ประวัติเเดนใต้ หรือ ภาคใต้
ภาคใต้เป็นแหลมยาวยื่นไปในทะเล มีทะเลขนาบทั้ง ๒ ด้าน ทำให้มีพื้นที่เปิดสู่ทะเลที่ ๒ ด้าน คือ ฝั่งอ่าวไทย ทะเลจีนใต้ มหาสมุทรแปซิฟิกและฝั่งทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดียระดับความลึกของฝั่งทะเลและแนวกำบังคลื่นลมจากหมู่เกาะใหญ่น้อยเอื้อต่อการเป็นเมืองท่า จึงมีผู้คนต่างชาติต่างภาษามาตั้งหลักแหล่งผสมผสานกับประชาชนพื้นเมืองเดิม เช่น มลายู อาหรับเปอร์เซีย อินเดียใต้ ชวา และชาวจ้วง ดังปรากฎหลักฐานการเป็นจุดแลกเปลี่ยนและสังคมทางวัฒนธรรมที่หลากหลายมาจนทุกวันนี้
ประวัติของชื่อที่เรียกดินแดนภาคใต้
ดินแดนในอาณาบริเวณภาคใต้เคยมีชื่อเรียกแตกต่างกันตามยุคสมัยและภาษาของผู้เรียก แต่ยังไม่มีข้อยุติว่าที่ตั้งและอาณาเขตที่แท้จริงจะกว้างหรือแคบกว่าอาณาบริเวณที่เป็นภาคใต้ และบางชื่อก็เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่ในดินแดนภาคใต้ เช่น มลยทวีป ยมทวีป สุวรรณทวีปและสุวรรณภูมิ
การเรียกชื่ออาณาบริเวณภาคใต้ที่ปรากฏในเอกสารของไทย พบว่า ในพระราชกำหนดเก่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๑๐๘๔) เรียกว่า “ปากใต้ ” พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ เรียกว่า “ปักใต้” ในกฎหมายตราสามดวงส่วนใหญ่ใช้ “ปากใต้” ส่วนรูปคำเขียนที่เป็น “ปักษ์ใต้” เท่าที่ค้นพบในขณะนี้ปรากฏในตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งแต่งเสร็จในปี พ.ศ. ๒๒๗๗ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ – ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มักใช้ “ปากใต้” และ “ปักใต้” โดยเฉพาะในประกาศต่างๆ ของรัชกาลที่ ๔ ล้วนใช้เป็น “ปากใต้”
ส่วนคำว่า “ภาคใต้” เริ่มนำมาใช้ในทางปกครองตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ โดยมีที่ทำการภาคอยู่ที่จังหวัดสงขลา และหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการยุบมณฑลทั้งหมดในปลายปี ๒๔๗๖ หน่วยราชการในกระทรวง ทบวงกรมต่างๆ ได้มีการตั้งหน่วยงานเพื่อบริหารราชการในระดับภาคขึ้น หลังจากนั้นคำว่า “ภาคใต้” จึงเรียกใช้กันอย่างแพร่หลาย
สภาพสังคมภาคใต้
๑. ยุคก่อนประวัติศาสตร์
๑.๑ คนพื้นเมืองดั้งเดิมของภาคใต้
ชนชาติต่างๆ ในดินแดนภาคใต้ประกอบด้วยกลุ่มใหญ่ๆ ๓ กลุ่ม คือ
๑) กลุ่มไทย - กะได (Tai – Kadai) ได้แก่ คนไทยปักษ์ใต้ที่พูดภาษาไทย
๒) กลุ่มมาลาโย - โปลีนีเซียน (Malayo – Polynesian) ได้แก่ พวกมาเลย์ (Malays) ใช้ภาษามาเลย์ พวกมอเก็นหรือโอรังลาโอด (Moken or Orang Laut) เป็นพวกชาวเรืออยู่ใกล้ปากน้ำฝั่งทะเล (ชาวเลหรือชาวน้ำ )
๓) กลุ่มออสโตรเซียติก (Austrosiatic) คือ พวกนิกริโต (Negritos) ได้แก่ พวกซีมังหรือเซมัง แถวจังหวัดพัทลุง คือ พวกที่ชาวไทยเรียกว่า “เงาะ” หรือ “เงาะป่า”
