การเเต่งกายของภาคใต้
การเเต่งกายเนื่องจากภาคใต้ตั้งอยู่เเถบศูนย์สูตร มีผลให้อุณหภูมิไม่เเตกต่างกันนักชาวใต้นิยม แต่งกายแบบเรียบง่าย หลวม ๆ ส่วนมากใช้ผ้าฝ้าย รูปแบบเครื่องนุ่งห่มส่วนใหญ่คล้ายกับของมาเลเซียและอินโดนีเซีย เพราะอยู่ในลักษณะอากาศแบบเดียวกัน ผ้าพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของของภาคใต้ คือ ผ้ายก ผ้าจวน ผ้าไหมพุมเรียง และผ้าปาเต๊ะ ซึ่งเป็นผ้าที่นิยมกันในภาคใต้ตอนล่าง เป็นต้น
การแต่งกายของชาวใต้เเละผ้าพื้นเมืองของภาคใต้
ผ้าไหมพุมเรียง
พุมเรียง ถิ่นผ้าไหมไทยของภาคใต้
ผมเคยมาเที่ยวพุมเรียงเมื่อหลายปีก่อน โดยพรรคพวกอาสาเป็นไกด์พามาเที่ยวไชยาและแวะดูผ้าไหม พุมเรียง ยังนึกแปลกใจเหมือนกันว่าภาคใต้นี้มีการทอผ้าไหมและมีการเลี้ยงไหมด้วยหรือ เพราะไม่ เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย หากจะพูดถึงผ้าไหมแล้ว หลายคนคงนึกถึงผ้าไหมจากภาคเหนือ เช่นที่จังหวัดลำพูนหรือเชียงใหม่ ที่มีการทำแบบครบวงจรตั้งแต่การเลี้ยงตัวไหม นำไหมไปต้ม กรอไหม ไปจนถึงการทอออกมาเป็นผ้าผืน และสร้างชื่อเสียงให้กับท้องถิ่นมานานหลายสิบปีแล้ว ความแปลกใจสงสัยในผ้าไหมพุมเรียงก็ยังไม่มี โอกาสหาคำตอบ จนกระทั่งมีโอกาสมาเที่ยวพุมเรียงอีกครั้งหนึ่งเมื่อ ปลายปี 2545 จึงทำให้ทราบ ความจริงคุณอรุณ เหร็นเส็บ ชาวไทยอิสลาม เจ้าของร้านผ้าไหม “เพชรทองคำ” ร้านใหญ่แห่งหนึ่งใน ต.พุมเรียง เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนนี้ชาวบ้านพุมเรียงที่เป็นคนอิสลามมีการทอผ้าฝ้ายกันมาก่อน เป็นการทอเพื่อนำมา นุ่งห่มกันในหมู่ชาวบ้านในยุคที่มีการทอผ้านุ่งห่มกันเองเมื่อการคมนาคมสะดวกขึ้นและมีการติดต่อค้าขายกันกับทางกรุงเทพ พ่อค้าผ้าจากพุมเรียงก็มีโอกาส นำผ้าฝ้ายไปขายที่กรุงเทพ โดยวางขายแถวๆตลาดพาหุรัด แหล่งค้าผ้าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ต่อมามีการนำเส้นไหมดิบจากประเทศจีน มาฟอกย้อมกันที่พุมเรียงและทอเป็นผ้าไหมส่งไปขายที่กรุงเทพ ปรากฏว่าได้รับการต้อนรับด้วยดี โดยเฉพาะจากบรรดาคุณหญิงคุณนายที่มีรสนิยมสูง ซึ่งต่อมากลุ่มบุคคลเหล่านี้ก็ได้แนะนำให้ทอผ้าไหมในรูปแบบ สีสัน ลวดลาย ที่ทันสมัยมากขึ้น จนได้รับความนิยมในเวลาต่อมา รวมทั้งได้มีโอกาสวางขายในโรงแรมใหญ่ๆในกรุงเทพหลายแห่ง ทำให้ชื่อเสียงผ้าไหมพุมเรียงขจรขจายไปทั่วทั้งในประเทศและต่างประเทศแต่เดิมเส้นใยที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการทอผ้าไหมที่พุมเรียง จะสั้งซื้อจากยี่ปั้วในกรุงเทพ ซึ่งนำเข้ามาจาก ประเทศจีน แต่ไม่กี่ปีมานี้มีใยไหมภายในประเทศจากไร่กำนันจุล