแนนนักเรียนกลุ่มตัวอย่างก่อนเรียนเพื่อวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ
2. การเก็บคะแนนระหว่างเรียน (หาประสิทธิภาพ E1) ผู้วิจัยได้นำแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL และแบบฝึกอ่านจับใจความ ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองกับนักเรียน กลุ่มตัวอย่างชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 2 จำนวน 30 คน วันละ 1 ชุด เริ่มจากชุดที่ 1 จนถึงชุดที่ 5 โดยแบบฝึกทั้ง 5 ชุด จะมีการจัดการกิจกรรมตามขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้เทคนิค KWL ดังนี้
2.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียน
2.2 ครูอธิบายความรู้เกี่ยวกับการอ่านจับใจความแต่ละประเภท เช่น การอ่านจับใจความนิทาน เรื่องสั้น ๆ บทความ ข่าว และบทร้อยกรอง
2.3 นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมตามขั้น K : what we Know คือ นักเรียนร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองรู้เกี่ยวกับคำศัพท์หรือข้อความที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่จะ อ่านแล้วบันทึกคำตอบลงในตารางช่อง 1
2.4 นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมตามขั้น W : what we Want to know คือ นักเรียนแต่ละคนบันทึกสิ่งที่ต้องการเรียนรู้จากเนื้อเรื่องที่จะอ่าน ซึ่งครูอาจเป็นผู้ถามคำถามร่วมกัน นักเรียนเพื่อกระตุ้นกระบวนการคิดและฝึกให้นักเรียนตั้งคำถามโดยให้นักเรียนอ่านแล้วเขียน คำถามและสิ่งที่ต้องการรู้ลงในตารางช่อง 2
2.5 นักเรียนอ่านเนื้อเรื่องที่ครูกำหนดให้ แล้วปฏิบัติกิจกรรมตามขั้น L : what we have Learned) คือ นักเรียนแต่ละคนสำรวจว่าได้เรียนรู้อะไรบ้างจากบทอ่าน และนำข้อมูลที่ได้ จากการอ่าน มาตอบคำถามและบันทึกสิ่งที่เรียนรู้ซึ่งได้ตรวจสอบแล้วและจัดลำดับข้อมูลขณะอ่าน ลงในตารางช่อง 3
2.6 นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 3 ทำแบบฝึกการอ่านจับใจความโดย ใช้เทคนิค KWL ทั้งหมด 5 ชุด ประกอบด้วย ชุดที่ 1 แบบฝึกพัฒนาการอ่านจับใจความประเภท นิทาน ชุดที่ 2 แบบฝึกการพัฒนาการอ่านจับใจความประเภทเรื่องสั้น ๆ ชุดที่ 3 แบบฝึกพัฒนา การอ่านจับใจความประเภทบทความ ชุดที่ 4 แบบฝึกพัฒนาการอ่านจับใจความประเภทข่าว และ ชุดที่ 5 แบบฝึกพัฒนาการอ่านจับใจความประเภทบทร้อยกรอง
2.7 นักเรียนและครูร่วมกันสรุปบทเรียน
3. ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ
4. ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) นำแบบทดสอบชุดเดียวกันกับแบบทดสอบ ก่อนเรียน นำมาทดสอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 2 จำนวน 30 คน ใช้เวลา 1 ชั่วโมง และให้นักเรียนทำแบบสอบถามความคิดเห็น
5. รวบรวมคะแนนจากการทดสอบที่ได้ไปหาค่าทางสถิติ โดยรวบรวมคะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนเปรียบเทียบกับหลังเรียนเพื่อหาค่าคะแนนที่เพิ่มขึ้นของคะแนนความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค KWL
การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล
การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือสำหรับการวิจัยครั้งนี้ มีรายละเอียดดังนี้
1.1 ตรวจสอบคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย หัวข้อการอ่านจับใจความที่จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึก โดยหาค่าดัชนีความ สอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) ซึ่งถ้าค่า IOC มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 (มาเรียม นิลพันธุ์,2549: 177) แสดงว่าแผนการจัดการเรียนรู้นั้นใช้ได้
1.2 ตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ ดำเนินการดังนี้