โดยพวกนิกริโต หรือนิโกรเล็กหรือเซมัง ซึ่งเป็นพวกเดียวกับเงาะที่หลงเหลืออยู่ทางภาคใต้แถบจังหวัดพัทลุงและตรังได้เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ใกล้ฝั่งทะเล ต่อมาถูกผลักดันให้เคลื่อนย้ายเข้าตามพื้นที่ป่าเขา
ต่อมาเมื่อประมาณ ๗,๕๐๐ - ๔,๕๐๐ ปีมาแล้ว มีพวกซาไก (Sakai) หรือซีนอย (Senoi) อาจอพยพมาจากแหลมอินโดจีนลงมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนภาคใต้และมาเลเซียเป็นพวกที่ยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน และเมื่อประมาณ ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว พวกโปรโตมาเลย์ได้อพยพจากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าสู่แหลมอินโดจีนลงมาทางภาคใต้ และอพยพต่อลงไปบริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากนี้มีชาวโปรโตมาเลย์อพยพจากดินแดนในประเทศมาเลเซียมาตั้งถิ่นฐานริมฝั่งทะเลภาคใต้เป็นชุมชนชาวน้ำหรือชาวเล ที่เรียกว่า มอเก็นหรือโอรังลาโอด
หลังจากการเคลื่อนย้ายของโปรโตมาเลย์เป็นการเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานของพวกมองโกลอยด์ฝ่ายใต้ (Southen Mongoloid) หลายครั้งจากแผ่นดินใหญ่มาแหลมอินโดจีน มาตั้งถิ่นฐานในภาคใต้และมาเลเซียผสมพันธุ์กับพวกที่อยู่เดิม (ออสตราลอยด์ โปรโตมาเลย์ ) กลายเป็นชนพื้นเมืองสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ของภาคใต้
สภาพภูมิอากาศ
ภาคใต้เป็นภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน และโดยที่ภูมิประเทศของภาคใต้มีลักษณะเป็นคาบสมุทรยาวแหลม มีพื้นน้ำขนาบอยู่ทั้งทางด้านตะวันตก และทางด้านตะวันออก จึงทำให้มีฝนตกตลอดปีและเป็นภูมิภาคที่มีฝนตกมากที่สุดเคยขึ้นสูงสุดที่จังหวัดตรัง 39.7 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเคยต่ำสุดที่จังหวัดชุมพร 12.12 องศาเซลเซียส
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ มีทิวเขาที่สำคัญ ได้แก่ ทิวเขาตะนาวศรี ทิวเขากรุงเทพ ทิวเขานครศรีธรรมราช โดยมีทิวเขาสันกาลาคีรี เป็นพรมแดนกั้นระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย ทิวเขาในภาคใต้มีความยาวทั้งสิ้น 1,000 กิโลเมตร
แม่น้ำสายสำคัญ ได้แก่ แม่น้ำกระบุรี แม่น้ำหลังสวน แม่น้ำตะกั่วป่า แม่น้ำท่าทอง แม่น้ำพุมดวง แม่น้ำตาปี แม่น้ำปากพนัง แม่น้ำตรัง แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำปัตตานี และแม่น้ำโกลก
ภาคใต้มีลักษณะภูมิประเทศเป็นคาบสมุทรที่มีทะเลขนาบอยู่ 2 ด้าน คือ ตะวันออกด้านอ่าวไทย และตะวันตกด้านทะเลอันดามัน จังหวัดพัทลุงและจังหวัดยะลาเป็นจังหวัดที่ไม่มีพื้นที่ติดต่อกับทะเลภายนอก ชายหาดฝั่งอ่าวไทยเกิดจากการยกตัวสูง มีที่ราบชายฝั่งทะเลยาว เรียบ กว้าง และน้ำตื้น ทะเลอันดามันมีชายฝั่งยุบต่ำลง มีที่ราบน้อย ชายหาดเว้าแหว่ง เป็นโขดหิน มีหน้าผาสูงชัน