จังหวัดเพชรบูรณ์ นำออกมาป้อนตลาด มากขึ้น จึงมีการใช้ไหมทั้งในประเทศและต่างประเทศมาฟอกย้อม เพื่อนำไปทอเป็นผ้าผืนผ้าไหมลายดอกพิกุลจากพุมเรียง เป็นผ้าไหมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดผ้าไหม เป็นงานฝีมือล้วนๆที่ทอด้วยมือ ป็นงานฝีมือแบบดั่งเดิมที่ต้องใช้ความประณีตและประสบการณ์ในการทอและที่สำคัญงานแต่ละชิ้นแต่ละผืนจะใช้เวลาทอที่ยาวนานกว่าการทอด้วยวิธีอื่น คุณฟาติม๊ะ บัวเฉย เจ้าของร้านผ้าไหมฟาติม๊ะในย่านบางกะปิ ผู้คร่ำหวอดในวงการผ้าไหมพุมเรียง มายาวนาน เล่าว่า ผ้าลายดอก หรือที่เรียกว่าผ้ายกดอก จะทอได้อย่างมากแค่วันละประมาณครึ่งหลา หรือประมาณ 2 คืบเท่านั้นเอง เป็นการทอด้วยมือที่ใช้วิธีโยกลูกกระสวยสลับไปมา ซ้าย-ขวา ต่างจากการทอด้วยกี่กระตุกที่ใช้มือดึงหรือกระตุกเชือกเพื่อให้ลูกกระสวยวิ่งสลับ ไป-มา ด้วยเครื่องผ้ายกดอกเป็นผ้าที่ต้องการความละเอียดประณีตในระหว่างการทอ และมีลวดลายสวยงาม จึงทำ ให้เป็นผ้าไหมที่มีราคาแพงกว่าผ้าสีพื้น ซึ่งตกราคาหลาละประมาณ 3 พันกว่าบาทขึ้นไป หากเป็นผ้าที่มีลวดลายสวยงาม ราคาก็จะแพงขึ้นไปอีกจนถึง 5 พันบาท ทุกวันนี้ร้านขายผ้าไหมที่พุมเรียงมีอยู่ไม่เกิน 10 ร้าน ส่วนใหญ่เป็นร้านของชาวไทยอิสลาม ที่ถ่ายทอด การทอผ้าไหมและการทำธุรกิจค้าผ้าไหมมาจากบรรพบุรุษ หลายร้านในพุมเรียงได้มาเปิดสาขา ในกรุงเทพ เป็นทั้งร้านขายผ้าไหมและมีโรงงานทอผ้าอยู่ใกล้เคียงกัน จากนั้นจะส่งไปขายตาม ห้างร้านต่างๆในกรุงเทพที่เป็นลูกค้าประจำ บางส่วนก็ยังส่งไปขายที่พุมเรียงด้วยผ้าไหมปัจจุบันนี้ ได้รับความนิยมในหมู่คนไทยด้วยกันเอง โดยมีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน ทำให้วงการ ผ้าไหมไทยได้พัฒนารูปแบบใหม่ๆออกมามากมาย เพื่อให้เข้ากับความนิยมของคนไทยรุ่นใหม่ๆ บางแห่งได้นำไปเพ้นท์สีให้เกิดความสวยงามมากขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาผ้าไหมให้ก้าวไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดผ้าไหมไทยเป็นผ้าที่มีเสน่ห์ในตัว หากมีการนำมาตัดชุดอย่างเหมาะสมแล้วทำให้ชวนมอง และเพิ่มคุณค่าแก่ผู้สวมใส่เป็นอย่างมาก
ผ้ายก
การทอผ้ายกนคร มีหลักฐานว่าชาวนครศรีธรรมราชได้แบบอย่างมากจากแขกเมืองไทรบุรี กล่าวคือ คราวที่เมืองไทรบุรีคิดกบฎ เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ยกทัพไปปราบ ขากลับได้กวาดต้อนเชลยเข้ามายังนครศรีธรรมราชเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนี้มีพวกช่างทอผ้าเข้ามาด้วย พวกแขกนี้เองที่ได้มาเป็นครูสอนให้วเมืองนครศรีธรรมราชรู้จักทอผ้ายก