1.2.1 ตรวจสอบความเที่ยงตรง (Validity) ของแบบทดสอบวัดความสามารถ ในการอ่านจับใจความ โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) ซึ่งถ้าค่า IOC มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ .05 (มาเรียม นิลพันธุ์, 2549: 177) แสดงว่าข้อสอบข้อ นั้นใช้ได้ตรวจสอบค่าความยากง่าย (P) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบ
1.2.2 ตรวจสอบค่าความยากง่าย (p) คือ สัดส่วนระหว่างจำนวนผู้ตอบข้อสอบ ถูกในแต่ละข้อต่อจำนวนผู้เข้าสอบทั้งหมด โดยใช้เกณฑ์ความยากง่ายระหว่าง 0.20-0.80 (มาเรียม นิลพันธุ์, 2549: 188) 1.2.3 การตรวจสอบค่าอำนาจจำแนก (r) คือ การตรวจสอบว่าข้อสอบ สามารถจำแนกนักเรียนเก่งและอ่อนได้ดีเพียงใด โดยใช้เกณฑ์ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป ถือว่าข้อสอบสามารถจำแนกนักเรียนเก่งและอ่อนได้ดี (มาเรียม นิลพันธุ์, 2549: 186)
1.2.4 การตรวจสอบค่าความเชื่อมั่น (Reliability) คือ การตรวจสอบผลการวัด ที่สม่ำเสมอและคงที่ หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบใช้วิธีการของ คูเดอร์ริชาร์ดสัน จากสูตร KR 20 (มาเรียม นิลพันธุ์, 2549: 182) โดยใช้เกณฑ์ค่าความเชื่อมั่นตั้งแต่ .70 ขึ้นไป
1.3 ตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถามความคิดเห็น ทำได้โดยการตรวจสอบ ความเที่ยงตรง โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC)
1.4 การตรวจสอบสมมติฐาน
2. การวิเคราะห์ความสามารถในการอ่านจับใจความจากแบบทดสอบวัดความสามารถในด้านการอ่านจับใจความ ใช้ค่าสถิติดังนี้
2.1 ค่าเฉลี่ย ( X )
2.2 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
2.3 การเปรียบเทียบความสามารถในด้านการอ่านจับใจความ ก่อนและหลัง การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึกวิเคราะห์ความแตกต่างโดยการทดสอบค่าที แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent samples t-test) (มาเรียม นิลพันธุ์, 2549: 197)
2.4 การวิเคราะห์ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึกโดยใช้ค่าร้อยละ
2.5 การวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นแบบตรวจสอบรายการ (Rating Scale) 3 ระดับ ใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้เทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึก เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) แบบแผนการวิจัยแบบก่อนทดลอง (Per-Experimental Design) แบบกลุ่ม เดียวทดสอบก่อนและหลังเรียน (The One-group Pretest-posttest Design) มีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 3 โรงเรียนบ้านหนองโค้ง จำนวน 26 คน ครูผู้สอนดำเนินการจัดการเรียนรู้และเก็บข้อมูลด้วยตนเองจากนั้นนำมาเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนก่อนและหลังเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึกใช้การทดสอบค่าที แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent samples t-test) และข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามความคิดเห็น ใช้การวิเคราะห์ค่าร้อยละ (%)ความคิดเห็น 3 ระดับ ใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.)
การสรุปผลและการเขียนรายงาน
1. ครูนำผลการจัดกิจกรรมของผู้เรียนมาวิเคราะห์ปัจจัยที่เอื้อให้ประสบผลสำเร็จ ปัญหา อุปสรรค จุดที่ควรพัฒนา ข้อเสนอแนะพร้อมทั้งเขียนรายงานผลการจัดกิจกรรม
2. เผยแพร่วิธีการเรียนการสอน เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ ให้กับเพื่อนครูในโรงเรียนและต่างโรงเรียนตามช่องทางต่างๆ
ลงชื่อ ..............อาณัติ กันทะพิงค์..............
(นายอาณัติ กันทะพิงค์)
ตำแหน่งครูชำนาญการ
ผู้จัดทำข้อตกลงในการพัฒนางาน
1 กันยายน พ.ศ. 2566