เครื่องมือเครื่องใช้ทอผ้ายกเรียกว่า 'เครื่องทอหูก' หรือ 'เก' เหมือนกับท้องถ่นอื่นโดยทั่วไป เกมี 2 ชนิด คือ เกยก ชนิดหนึ่งหนึ่ง กับ เกฝังอีกชนิดหนึ่ง ชาวบ้านที่มีอาชีพทอผ้ามักสร้าเกไว้ใต้ถุนบ้านแทบทั้งสิ้น ผ้ายกนครทอได้หลายชนิดแต่ละชนิดมีลายดอกงดงามเป็นแบบฉบับของตนเอง ที่รู้จักกันดีได้แก่ ผ้าราชวัตร ผ้าตาสมุก ผ้า ผ้าห่ม ผ้าหางกระรอก ผ้าพื้น ผ้าเก็บดอก ผ้าม่วง เป็นต้น สำหรับผ้ายกดอกก็มีหลายชนิดเช่น ผ้าลายดอกพิกุล ผ้าลายก้านแย่ง ผ้าลายดอกมะลิร่วง ผ้าลายดอกมะลิใหญ่ ๆ อีกมากมาย ตัวอย่างผ้ายก รุ่นเก่าของนครศรีธรรมราชในปัจจุบันนี้หาดูได้ยากที่พอจะหาดูได้ในเวลานี้มีอยู่สักฝืนสองฝืนในพิพิธภัณฑ์วัดรพะมหาธาตุวรมหาวิหาร แหล่งจำหน่าย : นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อผ้ายกเมืองนครได้จากร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองภายในจังหวัดนครศรีธรรมราช
ผ้าจวน
"ผ้าทอจวนตานี”งานสานปัญญา ผลิตภัณฑ์"นกยูงพระราชทาน"ผ้าไหมมัดหมี่ลายจวนตานี สินค้าแห่งภูมิปัญญารางวัล “นกยูงพระราชทาน” นับเป็นผ้าทอพื้นเมืองจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สะท้อนตัวตนของชาวปักษ์ใต้ได้อย่างชัดเจนเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่ยากจะหาสินค้าชนิดเดียวกันจากแหล่งใดเสมอเหมือน อย่างยิ่ง “จวนจูวา” ลายทักทอที่ปรากฏบนผืนผ้าที่กั้นระหว่างตัวผ้าและหัวผ้า โดยคำว่า จวน จึงเป็นดั่งตราประทับที่บ่งบอกว่าเป็นผ้าที่ผลิตจากเมืองปัตตานีเท่านั้น และกลายเป็นที่มาขอการเรียกขานกันติดปากว่า “ผ้าทอลายจวนตานี”
ผ้าปาเต๊ะ
การทำผ้าบาติก เป็นอุตสาหกรรมกันมานานแล้ว มีการผลิตในหลายจังหวัดทางภาคใต้ เช่น ยะลา ปัตตานี สงขลา นราธิวาส นอกจากนี้ยังมีการผลิตผ้าบาติกตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเช่น ภูเก็ต เกาะสมุย เชียงใหม่ พัทยา เป็นต้น แต่การแพร่หลายของผ้าบาติกนั้นเริ่มเข้ามาทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้รับอิทธิพลมาจากมาเลเซีย ซึ่งมาเลเซียเองก็ได้รับอิทธิพลมาจากอินโดนีเซียอีกทอดหนึ่ง คนไทยรู้จักผ้าบาติกในลักษณะของ “ผ้าพันหรือผ้าปาเต๊ะพัน” โดยเรียกตามวิธีนุ่ง คือ พันรอบตัว คำว่า “โสร่ง” ก็มาจากภาษาอินโดนีเซียเช่นเดียวกัน หมายถึง ผ้านุ่ง คนในท้องถิ่นภาคใต้ เรียกบาติกว่า “ผ้าปาเต๊ะ” หรือ “ผ้าบาเต๊ะ” ส่วนคนรุ่นเก่าเรียกผ้าปาเต๊ะที่ไม่ได้ผลิตในประเทศไทยว่า “ผ้ายาวอ” หรือ “จาวอ” (Java) ซึ่งหมายถึง ผ้าชวาและเรียกชื่อตามลักษณะของผ้าเป็นภาษาพื้นเมืองชายแดนภาคใต้